ภูเขาเมฆาคราม

พฤกษาเขียวขจี วายุพัดโบกธาราหลั่งไหล ไอวิญญาณสีม่วงเทลงมาเหนือหน้าผาประหนึ่งน้ำตก ดุจดั่งมังกรม่วงห้อยตัวกลับหัว

ที่นี่เป็นแดนมงคลชั้นหนึ่ง ราวกับที่พำนักของอริยะเทพ

เพียงแต่บนภูเขาเมฆาครามในตอนนี้กลับปกคลุมไปด้วยเงามืด

หลี่ตู๋สิงได้รับบาดเจ็บสาหัสกลับมา พอมาถึงค่ายก็หมดสติไป

เขาเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในค่ายจักรวรรดิ มีพลังปราณระดับอมตะเคราะห์ด่านแปด ภายในสองปีย่อมบรรลุระดับอมตะเคราะห์ด่านเก้า

หากไม่เกิดเหตุไม่คาดฝันคราวนี้ อีกสองปีหลี่ตู๋สิงจะเป็นตัวเด่นที่เป็นตัวแทนของจักรวรรดิไปเข้าร่วมศึกถกมรรคเขาพินิจมรรค

แต่เหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นในวันนี้เสียได้!

“นี่เป็นแผนร้าย!”

“ต้องเป็นแผนสกปรกที่พันธมิตรหมื่นเผ่าลงมือแน่ เพราะใครก็รู้ว่าในศึกถกมรรคเขาพินิจมรรคอีกสองปี หลี่ตู๋สิงจะเป็นบุคคลสำคัญของฝั่งพวกเรา”

บนภูเขาเมฆาครามเต็มไปด้วยเสียงโกรธเคืองทุกหนแห่ง

พอหลินสวินกับพวกเย่เสี่ยวชีกลับมาก็เห็นภาพนี้

หลี่ตู๋สิงได้รับบาดเจ็บแล้ว!

นี่ทำให้หลินสวินนิ่วหน้าอย่างอดไม่ได้

ด้านเย่เสี่ยวชีพูดขึ้นอย่างกราดเกรี้ยวว่า “ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นการเล่นตุกติกของพันธมิตรหมื่นเผ่าแน่ๆ ระหว่างทางกลับมาก่อนหน้านี้ พวกเราก็ไม่ได้ถูกไอ้พวกสวะเผ่าวิญญาณขนนกนั่นซุ่มโจมตีหรอกหรือ”

พวกเย่หงเสวี่ยต่างพยักหน้า

หลินสวินพูดว่า “ตอนนี้มาพูดเรื่องพวกนี้ก็ไม่มีประโยชน์ พวกเราไปดูหลี่ตู๋สิงก่อน”

“ได้”

เย่เสี่ยวชีพยักหน้า

……

ที่ไหล่เขาเมฆาคราม มีอาคารเรียงรายเป็นทิวแถว ล้วนก่อขึ้นจากหินผาใหญ่ยักษ์แข็งแรง

ขณะนี้มีเงาร่างมากมายล้อมอยู่หน้าตำหนักหลังหนึ่ง มีทั้งชายหญิง รูปลักษณ์ดูเยาว์วัยนัก แต่กลิ่นอายกลับน่าตื่นตะลึงขึ้นไปทุกคน

ที่อ่อนแอที่สุดยังมีพลังปราณระดับอมตะเคราะห์ด่านสอง!

หากอยู่ในจักรวรรดิ คนกลุ่มนี้จะเป็นกำลังพลน่าหวาดหวั่นที่สามารถขู่ขวัญใต้หล้าได้ แต่อยู่ในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้กลับพบได้ทั่วไป

“พี่ฉิน หลี่ตู๋สิงเป็นอย่างไรแล้ว ตกลงฟื้นหรือยัง”

“พี่ฉิน เขาได้บอกไหมว่าผู้ร้ายเป็นใคร”

เสียงอึกทึกดังขึ้น ใบหน้าแต่ละคนเจือไปด้วยสีหน้าแตกต่างกันไป บ้างขุ่นเคือง บ้างอึมครึม บ้างกังวลและร้อนรน

แต่ในตอนนี้สายตาหลายคู่ต่างมองไปที่คนผู้หนึ่งโดยมิได้นัดหมาย

คนผู้นั้นยืนอยู่ด้านหน้าสุดของตำหนักแต่งกายด้วยชุดทองทั้งตัว สวมเกี้ยวประดับสูงคาดเข็มขัด ใบหน้าหล่อเหลาสุขุมเจนจัด ข้างๆ ยังมีชายหนุ่มหลายคนติดตามมาด้วยกัน ขับเน้นให้เขาเป็นดั่งหงส์ในฝูงกา

คนผู้นี้ก็คือฉินเฟยอวี่

ในค่ายจักรวรรดิภูเขาเมฆาคราม เขาไม่เพียงพลังต่อสู้แกร่งกล้าอย่างยิ่ง ยังมีกิตติศัพท์ถึงที่สุดด้วย

ฉินเฟยอวี่เอ่ยเสียงกระจ่างชัดว่า “ทุกท่านไม่ต้องร้อนใจไป ถ้ามีข่าวข้าจะบอกทุกคนทันที”

“พวกเราเข้าไปหาสหายยุทธ์หลี่ได้หรือไม่”

ฉินเฟยอวี่ส่ายหัว พูดเสียงจริงจังว่า “ในเวลาคับขันเช่นนี้ สิ่งที่จำเป็นกับหลี่ตู๋สิงก็คือรักษาแผลและฟื้นตัว ไม่ใช่การเยี่ยมเยียน ทุกท่านกลับไปเถอะ”

“หึ พวกจ้าวจิ่งหลินเข้าไปได้ ทำไมพวกเราเข้าไปไม่ได้”

มีคนหัวเราะหยัน

ฉินเฟยอวี่ชำเลืองมองไป เห็นว่าเป็นหนิงเหมิงหลานสายตรงของราชันเลือดเหล็กหนิงปู้กุย ทันใดนั้นก็นิ่วหน้าพูดอย่างไม่พอใจว่า “เพราะพวกเขาเข้าไปรักษาแผลให้หลี่ตู๋สิง หนิงเหมิง เจ้าอย่าเข้าไปวุ่นวายจะดีที่สุด”

หนิงเหมิงเดือดดาลขึ้นทันที “เจ้าว่าข้าเข้าไปวุ่นวายหรือ ข้ายังสงสัยว่าพวกเจ้าสิกำลังวุ่นวาย ใครไม่รู้บ้างว่าคนที่หลี่ตู๋สิงไม่อยากพบที่สุดก็คือพวกเจ้า แต่ตอนนี้พวกเจ้ากลับควบคุมที่นี่ เสแสร้งว่าอยากช่วยเขารักษาแผล นี่มันหน้าไหว้หลังหลอกชัดๆ ไม่ได้หวังดีหรอก!”

ทุกคนระส่ำระสายอยู่ครู่หนึ่ง หลายคนยิ้มเจื่อนไม่หยุด

หนิงเหมิงอารมณ์ร้อนเป็นอย่างยิ่ง นิสัยใจคออหังการป่าเถื่อน ไม่ได้อยู่ในก๊กเดียวกันกับพวกฉินเฟยอวี่

สิบกว่าปีมานี้พวกเขาแข่งขันกันทั้งต่อหน้าและลับหลังมาไม่รู้กี่ครั้ง ใครก็รู้ดีว่าไม่ว่าจะเป็นหนิงเหมิงหรือพวกฉินเฟยอวี่ ต่างไม่ชอบหน้าอีกฝ่าย

“หนิงเหมิง นี่มันเวลาไหนกันแล้ว เจ้ายังก่อเรื่องอีก!”

ฉินเฟยอวี่สีหน้าถมึงทึง ดวงตาเย็นยะเยือก “หากเปลี่ยนเป็นเวลาอื่นข้าจะทนยอมเจ้าได้บ้าง แต่ตอนนี้ถ้าเจ้ายังกล้าสร้างความวุ่นวายก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”

หนิงเหมิงหยัดกายขึ้นมาทันที เงาร่างสูงตระหง่านราวกับภูเขาย่อมๆ ลูกหนึ่งมอบกลิ่นอายกดดันอย่างยิ่งแก่ทุกคน เอ่ยเสียงเย็นว่า “ไม่เกรงใจหรือ มาๆๆ ข้าก็อยากเห็นเหมือนกันว่าเจ้าจะไม่เกรงใจอย่างไร บอกเจ้าให้เอาบุญ วันนี้ใครกล้าขวางข้าก็จะเป็นศัตรูของข้า!”

เขาพูดพลางก้าวเท้ายาวไปข้างหน้า

ฉินเฟยอวี่หน้าเสียขึ้นมา โบกมือเอ่ยว่า “พวกเจ้าเข้าไปพร้อมกัน ไล่เจ้าคนหยาบกระด้างนี่ให้ข้า!”

ที่ข้างกายเขาชายหญิงกลุ่มหนึ่งก้าวออกมาด้วยสีหน้าไม่ประสงค์ดี

“หมาหมู่หรือ ให้เกียรตินายท่านหนิงของเจ้าจริงๆ แต่แค่ไอ้พวกนี้ก็ยังไม่พอ!”

หนิงเหมิงดูแคลน พลานุภาพยิ่งกดข่ม

“ถ้ารวมข้าเข้าไปด้วยล่ะ”

ฉินเฟยอวี่เอ่ยเย็นชา

“เจ้าก็ไม่ไหว”

หนิงเหมิงเอ่ยอย่างไม่ลังเล

“หึ! คนอื่นกลัวเจ้าหนิงเหมิง แต่ข้าไม่กลัว ไสหัวไป!”

ทันใดนั้นเงาร่างสายหนึ่งก็กระโจนออกมาจากในตำหนักราวกับสายฟ้าสีโลหิตเส้นหนึ่ง เสียงโครมครามดังขึ้น พากลิ่นอายทำลายล้างน่ากริ่งเกรงออกมาด้วย พอพุ่งออกมาฝ่ามือหนึ่งก็ตบเข้าใส่หนิงเหมิง

คนผู้นี้เป็นชายหนุ่มชุดสีชาด กลิ่นอายบ้าระห่ำ สีหน้าดุร้าย จองหองอหังการอย่างยิ่งยวด ไม่ทันไรก็ลงมือแล้ว

เสียงร้องตกตะลึงดังขึ้นระลอกหนึ่ง ฝูงชนวงแตก

องค์ชายเจ็ดจ้าวจิ่งเฟิง!

หนิงเหมิงหรี่ตาลง สีหน้าเคร่งเครียด โบกมือเข้าต้านอีกฝ่ายโดยไม่ลังเล

ตูม!

ท่ามกลางเสียงปะทะน่าครั่นคร้าม ตัวหนิงเหมิงถอยหลังตึงๆๆ ออกไปหลายก้าว สีหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาว ดูไม่สู้ดีนัก

ในขณะเดียวกันจ้าวจิ่งเฟิงที่สวมชุดสีชาดทั้งตัวโรยตัวลงมาที่พื้นอย่างปราดเปรียว เอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “เจ้าจะไสหัวไปเองหรือจะให้ข้าลงมือต่อ”

ในที่นั้นเงียบกริบ

หลายคนต่างเผยสีหน้าหวาดหวั่น จ้าวจิ่งเฟิงเป็นผู้ที่นิสัยดุดันที่สุดในหมู่องค์ชายแห่งจักรวรรดิ พลังต่อสู้ก็กร้าวแกร่งยิ่งนัก ประพฤติตนก็เย็นชาโหดเหี้ยมถึงที่สุด

“รีบไสหัวไปเถอะ”

“ไม่รู้ดีชั่ว ต้องให้องค์ชายเจ็ดลงมือเอง นี่ไม่ใช่รนหาที่ตายเองหรอกหรือ”

พวกฉินเฟยอวี่หัวเราะหยันขึ้นมา สีหน้าเต็มไปด้วยแววเยาะเย้ย

หนิงเหมิงสีหน้าอึมครึม พูดอย่างกราดเกรี้ยวว่า “ข้าพูดแล้วว่าวันนี้ใครไม่ให้ข้าเข้าไป ก็จะเป็นศัตรูของข้า!”

เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง จิตต่อสู้ในดวงตาพลุ่งพล่าน

ด้วยความสัตย์จริง เขาย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจ้าวจิ่งเฟิง แต่ว่าเขาไม่อาจไม่เข้าไป สาเหตุก็ง่ายดายนัก เพราะหลี่ตู๋สิงเป็นเพื่อนสนิทเขา!

บนภูเขาเมฆาครามในขณะนี้ สืออวี่ กงหมิง และเย่เสี่ยวชียังไม่กลับมา ก็เหลือแต่เขาเพียงคนเดียว ตอนนี้เขาจะถอยหลังไม่ได้เด็ดขาด

“ให้เจ้าไสหัวไปยังไม่ยอม ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็คุกเข่าสำนึกผิดที่นี่เถอะ!”

แววดุร้ายไหวเคลื่อนในดวงตาของจ้าวจิ่งเฟิง กลิ่นอายเหี้ยมเกรียมแผ่ออกมาทั่วกาย ประหนึ่งสัตว์ปีศาจดึกดำบรรพ์กราดเกรี้ยวตัวหนึ่ง

ตูม!

ยามเอ่ยวาจาเขากระโจนออกไปโดยไม่ลังเล สายฟ้าสีโลหิตรอบกายม้วนตลบ พลานุภาพน่ากลัวทะลุเมฆา ตบใส่หนิงเหมิงอีกครั้งหนึ่ง

พลังฝ่ามือนั้นแกร่งกล้าอหังการ พลังกฎเกณฑ์ไหลวน แข็งแกร่งสะท้านโลก ประหนึ่งอสนีสวรรค์สีโลหิตสายหนึ่งฟาดฟันลงมา น่าตกตะลึงเมื่อได้เห็น

บางคนหลบออกมาอย่างอดไม่ได้ไปแล้ว รับแรงกดดันน่ากลัวเช่นนี้ไว้ไม่ไหว กังวลว่าจะโดนลูกหลงไปด้วย

ส่วนบางคนเผยสีหน้าอดรนทนไม่ไหว ในใจลอบถอนใจว่านี่จะลำบากลำบนไปทำไม องค์ชายเจ็ดนั่นใช่คนที่ใครก็ไปหาเรื่องได้หรือ

พวกฉินเฟยอวี่กลับยิ้มเหี้ยม หนิงเหมิงคนนี้เป็นไอ้โง่ไร้สมองคนหนึ่งดังคาด กล้าต่อต้านองค์ชายเจ็ด ไม่รู้ที่ตายจริงๆ!

ในขณะเดียวกันหนิงเหมิงก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันใหญ่ยิ่ง แต่เขาไม่ได้ถอยหนี สีหน้ายิ่งปรากฏแววแน่วแน่อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

เขาถอยไม่ได้!

เพราะเขาไม่ไว้ใจพวกฉินเฟยอวี่ และไม่เชื่อสักนิดว่าพวกเขาจะหวังดีช่วยหลี่ตู๋สิงรักษาแผล

เขาถึงกับสงสัยว่าที่ฉินเฟยอวี่ควบคุมที่นี่ในคราวนี้ เกรงว่าจะยังคิดไม่ซื่อ หมายจะปองร้ายหลี่ตู๋สิงที่ได้รับบาดเจ็บหนักหมดสติไป!

ตอนนี้เขาที่มีฐานะเป็นเพื่อนสนิทจะถอยไปได้อย่างไร

ตูม!

ห้วงอากาศปั่นป่วนรุนแรง เกิดเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นจนหูแทบดับ

พลังฝ่ามือของจ้าวจิ่งเฟิงทะลวงออกมา ก็ในตอนที่หนิงเหมิงรวมพลังทั้งกายกำลังจะสำแดงการโจมตีออกไป จู่ๆ เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา

เพี๊ยะ!

จากนั้นเสียงตบหน้าดังกังวานเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ทำให้ทุกคนได้ยินอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง

ทันใดนั้นทุกคนก็เห็นว่าจ้าวจิ่งเฟิงที่ดุดันโหดหาญผู้นั้นถูกตบจนกระเด็นออกไป พลิกตลบเหมือนน้ำเต้า ล้มลงไปที่หน้าบันไดหน้าตำหนัก สะเทือนจนบันไดมีรอยแตกรอยแล้วรอยเล่า

เพียงคิดก็รู้ว่าพลังฝ่ามือนี้มากมายปานไหน!

พอมองดูจ้าวจิ่งเฟิงอีกครั้ง เขาเลือดกบปากจมูก ใบหน้าแดงบวม ผมเผ้ายุ่งเหยิง สภาพยับเยินนัก

ทั้งที่นั้นเงียบสงัด

ทุกคนที่อยู่ใกล้เคียงต่างหน้าเปลี่ยนสี ใครใจกล้าขนาดไปตบหน้าองค์ชายเจ็ดกัน หนำซ้ำพลังยังมากมายปานนี้…

รอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าพวกฉินเฟยอวี่แข็งทื่อ คล้ายไม่กล้าทำใจเชื่อ

ดังนั้นสายตาทุกคู่จึงมองไปยังแขกไม่ได้รับเชิญคนนั้นโดยมิได้นัดหมาย

นั่นเป็นชายหนุ่มท่าทางอ่อนเยาว์ผู้หนึ่ง แต่งกายด้วยชุดสีขาวพระจันทร์ทั้งตัว เงาร่างสูงโปร่ง ขวางอยู่เบื้องหน้าหนิงเหมิง

นี่คือ?

หลายคนต่างงุนงง เพราะในช่วงสิบกว่าปีนี้พวกเขาเพิ่งเห็นใบหน้าอันแปลกหน้าเช่นนี้ในค่ายเป็นครั้งแรก

และยังมีบางคนรู้สึกเหมือนเคยพบเจอกันมาก่อน ทว่าไม่นานนักก็จำฐานะของผู้มาเยือนได้ เพียงแต่กลับเหมือนไม่กล้าทำใจเชื่อ ดวงตาเบิกกว้าง

หนิงเหมิงก็อึ้งไป มองดูแผ่นหลังที่อยู่ตรงหน้าแล้วหลุดปากพูดว่า “พี่ชาย เรื่องนี้เจ้าจะเข้ามายุ่มย่ามไม่ได้ รีบออกไปเถอะ”

“เจ้าโง่! เจ้าดูอีกครั้งสิว่าเขาเป็นใคร” เย่เสี่ยวชีไม่รู้โผล่มาจากไหน ฝ่ามือข้างหนึ่งตบลงไปบนไหล่หนิงเหมิง

หนิงเหมิงชะงัก

และในตอนนี้เองหลินสวินก็หันตัวมา ยิ้มเอ่ยว่า “ถ้าข้าไปแล้วใครจะช่วยเจ้าออกหน้าล่ะ”

“ให้ตายสิ… ให้ตายสิ…”

ทันใดนั้นหนิงเหมิงก็ตาแทบหลุดออกจากเบ้า ร้องเสียงประหลาดอย่างตื่นเต้นว่า “ถึงกับเป็นเจ้า! เป็นไปได้อย่างไร ทำไมจู่ๆ เจ้าก็ปรากฏตัวขึ้นล่ะ”

ความประหลาดใจมาโดยไม่ทันตั้งตัว ทำให้เขาแทบกระโดดตัวลอยขึ้นมา!

“พูดจาไร้สาระเก่งเหมือนตอนนั้นเลย”

หลินสวินก็ยิ้มอย่างอดไม่ได้เสียแล้ว

ตอนนี้พวกฉินเฟยอวี่กลับฉงนใจไม่ว่างเว้น พวกเขาจำหลินสวินไม่ได้ แต่ก็ดูออกว่าความสัมพันธ์ของหลินสวินกับหนิงเหมิงดีเป็นพิเศษ

ด้านจ้าวจิ่งเฟิงที่คลานขึ้นมาจากพื้น สีหน้าคล้ำเขียวด้วยความโกรธ น่ากลัวยิ่งขึ้นไปอีก เปลวเพลิงโหดเหี้ยมกราดเกรี้ยวหาใดเทียบแผดเผาอยู่ในดวงตา

“เจ้าถึงกับกล้าลอบโจมตีข้า… ข้าจะให้เจ้าตาย!”

เขากัดฟันเค้นเขี้ยว ทันใดนั้นก็ตะคอกดังลั่นแล้วกระโจนออกไปอีกครั้ง พลังต่อสู้ของระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดถูกโคจรออกมาเต็มกำลัง

พอมองไปตัวเขาเหมือนสายฟ้าดุดันสีโลหิตสายหนึ่ง กลิ่นอายทำลายล้างสะท้านโลก

ใครก็รู้ว่าองค์ชายเจ็ดบันดาลโทสะแล้ว เขาในตอนนี้ก็น่ากลัวที่สุด!

“ระวัง…” ในตอนนี้หลินสวินกำลังหันหลังให้จ้าวจิ่งเฟิง นี่ทำให้หนิงเหมิงจิตใจบีบรัดขึ้นมาทันที กำลังจะเอ่ยเตือน

เพียงแต่ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกเสียงตบหน้าดังกังวานชิงดังขึ้นมาก่อนแล้ว

——