เทพวารีลำคลองม่ายเหอพาเซียนกระบี่ใหญ่จั่วโย่วที่ตัวเองเลื่อมใสมานานเข้ามาในประตู เดินอ้อมผนังบังตาที่มีโชคชะตาน้ำเชื่อมโยงกับลำคลองม่ายเหอมา เดินลอดระเบียงมาถึงห้องโถงใหญ่ พ่อครัวเฒ่าคนหนึ่งเพิ่งจะกลับมาจากห้องครัว มือข้างหนึ่งถือจานใบเล็กบรรจุพริกขี้หนูเฉาเทียนที่ผ่านการปรุงสุกมาแล้ว สีแดงเพลิงสด กลิ่นเผ็ดลอยโชยมา พ่อครัวเฒ่าถามอึกๆ อักๆ ว่า “เหนียง…เนียง พริกขี้หนูเฉาเทียนนี้ท่านยัง…ยังต้องการไหมขอรับ?”
ก่อนหน้านี้เหนียงเนียงเทพวารีรังเกียจว่าคืนนี้บะหมี่ปลาไหลผัดฉ่ารสไม่จัดจ้านมากพอ จึงให้พ่อครัวเฒ่าไปผัดพริกขี้หนูเฉาเทียนมาเพิ่มอีกจาน คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันได้กิน เซียนกระบี่ก็มาเยือนตำหนักปี้โหยวแล้ว
นางชำเลืองตามองจานใบน้อยในมือของผู้เฒ่า มองบะหมี่ปลาไหลผัดฉ่าที่วางอยู่บนโต๊ะ สุดท้ายหันหน้าไปมองเซียนกระบี่จั่วโย่วที่อยู่ข้างกาย แล้วก็ให้รู้สึกลำบากใจไม่น้อย
อุตส่าห์ได้กินอาหารมื้อดึกทั้งที ดันมีคนมาเห็นเข้าเสียได้ รู้แต่แรกคงเปลี่ยนเป็นจานที่เล็กกว่านี้แล้ว
จั่วโย่วกล่าว “เหนียงเนียงเทพวารีกินอาหารมื้อดึกต่อตามสบายเถอะ ข้าไม่รีบร้อนกลับใบถงทวีป กินเสร็จแล้วข้าค่อยพูดเรื่องเป็นการเป็นงาน”
ดูสิ อะไรที่บอกว่าเป็นเซียนกระบี่ที่เข้ากับคนได้ง่าย อะไรคือบัณฑิตที่อบอุ่นอ่อนโยนนอบน้อม? ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของนายท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งตรงหน้าผู้นี้ก็เป็นอย่างนี้เอง นางรู้สึกเพียงว่าบัณฑิตสายของเหวินเซิ่ง ไยถึงได้เข้าอกเข้าใจคนอื่นดีเหมือนกันหมดเลยนะ?
นางถามหยั่งเชิง “อาจารย์จั่วจะกินด้วยกันสักชามไหม?”
จั่วโย่วนั่งลงด้านข้าง ชำเลืองตามองอ่างใบใหญ่บนโต๊ะแล้วเอ่ยว่า “ไม่ล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนอาจารย์จั่วรอสักครู่ ฟ้าดินกว้างใหญ่ หนังท้องใหญ่ที่สุด ฮ่าๆ”
นางเอ่ยคำพูดเกรงใจจบก็ไม่เกรงใจอีก รับจานนั้นมาจากมือของพ่อครัวเฒ่า เทใส่ในชามบะหมี่ ในมือถือตะเกียบคนให้เข้ากัน จากนั้นก็เริ่มก้มหน้าก้มตากินอาหารมื้อดึก เคยชินที่จะยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นมาเหยียบบนม้านั่งยาวแล้ว แต่จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าอาจารย์จั่วนั่งอยู่ด้านข้าง จึงรีบขยับตัวนั่งตรงอย่างสำรวม ทุกสามครั้งที่คีบบะหมี่เข้าปากคำใหญ่ก็จะหยิบกาเหล้าบนโต๊ะขึ้นมาจิบเหล้าที่ตำหนักปี้โหยวบ้านตัวเองหมักเองขึ้นมาดื่ม รสเหล้าร้อนแรง บวกกับพริกขี้หนูเฉาเทียน ทุกครั้งที่ดื่มเหล้าเข้าไป เหนียงเนียงเทพวารีร่างเล็กเตี้ยจะต้องหลับตาตัวสั่นเยือก สะใจ สะใจ เช็ดเหงื่อบนหน้าลวกๆ แล้วก้มหน้ากินบะหมี่ปลาไหล ‘ชาม’ นั้นต่อ
ตำหนักปี้โหยวไม่มีกฎเกณฑ์ยิบย่อยอะไร กฎก็ไม่ถือว่าเข้มงวด ยกตัวอย่างเช่นพ่อครัวเฒ่าคนนั้นมาถึงห้องโถงแล้วก็ไม่ได้จากไป เขามีเหตุผลเต็มเปี่ยม นั่นคือรอให้เหนียงเนียงเทพวารีกินเสร็จแล้ว เขาจะได้ยกจานออกไป
พวกสาวใช้ นางกำนัลของตำหนักปี้โหยวที่มีชาติกำเนิดมาจากผีที่จมน้ำตายในลำคลองม่ายเหอเองก็ไปรวมตัวกันอยู่สองฝั่งด้านนอกประตูอย่างระมัดระวัง เพราะถึงอย่างไรเซียนกระบี่ท่านหนึ่งก็พบเจอได้ยาก มาสัมผัสกลิ่นอายเซียนของเซียนกระบี่ได้สักนิดสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน พวกนางไม่กล้าส่งเสียงโหวกเหวกเอะอะ เพียงแต่เบิกตากว้างมองประเมินบุรุษที่นั่งหลับตาทำสมาธิอยู่บนเก้าอี้เท่านั้น ที่แท้เขาก็คืออาจารย์จั่วที่ ‘มาเยือน’ สำนักใบถงสองครั้งท่านนั้นเองหรือ หากเอ่ยตามคำกล่าวของเหนียงเนียงเทพวารีก็คือกระบี่เดียวฟันให้ตู้เม่าขอบเขตบินทะยานตายได้ บนฟ้าล่างดิน มีเพียงอาจารย์จั่วของข้าคนเดียวเท่านั้น อยู่ต่อหน้าอาจารย์จั่ว ใบถงทวีปของพวกเราก็ไม่มีใครสักคนที่สู้เขาได้ ตาเฒ่าสวินของสำนักกุยหยกก็ยังสู้ไม่ได้ เจียงซ่างเจินเจ้าสำนักคนใหม่ก็ยิ่งไม่มีทางทำได้
เทพวารีลำคลองม่ายเหอกินบะหมี่เสร็จก็หันไปถลึงตาใส่ทางประตูใหญ่ “ยังดูไม่พออีกหรือ?!”
เหล่านางกำนัลสาวใช้พลิ้วกายแตกฮือกันไปคนละทาง
นางเลือกจะนั่งฝั่งตรงข้ามกับจั่วโย่ว แต่เลือกนั่งบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ใกล้กับประตูใหญ่มากหน่อย ยิ้มเอ่ยว่า “ต้องขอโทษอาจารย์จั่วด้วย เวลาปกติจวนปี้โหยวของข้าไม่มีนายท่านเทพเซียนผู้ใดมาเยือน พวกเขาจึงมักจะบ่นว่าเหนียงเนียงเทพวารีอย่างข้าไม่มีหน้าไม่มีตา ครั้งนี้ก็เลยให้พวกเขาได้เปิดโลกทัศน์กันสักหน่อย”
จั่วโย่วลืมตากล่าว “ไม่เป็นไร”
การที่เขาขี่กระลี่ลงใต้มาเยือนลำคลองม่ายเหอ และคืนนี้เดินทางมาเยี่ยมเยือนตำหนักปี้โหยวเพราะว่ามีของบางอย่างที่ต้องการมอบให้กับเหนียงเนียงเทพวารีตรงหน้าซึ่งศิษย์น้องเล็กของเขาบอกว่า ‘ลำคลองม่ายเหอทั้งสายก็ยังมิอาจบรรจุความองอาจกล้าหาญของนางไว้ได้หมด’ ปีนั้นตอนอยู่นอกร้านเหล้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เฉินผิงอันพูดประโยคนี้ด้วยตัวเอง ตอนนั้นในร้านมีอาจารย์ของทั้งสองนั่งอยู่ด้านใน จิบเหล้าคำเล็กๆ กับแกล้มคือเรื่องราวแห่งขุนเขาสายน้ำของลูกศิษย์คนสุดท้าย
ตำหนักปี้โหยวแห่งนี้ของเทพวารีลำคลองม่ายเหอ ปีนั้นก่อนจะเลื่อนจากจวนเป็นตำหนักต้องเจอกับอุปสรรคมากมาย หากไม่เป็นเพราะมีจงขุยวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาต้าฝูช่วยเหลือ บางทีจวนปี้โหยวอาจเลื่อนเป็นตำหนักไม่สำเร็จ แล้วอาจจะยังถูกลงบันทึกไว้ในเอกสารคดีเพียงแค่เพราะเหนียงเนียงเทพวารีลำคลองม่ายเหอยืนกรานจะขอตำราเล่มหนึ่งของนายท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งมาเป็นสมบัติพิทักษ์ตำหนักของตำหนักปี้โหยวให้จงได้ นี่ไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์จริงๆ เหวินเซิ่งถูกลบชื่อออกจากลัทธิขงจื๊อไปนานแล้ว เทวรูปที่ตั้งบูชาก็ถูกย้ายออกจากศาลบุ๋นนานแล้ว ผลงานทุกชิ้นของเขาล้วนถูกทำลายและถูกห้ามจำหน่าย ต้องรู้ว่าเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาต้าฝูยังเป็นคนที่มาจากจวนของหย่าเซิ่ง ดังนั้นการที่จวนปี้โหยวยังคงได้เลื่อนขั้นเป็นตำหนักปี้โหยว นอกจากที่เหนียงเนียงเทพวารีลำคลองม่ายเหอจะต้องขอบคุณจงขุยที่มีคุณธรรมมีน้ำใจแล้ว ความประทับใจที่มีต่ออริยะเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาต้าฝูผู้นั้นก็เปลี่ยนแปลงไปมาก ความรู้ไม่มาก แต่ความใจกว้างกลับไม่น้อย
ดูเหมือนนางจะรู้สึกกระวนกระวายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และจั่วโย่วก็ไม่คิดจะเปิดปากพูด บรรยากาศในห้องโถงใหญ่จึงชวนอึดอัดอยู่บ้าง เทพวารีลำคลองม่ายเหอท่านนี้เค้นสมองครุ่นคิดอยู่นานกว่าจะนึกถ้อยคำเปิดเผยความในใจออกมาได้ ไม่รู้ว่าเขินอายหรือซาบซึ้ง สายตาของนางเป็นประกายวิบวับ แต่ปากกลับสั่น แม้เอวจะยืดตรง แต่มือสองข้างกลับกำที่เท้าแขนเก้าอี้แน่น เมื่อเป็นเช่นนี้สองขาจึงยิ่งลอยพ้นเหนือพื้น “อาจารย์จั่ว ต่างพูดกันว่าเวทกระบี่ของท่านสูงส่ง ปราณกระบี่มากมายเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า เป็นเหตุให้ในรัศมีร้อยลี้รอบกายอาจารย์จั่ว แม้แต่เซียนดินก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้ ลำพังเพียงแค่ปราณกระบี่พวกนั้นก็เป็นฟ้าดินเล็กแห่งหนึ่งได้แล้ว! เพียงแต่ว่าอาจารย์จั่วสงสารผู้คน เพื่อไม่ให้ทำร้ายสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ให้ต้องบาดเจ็บ อาจารย์จั่วถึงได้ออกทะเลไปเยี่ยมเยือนเซียน อยู่ห่างไกลจากโลกมนุษย์…”
จั่วโย่วส่ายหน้า “ไม่ได้เกินจริงเช่นนั้น ปีนั้นขอแค่เก็บความคิดไว้ได้ ปราณกระบี่ก็จะไม่ทำร้ายคนอื่นแล้ว”
นางทอดถอนใจ “อาจารย์จั่วช่างแข็งแกร่งจริงๆ!”
จั่วโย่วกล่าว “เหนียงเนียงเทพวารีเรียกข้าว่าจั่วโย่วก็พอแล้ว คำเรียกว่า ‘อาจารย์’ นี้ ข้ามิกล้ารับหรอก”
นางส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่ได้ๆ ไม่เรียกอาจารย์จั่ว เรียกเซียนกระบี่จั่วก็ยิ่งธรรมดาสามัญเข้าไปใหญ่ อันที่จริงใต้หล้านี้มีเซียนกระบี่อยู่ไม่น้อย แต่บัณฑิตที่แท้จริงในสายตาของข้ากลับมีอยู่ไม่มาก ส่วนจะให้เรียกชื่อตรงๆ นั้น ข้าไม่ได้ดื่มเหล้าเมาเสียหน่อย มิกล้า มิกล้า”
จั่วโย่วเองก็คร้านจะสนใจเรื่องพวกนี้ เขาลุกขึ้นยืน หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ เดินไปหาเทพวารีลำคลองม่ายเหอ
นางรีบกระโดดผลุงลุกขึ้นยืน รีบเช็ดสองมือกับชายแขนเสื้อ รับตำราสีออกเหลืองเล่มนั้นมาไว้อย่างนอบน้อม
เป็นหนังสือที่ทำมาจากวัสดุธรรมดาที่สุด จัดพิมพ์จากโรงหนังสือแคว้นเล็กแห่งหนึ่งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางในอดีต นอกจากเป็นเล่มแรกของการจัดพิมพ์แล้วก็ไม่มีอย่างอื่นให้พูดถึงอีก เพราะกำลังทรัพย์ของพ่อค้าหนังสือไม่ได้มีมากมาย ขนาดของร้านก็ไม่ใหญ่ กระดาษ ตัวอักษร การจัดพิมพ์ล้วนไม่เข้าขั้นทั้งสิ้น ตอนนั้นหนังสือขายได้ไม่ดี อาจารย์จึงควักเงินของตัวเองซื้อมารวดเดียวเกือบร้อยเล่ม อีกทั้งยังให้ลูกศิษย์อีกหลายคนไปซื้อมาจากร้านหนังสือที่ต่างกัน เพราะกลัวว่าจะขายไม่ออกแม้แต่เล่มเดียว รู้สึกว่าไม่มีคุณสมบัติที่จะได้ยึดครองพื้นที่แห่งหนึ่งในร้านหนังสือจึงโยนเก็บเข้าไว้ในคลัง นับแต่นั้นมาก็ไม่เคยเห็นแสงตะวันอีก
ปีนั้นพวกจั่วโย่วแยกย้ายกันไปซื้อหนังสือ ยุ่งวุ่นวายอยู่หลายวัน ทุกครั้งที่จั่วโย่วจ่ายเงินเสร็จก็จากมาทันที เพื่อที่จะไปซื้อหนังสือจากร้านถัดไป ดังนั้นไปกลับจึงเร็วมาก มีเพียงเสี่ยวฉีเท่านั้นที่ทุกครั้งจะต้องถ่วงเวลารอจนฟ้ามืดถึงจะกลับโรงเรียน แต่กลับซื้อหนังสือมาแค่กี่เล่มเท่านั้น พออาจารย์ถาม เสี่ยวฉีตอบ อาจารย์ก็หัวเราะดังลั่นอย่างชอบใจ ที่แท้ทุกครั้งเสี่ยวฉีจะซื้อหนังสือของร้านหนึ่งแค่หนึ่งเล่มเท่านั้น อีกทั้งยังจะต้องพูดคุยถึงเนื้อหาในหนังสือกับเถ้าแก่ร้านอยู่นานเป็นครึ่งๆ วัน เป็นเหตุให้เถ้าแก่ร้านหนังสือส่วนใหญ่เข้าใจผิดคิดว่าหนังสือที่กินฝุ่นมานานเล่มนั้นเป็นไข่มุกที่ถูกฝุ่นเกาะ แท้จริงแล้วก็คือผลงานของอริยะปราชญ์ที่ร้ายกาจท่านหนึ่งจริงๆ? ถึงได้สามารถทำให้เมล็ดพันธ์บัณฑิตที่มีพรสวรรค์และยังฉลาดเฉลียวคนหนึ่งเลื่อมใสได้ถึงเพียงนี้ เป็นเหตุให้หลังจบเรื่องยังกึ่งเชื่อกึ่งกังขา แต่ก็สั่งซื้อหนังสือจากพ่อค้าหนังสือคนอื่นๆ เข้าร้านมาอีกหลายเล่ม และวันนั้นเสี่ยวฉีก็บอกเตือนกับศิษย์พี่ใหญ่ในเวลานั้นว่า ผ่านไปอีกสองสามวันให้เขาไปที่ร้านหนังสือที่ตนเคยไป เพื่อซื้อหนังสือมาเล่มหนึ่ง
จั่วโย่วกล่าว “ศิษย์น้องเล็กเคยรับปากตำหนักปี้โหยวว่าจะมอบตำราเล่มหนึ่งของอาจารย์ให้ เพียงแต่ตอนนี้ศิษย์น้องเล็กมีธุระ คืนนี้ข้ามาก็เพื่อนำหนังสือมามอบให้”
นางที่รับหนังสือมาด้วยสองมือพยักหน้ารับเบาๆ “ข้ารู้อยู่แล้วว่าจะต้องเชื่อคำพูดของอาจารย์เฉินได้ เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าจะให้อาจารย์จั่วเป็นคนเอามาส่งให้”
จั่วโย่วยิ้มกล่าว “ไม่เพียงเท่านี้ ศิษย์น้องเล็กยังเล่าเรื่องมากมายเกี่ยวกับเหนียงเนียงเทพวารีและตำหนักปี้โหยวให้อาจารย์ของพวกเราฟัง อาจารย์ฟังแล้วอารมณ์ดีอย่างมาก ดังนั้นจึงดื่มเหล้าไปไม่น้อย”
นางซาบซึ้งใจอย่างถึงขีดสุด พูดเสียงสั่นว่า “แม้แต่อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งก็ยังรู้จักข้าแล้วหรือ?”
จั่วโย่วพยักหน้ารับ “อาจารย์ของข้าบอกว่าเหนียงเนียงเทพวารีช่างองอาจยิ่งนัก ตามีแวว แล้วยังบอกว่าความรู้ของตนเมื่อเทียบกับปรมาจารย์มหาปราชญ์แล้วยังห่างชั้นกันไกลนัก”
เหวินเซิ่งในอดีตเขียนตัวอักษรได้อย่างงดงาม ทว่าอักษรในแต่ละบรรทัดกลับเป็นระเบียบระมัดระวัง อธิบายหลักการเหตุผลได้อย่างกระจ่างแจ้ง อีกทั้งเส้นสายยังชัดเจน ต่อให้เป็นคนที่รู้หนังสือแค่ผิวเผิน คนที่พอจะเข้าใจความหมายของตัวอักษรได้บ้างเล็กน้อย ก็ยังสามารถอ่านเข้าใจได้อย่างผ่อนคลาย
ดังนั้นผู้เฒ่าที่มียศแค่ซิ่วไฉเฒ่าผู้นั้นจึงได้รับคำเรียกขานที่ไพเราะว่า ‘มีการผสมผสานของสามลัทธิ มีความสำเร็จของเหล่าเมธี’
เหนียงเนียงเทพวารีไม่รู้แล้วว่าควรจะพูดอะไรต่อ นางรู้สึกมึนๆ งงๆ ราวกับดื่มเหล้าหมักหมื่นจินของโลกมนุษย์
จั่วโย่วเอ่ย “เพียงแต่ว่าอาจารย์ของข้ายังเตือนว่าหนังสือเล่มนี้ เหนียงเนียงเทพวารีเจ้าเก็บไว้เองก็พอแล้ว อย่าเอาไปบูชา ไม่มีความจำเป็น”
นางกล่าว “ในเมื่อเป็นคำสอนของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ข้าก็จะทำตาม”
จากนั้นจั่วโย่วก็หยิบแผ่นไม้ไผ่หลายแผ่นที่วางทับซ้อนกันออกมามอบให้นาง บนแผ่นไม้ไผ่แผ่นแรกเขียนตัวอักษรหกคำ จั่วโย่วอธิบายว่า “อักษร ‘เสิน’ (เทพ) นี้เป็นอักษรที่อาจารย์ของข้าใช้รูปแบบอักษรหกชนิดเขียนขึ้นมา อักษรคำว่า ‘เสิน’ ที่หลี่เซิ่งสร้างขึ้นช่วงแรกมีครบทั้งรูปเสียงและความหมาย จากนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา จ้วน ลี่ สิง ฉ่าว ข่าย ความหมายคร่าวๆ ก็คือหวังว่าเหนียงเนียงเทพวารีจะไม่ลืมหน้าที่ของตัวเอง จะยังคงปกป้องน้ำดินในพื้นที่แถบหนึ่งต่อไป ส่วนแผ่นไม้ไผ่พวกนี้ล้วนเคยเป็นของศิษย์น้องเล็กของข้า”
เทพวารีลำคลองม่ายเหอรับแผ่นไม้ไผ่มาแผ่นหนึ่ง เป็นเพียงแค่แผ่นไม้ไผ่เล็กๆ ที่บรรจุอักษรหกตัว ทว่าพอถือไว้ในมือกลับมีน้ำหนักนับพันชั่ง
จั่วโย่วพลันหัวเราะ “ตอนนั้นอาจารย์ดื่มเหล้าเยอะไปหน่อย ยังคงเป็นศิษย์น้องเล็กที่ยืนกรานให้อาจารย์มอบถ้อยคำอีกสองสามคำให้ตำหนักปี้โหยวให้ได้ ในความเป็นจริงแล้วอาจารย์ของข้าไม่เคยยกพู่กันเขียนตัวอักษรมานานมากแล้ว ตอนนั้นศิษย์น้องเล็กที่อยู่ด้านข้าง…คอยเร่งรัดอาจารย์ ต้องการให้อาจารย์เขียนด้วยจิงเสินชี่ที่เปี่ยมล้น ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าเอามามอบให้เจ้า กลัวจะลบเลือนภาพลักษณ์อันยิ่งใหญ่ของอาจารย์ในใจเหนียงเนียงเทพวารีเสียเปล่า”
เรื่องบางอย่างสามารถพูดได้ เรื่องบางอย่างกลับไม่อาจพูด ยกตัวอย่างเช่นตอนนั้นจั่วโย่วรู้สึกว่าเฉินผิงอันไร้ระเบียบไร้กฎเกณฑ์เกินไป เป็นลูกศิษย์กลับไม่มีมารยาทที่ลูกศิษย์สมควรมี เพียงแต่ว่าจั่วโย่วเพิ่งจะบ่นได้คำเดียว เฉินผิงอันก็ร้องเรียกอาจารย์ทันที ฝ่ามือของอาจารย์จึงตามมาติดๆ
คนร่วมสำนักเอ่ยฟ้อง จั่วโย่วโดนตี เคยชินแล้วก็ดีไปเอง
จั่วโย่วยื่นแผ่นไม้ไผ่แผ่นที่สองไปให้ “นี่คือความหวังที่อาจารย์มีต่อเจ้า หวังว่าวันหน้ามหามรรคาของเจ้าจะราบรื่น”
‘สะสมน้ำกลายเป็นหุบเหว เจียวหลงจึงถือกำเนิด สะสมบุญกลายเป็นกุศล สติปัญญาย่อมแจ่มกระจ่าง มีจิตวิญญาณดุจดั่งอริยะ’
หลังจากยื่นแผ่นไม้แผ่นที่สามออกไป จั่วโย่วก็เอ่ยว่า “อาจารย์บอกว่าตำหนักปี้โหยวและเทพวารีลำคลองม่ายเหอคู่ควรกับคำกล่าวนี้”
‘ผู้ที่มีปณิธานยิ่งใหญ่มองเป็นคนร่ำรวยได้อย่างภาคภูมิ คนที่มีคุณธรรมน้ำใจมองเป็นอ๋องและกงผู้สูงศักดิ์’
จั่วโย่วยื่นไม้ไผ่แผ่นที่สี่ไปให้ “ก่อนจะยกพู่กัน อาจารย์บอกว่าตัวเองถือตนเป็นใหญ่ ขอทำหน้าหนาใช้สถานะของผู้อาวุโสมากำชับผู้น้อยสักสองสามคำ หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสา ยังบอกอีกว่าในฐานะเทพวารีลำคลองม่ายเหอ นอกจากที่จะยึดมั่นในความเที่ยงตรงของตัวเองแล้ว ก็ต้องไปสัมผัสกับความสุขความทุกข์การพบพรากของชาวบ้านในพื้นที่ปกครองให้มาก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในทุกวันนี้ล้วนมาจากมนุษย์ทั้งสิ้น”
‘ดูแคลนพิธีกรรมและคุณธรรม เลื่อมใสความกล้าหาญและพละกำลัง ความยากจนคือการขโมย ความร่ำรวยคือขโมยที่ทำร้ายผู้อื่น’
จั่วโย่วยื่นไม้ไผ่แผ่นสุดท้ายไปให้ “คนที่รู้ตัวเองไม่โทษคนอื่น คนที่กุมชะตาตัวเองไม่โทษฟ้า ประโยคนี้เป็นประโยคที่อาจารย์เอ่ยกับเจ้า อันที่จริงก็ยิ่งเป็นการเอ่ยกับบัณฑิตในใต้หล้า”
ได้ตำราของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งมาเล่มหนึ่ง แล้วยังได้แผ่นไม้ไผ่มาอีกห้าแผ่น เทพวารีลำคลองม่ายเหอรู้สึกเหมือนกำลังฝันไป จุ๊ปากเอ่ยว่า “มิอาจรับได้ไหว”
จั่วโย่วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “มีแค่เรื่องเดียวที่ข้าต้องพูดกับเจ้าให้มากหน่อย หากเจ้ารู้สึกว่าตัวเองรู้จักเฉินผิงอัน อีกทั้งเฉินผิงอันยังเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของอาจารย์ ดังนั้นเจ้าถึงได้ ‘ชื่นชอบ’ อาจารย์ของข้ามากขึ้น ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ผิดแล้ว เจ้าดูแคลนความรู้ของอาจารย์ข้าเกินไป ทฤษฎีลำดับขั้นตอนของสายเหวินเซิ่งพวกเราไม่ควรเข้าใจเช่นนี้ เป็นเพราะมีเทพวารีลำคลองม่ายเหอและจวนปี้โหยวก่อน ถึงได้มีการพบเจอกันระหว่างเหนียงเนียงเทพวารีกับศิษย์น้องเล็ก เป็นเพราะเจ้ายอมรับในความรู้ของสายเหวินเซิ่งจากใจจริงก่อน ถึงได้มีการตอบแทนกลับคืนด้วยมารยาทจากอาจารย์ข้า”
นางพูดด้วยสีหน้าสดใสมีชีวิตชีวา “แน่นอน!”
จั่วโย่วมอบหนังสือและแผ่นไม้ไผ่ให้เรียบร้อยแล้วก็เตรียมจะกลับสำนักใบถงทันที
นางมองสีท้องฟ้าแล้วเอ่ยรั้งว่า “อาจารย์จั่วไม่ดื่มเหล้าสักหน่อยหรือ? เหล้าหมักของจวนปี้โหยวพอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้างนะ”
จั่วโย่วส่ายหน้า “ข้าไม่ชอบดื่มเหล้า
นางรู้สึกเสียดายเล็กน้อย เป็นความไม่เพียงพอเล็กๆ ในความสมบูรณ์แบบ
จั่วโย่วเอ่ยอำลา เดินข้ามธรณีประตูแล้วขี่กระบี่จากไปไกล
นางยืนอยู่นอกประตู แหงนหน้ามองเซียนกระบี่ที่เดินทางกลับเหนือแล้วพูดทอดถอนใจจากใจจริงว่า “อาจารย์จั่วที่ตัวสูงๆ แข็งแกร่งๆ”
จั่วโย่วขี่กระบี่ออกจากน่านน้ำลำคลองม่ายเหอด้วยความรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ตอนที่เดินทางผ่านเมืองหลวงต้าเฉวียนก็คิดว่า ยังดี ก่อนหน้านี้เจียงซ่างเจินผู้นั้นโดนไปหนึ่งกระบี่ รู้จักที่จะฉลาดขึ้นมาบ้างแล้ว
อยู่ดีๆ ก็นึกถึงการดื่มเหล้าครั้งนั้นในปีนั้น
อาจารย์เมามายยิ้มถามศิษย์น้องเล็กว่า ‘คิดพิศมองประวัติศาสตร์พันปี ก็ต้องพิศมองจากทุกวันนี้ คิดจะเข้าใจจำนวนหลายร้อยล้าน ก็ต้องเริ่มนับจากหนึ่งสอง ยากหรือไม่?’
ศิษย์น้องเล็กตอบ ‘รู้วันนี้จากวันวาน รู้ไกลจากใกล้ จากหนึ่งรู้หมื่น จากน้อยรู้มาก จากมืดรู้สว่าง รู้ง่ายทำยาก ยากแต่ก็ไม่ยาก’
อาจารย์หัวเราะเสียงดังลั่น ให้จั่วโย่วไปเอาเหล้ามาอีกกา ลงบัญชีเอาไว้ ศิษย์พี่ศิษย์น้องต้องคิดบัญชีกันอย่างชัดเจน ศิษย์พี่จะค้างเงินอย่างไร้มโนธรรมเพียงเพราะเป็นร้านเหล้าของศิษย์น้องเล็กไม่ได้
เฉินผิงอันมีอยู่ข้อหนึ่งที่แข็งแกร่งกว่าศิษย์พี่อย่างเขามาก
สามารถทำให้อาจารย์ดื่มเหล้าได้โดยไม่รู้สึกเหงา ให้อาจารย์ลืมความทุกข์ความกังวลทั้งหลาย
ศิษย์น้องเล็กไม่เสียแรงที่เป็นคนคนเดียวที่มีภรรยาในบรรดาศิษย์พี่ทั้งหลาย
มิน่าเล่าถึงได้รับความรักความเอ็นดูจากอาจารย์มากที่สุด
สำหรับเรื่องนี้จั่วโย่วไม่รู้สึกไม่พอใจแม้แต่น้อย จั่วโย่วดีใจมากที่อาจารย์รับศิษย์น้องเล็กที่เป็นเช่นนี้ไว้ให้ตนและเสี่ยวฉี