บทที่ 690.3 เรื่องราวเล็กๆ ของคนหนุ่มคนหนึ่ง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หลิ่วชื่อเฉิงหันหน้ากลับมามองหญิงสาวผู้นั้นอย่างเหม่อลอย

หลี่หลิ่วถาม “อยากตายหรือ?”

หลิ่วชื่อเฉิงกล่าวอย่างน้อยใจ “อ้อ? ศิษย์พี่ของข้าอยู่ห่างไปไม่ไกลนะ”

หลี่หลิ่วถาม “ถ้าอย่างนั้นข้าช่วยเรียกเจิ้งจวีจงมาให้เจ้าดีไหมล่ะ?”

เจ้านครจักรพรรดิขาวชื่อจริงคือเจิ้งจวีจง นามไหวเซียน (ชื่อใช้คำว่า 名 นามใช้คำว่า 字 ชื่อหมายถึงชื่อที่มีมาตั้งแต่เกิด นามจะได้มาตอนที่เข้าพิธีสวมกวานหรือพิธีปักปิ่นซึ่งแสดงถึงความเป็นผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่แล้วชื่อมีไว้ให้ผู้ใหญ่เรียก นามมีไว้ให้ผู้น้อยหรือเด็กรุ่นหลังเรียก)

เพียงแต่ว่าในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้าเรียกชื่อของผู้นำแห่งวิถีมารท่านนี้โดยตรง

หลิ่วชื่อเฉิงส่ายหน้าทันที “ไม่ต้องๆ ข้ามีธุระ ต้องไปก่อนแล้ว”

หลิ่วชื่อเฉิงตะเบ็งเสียงเรียกน้องหลงป๋อ บอกว่าพวกเราควรเดินทางได้แล้ว ไฉ่ป๋อฝูกลืนน้ำลาย ลุกขึ้นยืนอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วทะยานลมจากไปอย่างระมัดระวัง

กู้ช่านกุมหมัดบอกลาหลี่หลิ่วแล้วจากไปทั้งอย่างนั้น

ถึงอย่างไรก็เป็นคนบ้านเดียวกัน กู้ช่านจึงไม่ได้กริ่งเกรงในตัวหลี่หลิ่วสักเท่าไร ต่อให้นางจะเหยียบหินพักมังกรให้แตกด้วยฝ่าเท้าเดียว สภาพจิตใจของกู้ช่านก็ไม่ได้มีริ้วคลื่นกระเพื่อมมากนัก

ดังนั้นบนที่ตั้งเดิมของหินพักมังกรจึงเหลือแค่ผู้เฒ่าชาวประมงที่เป็นเซียนจับปลา รอกระทั่งพวกหลิ่วชื่อเฉิงสามคนจากไปไกล ผู้เฒ่าชาวประมงจึงคุกเข่าลงหมอบกราบกับพื้น เอ่ยเสียงสั่นว่า “เสมียนเก่าของหลุมน้ำลู่คารวะ…”

หลี่หลิ่วขมวดคิ้ว ตัดบทคำพูดของผู้เฒ่าชาวประมง “เจ้าพาตู๋ฉีหลางแห่งทะเลทักษิณทั้งหมดไปที่ลำน้ำของอุตรกุรุทวีปช่วยเหลือเสิ่นหลินแห่งตำหนักวารีหนันซวิน นางจะกลายเป็นหลิงหยวนกงคนใหม่ แต่ขอบเขตยังไม่มากพอ”

ชาวประมงผู้เฒ่ายังคงไม่กล้าลุกขึ้นยืน เพียงเอ่ยเสียงดังว่า “ข้าน้อยรับคำสั่ง!”

หลี่หลิ่วยื่นมือออกไปคว้าจับ หินพักมังกรที่แหลกสลายเตรียมจมลงสู่ท้องทะเลมารวมตัวกันกลายเป็นไข่มุกเม็ดหนึ่งที่ถูกนางเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ

หลังจากที่ร่างของเฒ่าชาวประมงหายไป เหวยไท่เจินก็มาอยู่ข้างกายหลี่หลิ่ว ถามเบาๆ ว่า “นายท่าน?”

หลี่หลิ่วกล่าว “ไปที่หลุมน้ำลู่ก่อน เจิ้งจวีจงอยู่ที่นั่นแล้ว”

เพียงแต่ว่าหลี่หลิ่วที่ทะยานลมไปหลุมน้ำลู่ยังคงไม่รีบไม่ร้อน แล้วจู่ๆ นางก็ยิ้มเอ่ยว่า “กลับไปให้เร็วสักหน่อย น้องชายข้าน่าจะไปถึงอุตรกุรุทวีปแล้ว”

เหวยไท่เจินพยักหน้ารับเบาๆ

ดังนั้นหลี่หลิ่วจึงกระชากไหล่ของภูตจิ้งจอกมา พริบตาเดียวร่างของพวกนางก็ไปโผล่ที่หลุมน้ำลู่

หลุมน้ำลู่เหมือนนครแห่งหนึ่ง หอเรือนงดงามตั้งเรียงราย ตำหนักมากมายนับไม่ถ้วน

เจ้านครจักรพรรดิขาวยืนอยู่บนยอดสุดของขั้นบันไดนอกตำหนักหลัก ข้างกายมีสตรีสวมชุดขาววังเรือนกายอ้วนฉุคนหนึ่งยืนอยู่ พอเห็นหลี่หลิ่วก็ถามเสียงเบาว่า “เจ้านคร คนผู้นี้? ใช่จริงๆ หรือ?”

บุรุษยิ้มกล่าว “เจ้าไม่ควรหลอมหลุมน้ำลู่แห่งนี้เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต”

หลี่หลิ่วเดินขึ้นสูงไปทีละก้าว สตรีสวมชุดชาววังพลันหน้าแดงก่ำ งอเข่าสองข้างลงเล็กน้อย รอกระทั่งหลี่หลิ่วเดินมาถึงช่วงกลางของขั้นบันได เข่าของสตรีก็ย่อจนแทบจะติดพื้น พอหลี่หลิ่วเดินไปถึงยอดสูงสุดของบันได สตรีก็ลงไปหมอบคลานอยู่กับพื้นแล้ว

บุรุษไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย ลำพังเพียงแค่หลุมน้ำลู่แห่งเดียว ให้มันแบกรับน้ำหนักของน้ำทะเลทั้งหมดในรัศมีหมื่นลี้ ขอบเขตบินทะยานย่อมต้องเปลืองแรงมากอยู่แล้ว

หลี่หลิ่วเหยียบลงบนหัวของปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยาน เอ่ยกับบุรุษผู้นั้นว่า “เจอกันอีกแล้ว”

เจ้านครจักรพรรดิขาวยิ้มเอ่ย “คิดจะใช้ชีวิตนี้ให้มีแค่ชีวิตนี้จริงๆ หรือ?”

หลี่หลิ่วมองไปยังทิศไกล ยังคงเหยียบอยู่บนหัวของขอบเขตบินทะยานตนนั้น พยักหน้าเอ่ยว่า “ถึงอย่างไรก็ต้องให้จบสิ้นกันสักที”

……

ท้องฟ้าใสกว้างไกลหมื่นลี้ ดวงตะวันลอยสูงกลางนภา

เด็กชายชุดเขียวกับเด็กหนุ่มชุดดำคนหนึ่งทะยานลมไกลพันลี้จากลำน้ำใหญ่มายังจุดที่สูงอย่างถึงที่สุด หลุบตาลงต่ำมองพื้นดิน คืออาณาเขตของแคว้นเล็กใต้อาณัติของราชวงศ์ต้าหยวน สถานที่แห่งนี้แห้งแล้งอากาศร้อนระอุ ไม่มีฝนติดต่อกันมานานหลายเดือนจนนับไม่ถ้วนแล้ว เปลือกต้นไม้ถูกคนเอามากินจนสิ้น ชาวบ้านลี้ภัยกระจายตัวไปอยู่แคว้นอื่น เพียงแต่ว่าชาวบ้านที่พลัดที่นาคาที่อยู่จะสามารถเดินทางได้ไกลสักเท่าไรกันเชียว นี่จึงเป็นเหตุให้มีคนหิวตายระหว่างทางไปเป็นจำนวนมาก กระดูกขาวโพลนกลาดเกลื่อน ศพคนตายนอนหนุนทับซ้อนกัน น่าสังเวชจนแทบทนมองดูไม่ได้

เด็กหนุ่มชุดดำกล่าวอย่างกังขาว่า “เจ้าย้อนกลับทางเดิมมาหาข้าก็เพื่อให้ข้าได้เห็นทัศนียภาพนี้น่ะหรือ?”

เด็กชายชุดเขียวที่สะพายหีบไม้ไผ่ถือไม้เท้าเดินป่ารู้สึกอึดอัดใจไม่น้อย “เจ้าแค่บอกมาว่าจะช่วยข้าได้หรือไม่ก็พอ ข้าไม่มีสมบัติอาคมที่รองรับน้ำอะไร ไม่อาจย้ายน้ำในลำน้ำมาได้มากนัก หากข้ากลับไปกลับมาระหว่างสถานที่แห่งนี้กับลำน้ำใหญ่บ่อยๆ โยกย้ายน้ำมาเองโดยพลการ ทางสำนักมังกรน้ำต้องขัดขวางแน่นอน หลี่หยวน ข้าอยู่ที่นี่มีเจ้าเป็นสหายแค่คนเดียว หากเจ้ารู้สึกลำบากใจ วันหน้าหากข้าโยกย้ายน้ำของลำน้ำ เจ้าก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นแล้วกัน”

เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างจนใจ “นี่คือเรื่องที่ตอนนี้เจ้าควรต้องสนใจหรือ? พี่น้องคนดีของข้า เรื่องของการเดินลงน้ำนั้นใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้าเสียอีก ข้าขอร้องเจ้าช่วยใส่ใจหน่อยเถอะ”

เด็กชายชุดเขียวกัดริมฝีปาก เอ่ยว่า “หากไม่ได้เห็นท่าทางน่าสงสารของคนพวกนั้น ข้าก็คงไม่สนใจแล้ว แต่ในเมื่อมองเห็นแล้ว ในใจข้ารู้สึกไม่ดี หากนายท่านของข้าอยู่ที่นี่ เขาก็ต้องสนเหมือนกัน”

ก็คือเฉินหลิงจวินที่เลียบลำน้ำเดินทางท่องเที่ยวจากตะวันออกไปตะวันตก กับหนึ่งในสุ่ยเจิ้งของลำน้ำที่พบเจอกันก็ถูกชะตากันทันทีอย่างหลี่หยวน

ทั้งสองฝ่ายตัดหัวไก่เผากระดาษเหลืองสาบานเป็นพี่เป็นน้องกันที่เกาะเป็ดน้ำแล้ว

ก่อนหน้านี้ระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยว เนื่องจากเฉินหลิงจวินต้องตรวจสอบสภาพภูมิศาสตร์ของขุนเขาสายน้ำที่อยู่ชายฝั่งสองด้านของลำน้ำใหญ่ จึงขยับออกห่างจากน้ำในลำน้ำมาไกลเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่ายิ่งขยับออกห่างมาไกลก็ยิ่งเจอกับภาพน่าสังเวช ภายใต้แสงอาทิตย์ร้อนแรง รวงข้าวที่ขึ้นเรียงรายตามถนนล้วนแห้งกรอบ ในป่าเขาแทบไม่มีสีเขียวให้เห็น แม่น้ำบ่อน้ำล้วนแห้งขอด ขุนนางในท้องถิ่นแทบจะวางภาระหน้าที่ทั้งหมดลง บ้างก็พาคนไปขุดหาบ่อน้ำ บ้างก็โขกหัวขอฝน จากนั้นเฉินหลิงจวินก็ได้เจอกับชาวบ้านลี้ภัยกลุ่มหนึ่งที่หนีภัยพิบัติมาระหว่างทาง พวกเขาไปหลบแดดแผดเผาใต้ต้นไม้ที่แห้งโกร๋นต้นหนึ่ง ในบรรดาคนกลุ่มนี้มีเด็กหญิงคนหนึ่งที่ผอมแห้งราวกับท่อนฟืน ถูกมารดาที่ดวงตาไร้ประกายชีวิตชีวาโอบกอดไว้ในอ้อมอก ลมหายใจรวยริน ริมฝีปากแห้งแตก แต่กลับไร้เลือดซึม ได้แต่สะอื้นไห้เบาๆ

เฉินหลิงจวินที่มีชื่อเสียงเรื่องความใจจืดใจดำในภูเขาลั่วพั่ว มีเพียงสภาพของแม่นางน้อยที่เป็นเช่นนี้เท่านั้นที่เขาทนเห็นไม่ได้

หลังจากช่วยพวกแม่นางน้อยแล้ว เฉินหลิงจวินก็กลับมาที่ถ้ำสวรรค์วังมังกรอีกครั้ง เรียกให้หลี่หยวนมาที่นี่ด้วยกัน

หลี่หยวนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าไม่แปลกใจเลยหรือว่าทำไมกษัตริย์หรือเซียนซือของแคว้นนี้ถึงไม่อาจทำการโปรยฝน ทำไมถึงไม่อาจยืมน้ำมาจากลำน้ำได้? ข้าจะบอกเจ้าให้ก็แล้วกัน สถานที่แห่งนี้แห้งแล้งกันดารเพราะเกิดจากฟ้าอำนวย ไม่ใช่เพราะปีศาจออกอาละวาด หรืออาจารย์หล่อหลอมร่ายเวท ดังนั้นตามกฎแล้วพวกชาวบ้านของแคว้นนี้จึงควรต้องเจอกับพิบัติภัยครั้งนี้ ส่วนกษัตริย์ของแคว้นเล็กผู้นั้นก็ไม่ควรไปสร้างความขุ่นเคืองให้กับฮ่องเต้ราชวงศ์ต้าหยวนด้วยเรื่องบางเรื่องของเมื่อหลายปีก่อนเลยจริงๆ สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำของในหนึ่งแคว้น เดิมทีก็ต้องเจอกับหายนะก่อนชาวบ้านอยู่แล้ว เทพภูเขานั้นยังดีหน่อย ทว่าเซียนน้ำมากมายล้วนได้รับความเสียหายบนมหามรรคา นอกจากพวกเทพวารีแม่น้ำใหญ่ที่พอจะรักษาตัวรอดได้แล้ว พวกพ่อปู่ลำคลองแม่ย่าลำคลอง ทุกวันนี้จุดจบยิ่งอเนจอนาถมากกว่า ในเขตการปกครองไร้น้ำ ร่างทองก็เหมือนถูกเผาอยู่ทั้งวันทั้งคืน ตอนนี้จึงไม่มีคนนอกกล้าลงมือช่วยเหลือพวกเขาโดยพลการ ไม่อย่างนั้นแค่ตำหนักนภากาศหน่วยฉงเสวียนส่งตัวพวกเซียนดินมาสักสองสามคน โคจรคาถาน้ำก็สามารถโปรยฝนรสหวานได้ครั้งแล้วครั้งเล่าแล้ว ส่วนกษัตริย์ผู้นั้น อันที่ก็พอจะมีความเกี่ยวข้องกับผู้สืบทอดคนหนึ่งของเส้าจิ้งจือเจ้าสำนักใต้ของสำนักมังกรน้ำอยู่บ้าง แต่เขาเองก็เรียกอีกฝ่ายมาไม่ได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ?”

ลำน้ำใหญ่ไหลทะลุผ่านตะวันออกไปยังตะวันตกของอุตรกุรุทวีป เคยมีศาลลำน้ำใหญ่อยู่สามแห่ง ศาลล่างที่อยู่ใกล้กับตำหนักคลื่นวสันต์พังทลายไปนานแล้ว ศาลบนถูกสกุลหยางหน่วยฉงเสวียนควบคุมเอาไว้ ส่วนศาลกลางก็ถูกสำนักมังกรน้ำหลอมเป็นศาลบรรพจารย์ในนาม ในความเป็นจริงแล้วเจ้าของที่แท้จริงก็คือหลี่หยวนสุ่ยเจิ้งนั่นเอง

เฉินหลิงจวินกำไม้เท้าเดินป่าในมือแน่น เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “ข้าไม่สนใจเรื่องพวกนี้ หากเดินลงน้ำไม่สำเร็จ นายท่านของข้าอย่างมากก็แค่ด่าข้าไม่กี่คำ แต่หากครั้งนี้ทำผิดต่อมโนธรรมในใจตัวเอง เห็นคนจะตายไม่ยอมช่วยเหลือ วันหน้าต่อให้ข้าเดินลงน้ำสำเร็จก็ไม่มีหน้ากลับไปบ้านอยู่ดี”

เฉินหลิงจวินเริ่มพึมพำกับตัวเอง คล้ายต้องการปลุกความกล้าให้ตัวเอง “หากนายท่านรู้เข้า ต่อให้ข้าทำหน้าหนาเล่นแง่ไม่ยอมไปไหนก็ไม่ได้เหมือนกัน นิสัยของนายท่านข้าเป็นอย่างไร ข้ารู้ดีที่สุด ถึงอย่างไรหากทำให้ราชวงศ์ต้าหยวนและสกุลหยางตำหนักนภากาศโกรธด้วยเรื่องนี้จริงๆ อย่างมากข้าก็แค่กลับภูเขาลั่วพั่ว โดนนายท่านด่าแค่สองสามคำจะนับเป็นอะไรได้”

หลี่หยวนกล่าวอย่างกังขา “เฉินผิงอันวางแผนเรื่องการเดินลงน้ำของเจ้าอย่างละเอียดรอบคอบ ผลกลับกลายเป็นว่าเจ้าทำเสียเรื่องกลางคันทั้งอย่างนี้ ยังไม่ทันเดินลงน้ำอย่างเป็นทางการก็แอบดอดกลับบ้านเกิดแล้ว ถึงเวลานั้นเขาจะแค่ด่าเจ้าไม่กี่คำจริงๆ หรือ?”

เฉินหลิงจวินหัวเราะหึหึ “ไม่แน่ว่าอาจยังชมเชยข้าด้วยนะ”

สีหน้าหลี่หยวนเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด “พี่น้องข้า อย่าโทษว่าข้าสาดน้ำเย็นใส่เจ้า จะเล่าเรื่องเก่าแก่บางเรื่องให้เจ้าฟังก่อนแล้วกัน เจ้ารู้แล้ว คิดอย่างชัดเจนแล้วค่อยตัดสินใจใหม่อีกครั้ง เรื่องของการโปรยพิรุณนั้น มังกรแท้จริงในยุคบรรพกาลก็มีบทเรียนนองเลือดมานับครั้งไม่ถ้วน หากไม่ระวังก็จะถูกจับตัวไปบนแท่นประหารมังกร เบาหน่อยก็ถูกดึงหนังถลกเส้นเอ็น หนักหน่อยก็ถูกตัดกรงเล็บ ดวงวิญญาณที่ถูกกักขังต้องโดนทรมานนานเป็นร้อยปีพันปี จากนั้นก็ถูกเนรเทศให้ไปเป็นเทพน้อยของแม่น้ำในโลกมนุษย์ ถึงขั้นที่ว่ายังมีพวกแมลงน่าสารที่ได้รับโทษตัดหัว พอถูกตัดหัวทิ้ง ศพก็ถูกโยนลงน้ำไปโดยตรง แคว้นนี้แห้งแล้งหาใช่ฝีมือของมนุษย์ไม่ แต่เป็นเพราะต้องเจอกับภัยพิบัติ อีกทั้งเจ้ายังไม่มีสถานะทำเนียบวงศ์ตระกูลขุนเขาสายน้ำของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพื้นดิน หากดึงดันเข้ามาเกี่ยวข้อง ผลกรรมที่ต้องแบกรับจะหนักหนาสาหัสมาก ต่อให้หน่วยฉงเสวียนยอมหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งกับเจ้า แต่สำหรับการเดินลงน้ำของเจ้าในอนาคตแล้วจะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ทัณฑ์สวรรค์มีแต่จะรุนแรงขึ้น ลองจินตนาการดู ก่อนจะจำแลงร่างเป็นมังกร เจ้าก็กล้าใช้สถานะของเผ่าน้ำตัวเล็กๆ ที่เป็นเผ่าพันธุ์เจียวหลงมาเปลี่ยนแปลงโชคชะตาฟ้าลิขิตแล้ว หากปล่อยให้เจ้าลงน้ำกลายเป็นมังกรจริงๆ เจ้าจะไม่ยิ่งทำอะไรกำเริบเสิบสานกว่านี้หรอกหรือ? หากสวรรค์ไม่ลงโทษเจ้าจะลงโทษใคร?”

เฉินหลิงจวินพูดอย่างอ่อนระโหยโรยแรง “ไม่ต้องเกลี้ยกล่อมข้าแล้ว ตอนนี้ข้ากลัวจะตายอยู่แล้ว เจ้าเป็นพี่น้องที่ไร้คุณธรรมจริงๆ ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าข้าไม่มีทางเปลี่ยนความคิด กลับยังขู่ข้าแบบนี้อีก”

หลี่หยวนถอนหายใจ “ก็ได้ๆ มีแค่พี่น้องที่ดีแต่มีสุขร่วมเสพเท่านั้นที่ไม่ถือว่าเป็นพี่น้องที่แท้จริง ต้องดูด้วยว่ากล้ามีทุกข์ร่วมต้านหรือไม่ ไป ว่าที่หลงถิงโหวในอนาคตอย่างข้าจะพาเจ้าไปพบว่าที่หลิงหยวนกงแห่งลำน้ำในอนาคต! ขอแค่นางยอมพยักหน้าตอบตกลง ต่อให้พวกเทพเซียนของสกุลหยางหน่วยฉงเสวียนจะจดจำความแค้นนี้ไว้ในใจก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่นัก ส่วนทางฝั่งของสำนักมังกรน้ำนั้น ซุนเจี๋ยและเส้าจิ้งจือ ข้าที่เป็นสุ่ยหยวนตัวเล็กๆ ก็พอจะจัดการได้อยู่บ้าง”

เฉินหลิงจวินดีใจอย่างยิ่ง จากนั้นก็ถามอย่างใคร่รู้ว่า “ว่าที่หลิงหยวนกงแห่งลำน้ำ? ข้าควรต้องเตรียมของขวัญพบหน้าไปด้วยหรือไม่?”

หากสามารถทำเรื่องนี้ได้จริง ต่อให้ต้องมอบข้องราชามังกรใบหนึ่งออกไป เขาก็จะอดทนไว้!

หลี่ยิ้มหัวเราะร่าเอ่ยว่า “ก็คือพี่สาวเสิ่นหลินในตำหนักวารีหนันซวินที่ถูกเจ้าชมจนหัวเราะเบิกบานอย่างไรล่ะ”

หัวเราะเบิกบานแน่นอนว่าเป็นหลี่หยวนที่พูดเกินจริงไปเอง ส่วนที่เฉินหลิงจวินพร่ำพูดว่าพี่หญิงเสิ่นหลินงดงามนั้นกลับเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน

เฉินหลิงจวินไม่กล้าเชื่อ มองแผ่นดินใต้ฝ่าเท้าแวบหนึ่ง “เจ้าอย่าได้หลอกข้านะ ไปๆ มาๆ นี่อาจจะ…”

เฉินหลิงจวินเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยต่อว่า “อาจจะมีคนตายเยอะมาก”

หลี่หยวนหุบยิ้ม กล่าวว่า “ในเมื่อตัดสินใจได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเราพี่น้องก็ควรร่วมแรงร่วมใจกัน ข้าจะให้เจ้ายืมแผ่นหยกแผ่นหนึ่ง สามารถใช้เวทน้ำบรรจุน้ำในอาณาเขตขององค์เทพวารีทั่วไปทั้งสายได้ เจ้าก็ไปย้ายน้ำที่ลำน้ำใหญ่ได้โดยตรงเลย ส่วนข้าจะไปหาเสิ่นหลินที่ตำหนักวารีหนันซวิน ไปขอโองการหลิงหยวนกงจากนางมาหนึ่งฉบับ นางใกล้จะได้เลื่อนขั้นเป็นหลิงหยวนกงของลำน้ำใหญ่แล้ว นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว เพราะทางสำนักศึกษาและหน่วยฉงเสวียนของต้าหยวนต่างก็ได้รับข่าวแล้วก็รับรู้กันแล้ว มีเพียงหลงถิงโหวอย่างข้าเท่านั้นที่อาจจะยังมีการเปลี่ยนแปลงได้บ้าง ทุกวันนี้อย่างมากสุดก็ได้แต่วางทำเนียบไว้ในศาลบรรพจารย์สำนักมังกรน้ำเท่านั้น”

หลี่หยวนมอบป้าย ‘ฝนหวานสามฉื่อ’ ให้กับเฉินหลิงจวิน แล้วทะยานลมเดินทางไกล ย้อนกลับไปที่ถ้ำสวรรค์วังมังกรก่อน

เฉินหลิงจวินถือป้ายหยกไว้ในมือ ไปยังพื้นที่เงียบสงบแห่งหนึ่งริมตลิ่งลำน้ำใหญ่ แอบกระโดดลงไปในน้ำแล้วเริ่มใช้วิชาน้ำแห่งชะตาชีวิตบรรจุน้ำใส่ไว้ในแผ่นหยกเงียบๆ

หลี่หยวนไปที่ศาลบรรพจารย์ของสำนักมังกรน้ำก่อน บอกกล่าวว่าครั้งนี้เขามาเยือนด้วยตัวเองก็เพื่อย้ายน้ำโปรยฝน สำนักมังกรน้ำสามารถพูดเรื่องนี้กับหน่วยฉงเสวียนได้ตามตรง เจ้าสำนักซุนเจี๋ยยิ้มพลางพยักหน้ารับ

หลี่หยวนเบิกตากว้าง “มารดาเถอะ เจ้าจะบอกตรงๆ เลยจริงหรือ? ไม่กลัวว่าข้าจะถูกเทพเซียนผู้เฒ่าสกุลหยางมาหาถึงบ้านแล้วลากออกมาฟันตายหรอกหรือ?”

ซุนเจี๋ยยิ้มกล่าว “ต่อให้ตำหนักนภากาศหน่วยฉงเสวียนจะมีอำนาจมากแค่ไหนก็ไม่กล้าทำแบบนั้นหรอก”

หลี่หยวนลูบคลำปลายคาง “ก็จริงนะ ข้ากับฮว่อหลงเจินเหรินคือคู่พี่น้องที่กอดคอกันได้ หน่วยฉงเสวียนเล็กๆ แห่งหนึ่งจะนับเป็นอะไรได้ กล้าฆ่าข้า ข้าก็จะไปร้องไห้กอดขาของฮว่อหลงเจินหลงอยู่ที่ยอดเขาพาตี้”