บทที่ 691.3 หมาเฝ้าประตู

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หลิ่วป๋อฉีลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยว่า “ทุกวันนี้พี่ใหญ่ทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจการงานขุดเจาะลำน้ำใหญ่ พวกเราไม่ไปหาเขาหน่อยหรือ?”

หลิ่วชิงซานส่ายหน้า “ข้าไม่มีพี่ใหญ่อย่างเขา”

หลิ่วป๋อฉีกล่าวอย่างจนใจ “พี่ใหญ่มีเรื่องที่ลำบากใจบอกใครไม่ได้”

หลิ่วชิงซานพูดด้วยสีหน้าหม่นหมอง “แคว้นชิงหลวนมีหลิ่วชิงเฟิง ราชวงศ์ต้าหลีมีหลิ่วชิงเฟิง แต่ข้าไม่มีพี่ใหญ่เช่นนี้ ทำเนียบวงศ์ตระกูลของสวนสิงโตและสกุลหลิ่วต่างก็ไม่มีชื่อเขาอยู่”

หลิ่วป๋อฉีไม่โน้มน้าวอะไรอีก ปีนั้นหลิ่วชิงเฟิงเคยเอ่ยเตือนน้องสะใภ้อย่างนางที่นอกศาลบรรพชนว่า เรื่องบางอย่างไม่จำเป็นต้องพูดกับหลิ่วชิงซานให้มากความ

บัณฑิตที่ขากะเผลกพลันตาแดงก่ำ การขุดลำน้ำใหญ่เป็นเรื่องที่ยากลำบากถึงเพียงนั้น แถมเจ้าหมอนั่นยังไม่ใช่ผู้ฝึกตน ไม่ว่าทำอะไรก็ล้วนชอบลงแรงทำด้วยตัวเอง…

……

ต้นกำเนิดลำน้ำใหญ่สายแรกในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีป

สาวใช้แห่งตรอกหนีผิงนามว่าจื้อกุยยืนอยู่ริมน้ำเพียงลำพัง สีหน้าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน

ลำน้ำใหญ่สายนี้มีชื่อว่าฉีตู๋!

ไม่เพียงเท่านี้ ต่อจากนี้การที่นางสามารถเดินลงน้ำได้ยังต้องยกคุณความชอบให้กับหนังสือคลายพันธะสัญญาสมควรตายในชายแขนเสื้อฉบับนั้น!

ตอนนั้นเรื่องที่คนทั้งสองผูกพันธะสัญญากัน เด็กกำพร้าตรอกหนีผิงที่ตะเกียงชีวิตอ่อนแอจนเหมือนแสงเทียนกลางสายลมผู้นั้นย่อมไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย

คิดไม่ถึงว่าวันนี้ไอ้หมอนี่ถึงขั้นกล้าคลายพันธะสัญญาเพียงลำพัง?!

……

ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ในจวนของเจ้ากรมท่านหนึ่งในเมืองหลวงต้าหลี ผู้เฒ่าอายุร้อยปีคนหนึ่งที่สวมชุดขุนนางเรียบร้อยแล้วพลันเปลี่ยนใจ ไม่ไปร่วมประชุมเช้าแล้ว

ผู้เฒ่าเปลี่ยนมาสวมชุดอยู่บ้าน บ่าวรับใช้เฒ่าคนหนึ่งถือโคมไฟไว้ในมือ พากันเดินไปที่ห้องหนังสือ หลังจากจุดตะเกียงแล้ว เจ้ากรมผู้เฒ่าแห่งกรมขุนนางท่านนี้ก็นั่งลงหน้าโต๊ะหนังสือ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “กี่ปีมาแล้วที่ไม่เคยได้ตั้งใจอ่านหนังสือสักเล่มให้ดีๆ เลย?”

ถึงอย่างไรผู้เฒ่าก็อายุมากแล้ว สายตาไม่ค่อยดี จึงได้แต่เอาหน้าขยับใกล้หนังสือภายใต้แสงไฟ

ผู้เฒ่าพลันพึมพำขึ้นมาว่า “อาจารย์ชุยไม่ได้โกหกกันจริงๆ ด้วย บัณฑิตของต้าหลีเราทุกวันนี้ไม่ได้มีเพียงสถานะปัญญาชนของต้าหลีอย่างเดียวเท่านั้น ภาษาทางการของต้าหลีคำเดียวก็ถูกคนต่างถิ่นดูแคลนบทความบทประพันธ์แล้ว”

ผู้เฒ่าหันหน้าไปมองม่านราตรีนอกหน้าต่างที่ขมุกขมัว “เพียงแต่ไม่รู้ว่าบัณฑิตของต้าหลีพวกเราจะกลายเป็นบัณฑิตที่เจ็บแค้นที่สุดภายในค่ำคืนเดียวเหมือนอย่างปีนั้นหรือไม่?”

พืชพรรณที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองหลวงมีต้นชิงถงนอกห้องหนังสือของตระกูลกวน ดอกเถิงฮวาของตระกูลหาน และดอกโบตั๋นของวัดเป้ากั๋ว

หลายปีมานี้นายท่านผู้เฒ่ากวนมักจะถอนหายใจกับรูที่มดแมลงกัดแทะบนต้นชิงถงเป็นประจำ ลูกหลานเคยแนะนำว่า ในเมื่อท่านบรรพบุรุษรักและถนอมต้นชิงถงขนาดนี้ ก็สามารถขอให้เทพเซียนบนภูเขาร่ายเวทคาถาให้ได้ ผลกลับถูกนายท่านผู้เฒ่ากวนด่าจนไม่เหลือชิ้นดี ก่นด่าว่าลูกหลานอกตัญญู มีเพียงประโยคหนึ่งที่กวนอี้หรานเอ่ยยามชื่นชมต้นชิงถงร่วมกับนายท่านผู้เฒ่ากวนเท่านั้นที่ถึงพอจะทำให้ผู้เฒ่าปล่อยวางได้หลายส่วน

ผู้เฒ่าทอดถอนใจให้กับม่านราตรีนอกหน้าต่าง “หวังเพียงว่าอย่าได้เป็นเช่นนั้นเลย บัณฑิตควรจะมีปณิธานของผู้มีความรู้และมีความกล้าหาญของบัณฑิตสักหน่อย”

พูดไม่เกินความเป็นจริง แต่ละถ้อยคำมีคุณค่าอย่างแท้จริง หาวิธีอย่างอื่นไม่ได้ ก็ไม่พูดเลื่อนเปื้อนไร้แก่นสาร

ผู้เฒ่าพลันวางตำราลง ลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “รีบไปเตรียมรถ ข้าจะไปประชุมเช้า!”

บ่าวเฒ่าที่อยู่นอกประตูเอ่ยเตือน “นายท่านผู้เฒ่าเปลี่ยนชุดขุนนางก่อนดีไหมขอรับ?”

ผู้เฒ่าหัวเราะร่าเสียงดัง “สวมชุดขุนนางกับผายลมอะไรล่ะ วันนี้ข้าผู้อาวุโสจะทิ้งเรื่องราวไว้บนตำราประวัติศาสตร์ของต้าหลี ต้นฤดูใบไม้ผลิรัชศกชุนเจียปีที่หก เจ้ากรมขุนนางนามว่า… แก่แล้วจึงขี้หลงขี้ลืม สวมชุดลัทธิขงจื๊อมาร่วมการประชุมเช้า ผิดต่อหลักพิธีการอย่างยิ่ง จึงถูกขวางไว้นอกประตู อากาศฤดูใบไม้ผลิหนาวเย็น เจ้ากรมผู้เฒ่ายืนตัวแข็งหนาวสั่นอยู่นอกประตูอย่างเดียวดาย ฮ่าๆ น่าสนใจ น่าสนใจ…”

บ่าวเฒ่าเอ่ยเสริมประโยคหนึ่ง “นายท่านซ่อนของกินไว้ในชายแขนเสื้อด้วยดีไหม? หนาวจนตัวแข็งคือหาเรื่องใส่ตัว แต่หากต้องหิวโหยด้วยก็อย่าดีกว่า หากทั้งหนาวทั้งหิว ด้วยสภาพร่างกายของนายท่านคงจะรับไม่ไหวจริงๆ”

ผู้เฒ่าหัวเราะหึหึ “ประเสริฐยิ่ง!”

ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อสวมชุดสีเขียวคนหนึ่งยืนอยู่บนกำแพงของเมืองหลวงต้าหลี

ด้านหลังคือเมืองหลวงต้าหลีที่ยังพอมองเห็นแสงตะเกียงได้อย่างเลือนราง ตรงหน้ามีผู้คนมากมาย มีพ่อค้าจากหลากหลายสถานที่กำลังมารอเข้าเมือง มีทั้งปัญญาชนที่เดินทางทัศนศึกษา ผู้ฝึกยุทธในยุทธภพ ปะปนไปด้วยผู้ฝึกตนบนภูเขา…

ราชครูชุยฉานหันกลับไปมองแสงตะเกียงจุดหนึ่งในเมือง นับตั้งแต่ที่เขาเป็นราชครูมา เมืองหลวงแห่งนี้ไม่ว่ายามกลางวันหรือกลางคืน เวลาร้อยกว่าปีที่ผ่านมานี้แสงไฟไม่เคยดับลงแม้สักเสี้ยววินาที ในเมืองจะต้องมีตะเกียงดวงหนึ่งที่ถูกจุดสว่างอยู่เสมอ

ต้องยกคุณความชอบให้กับตระกูลคนมีเงินสูงศักดิ์ที่จุดตะเกียงสว่างไสว ยกคุณความชอบให้กับตะเกียงฉางหมิงในวัดวาอารามน้อยใหญ่ ยกคุณความชอบให้กับปัญญาชนตรอกยากจนที่จุดตะเกียงตรากตรำอ่านตำรา…

ชุยฉานหันกลับมามองไปนอกเมือง มีพ่อค้าที่เป่าลมถูมือหาความอบอุ่น มีคนนอนขดตัวงีบหลับอยู่บนรถ มีบัณฑิตต่างถิ่นที่นัดหมายกันว่าจะมาท่องเที่ยวเมืองหลวงต้าหลีด้วยกัน เมื่อฟ้าเริ่มสว่างจึงเดินลงจากรถม้าที่จ้างม้า พากันชี้ไม้ชี้มือมายังหัวกำแพงเมือง และยังมีรถม้าของคนรวยที่พอเด็กๆ สะดุ้งตื่นก็ร้องไห้โยเยไม่หยุด ทำเอาเหล่าสตรีกลัดกลุ้มใจ

ชุยฉานยืนอยู่บนหัวกำแพงเมืองเพียงลำพัง เสียงเสื้อเกราะเหล็กของทหารที่คอยเดินตรวจตราหัวกำแพงของต้าหลีดังกระทบกันเป็นจังหวะ พวกเขาเดินผ่านด้านหลังของราชครูแล้วก็จากไปไกล

ชุยฉานหวังว่าทุกคนที่เข้ามาในเมือง โดยเฉพาะพวกคนหนุ่มสาว ก่อนจะเข้าเมืองมา ดวงตาของพวกเขาจะพกพาแสงสว่างมาด้วย

ปณิธาน ความทะเยอทะยาน ความปรารถนา

เงินทอง ทรัพย์สมบัติ ลาภยศ สาวงาม สุราชั้นดี โชควาสนา

เชิญแต่ละคนอาศัยความสามารถของตัวเองมาช่วงชิงสิ่งเหล่านี้ไปจากเมืองหลวงต้าหลีของข้าที่ไม่ว่าอะไรก็มีครบถ้วนแห่งนี้ได้เต็มที่!

……

หลิวเสี้ยนหยางออกจากทักษินาตยทวีปกลับคืนมายังบ้านเกิดอย่างเงียบเชียบอีกครั้ง ครั้งนี้เขาจะไม่จากไปแล้ว เพราะในศาลบรรพจารย์ของภูเขาเสินซิ่ว เนื่องจากสำนักกระบี่หลงเฉวียนถูกก่อตั้งขึ้นด้วยมือของหร่วนฉง ดังนั้นจึงยังไม่ได้แขวนภาพของบรรพจารย์ หลิวเสี้ยนหยางจึงแค่ต้องจุดธูปอย่างเดียวเท่านั้น

สำนักกระบี่หลงเฉวียนไม่ได้ระดมกำลังจัดงานพิธีเปิดภูเขาอย่างเอิกเกริก ทุกอย่างล้วนยึดความเรียบง่าย แม้แต่ศาลลมหิมะที่เป็นบ้านเดิมก็ไม่ได้บอกกล่าว

ไม่ใช่ภูเขาพีอวิ๋นที่อยากได้เงินจนเป็นบ้าเสียหน่อย

หร่วนฉงแค่เรียกสวีเสี่ยวเฉียวและเซี่ยหลิงที่อยู่ทางเหนือกลับมาที่ภูเขา เรียกให้พวกลูกศิษย์ผู้สืบทอดชุดแรกสุดอย่างพวกต่งกู่มากินข้าวร่วมกัน

หร่วนฉง หร่วนซิ่ว ต่งกู่ สวีเสี่ยวเฉียว เซี่ยหลิง หลิวเสี้ยนหยาง แค่หกคนเท่านั้น

หลิวเสี้ยนหยางไม่ได้ฝึกตนอยู่ในภูเขา แล้วก็ไม่ได้ไปเยือนอาณาเขตใหม่ทางทิศเหนือของเมืองหลวงต้าหลี แค่ไปอยู่ที่ร้านตีเหล็กริมลำคลองหลงซวี หลังจากที่สวีเสี่ยวเฉียวออกมาจากที่นั่น ที่นั่นก็ค่อยๆ ถูกทิ้งร้างไม่ได้ใช้ประโยชน์

แล้วก็ไม่เห็นว่าหลิวเสี้ยนหยางจะฝึกตนยังไง สำนักกระบี่หลงเฉวียนเองก็ไม่ได้ป่าวประกาศแก่คนนอกถึงสถานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเขา ดังนั้นทุกวันหลิวเสี้ยนหยางจึงทำเพียงแค่เดินเตร็ดเตร่ไปทั่วเท่านั้น

วันนี้ต่งกู่มาที่ร้านตีเหล็ก รออยู่นานกว่าหลิวเสี้ยนหยางที่ว่างงานจะหวนกลับมา

หลิวเสี้ยนหยางวิ่งตุปัดตุเป๋เข้ามาหา กุมหมัดยิ้มเอ่ย “ศิษย์พี่ใหญ่มาหาข้าหรือ? ทำไมไม่ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวมาเล่า”

ต่งกู่ส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไร”

หลิวเสี้ยนหยางยกเก้าอี้ไม้ไผ่สองตัวเล็กมา ต่างคนต่างนั่งลงใต้ชายคา หลิวเสี้ยนหยางเอ่ย “ศิษย์พี่ใหญ่มีอะไรก็พูดมาตามตรงได้เลย คนบ้านเดียวกันไม่พูดจาห่างเหิน”

ต่งกู่กล่าว “อาจารย์รับลูกศิษย์ผู้สืบทอดมาสองกลุ่ม ดังนั้นลำดับชื่อของศิษย์น้องหลิวจึงค่อนไปช่วงท้ายแล้ว ข้ารู้สึกว่านี่ไม่ค่อยเหมาะเท่าไร เลยอยากจะถามศิษย์น้องหลิวว่ามีความคิดอะไรหรือไม่”

ต่งกู่เห็นหลิวเสี้ยนหยางยิ้มตาหยี พูดแค่ว่าไม่มีความคิดอะไร เลยได้แต่เอ่ยต่อไปว่า “ศิษย์น้องหลิวอย่าได้คิดว่าข้ากำลังหยั่งเชิงอะไรเด็ดขาด ไม่ได้เป็นแบบนี้แน่นอน สำหรับการที่ตัวข้ายึดครองสถานะศิษย์พี่ใหญ่มาโดยตลอด อันที่จริงข้าละอายใจมาก ข้าทั้งมีชาติกำเนิดมาจากภูตในภูเขาที่ไม่เข้าขั้น แล้วยังไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ด้วย อันที่จริงหลายปีที่ผ่านมานี้นี่เป็นเรื่องที่คนของต้าหลีหัวเราะเยาะมาโดยตลอด อาจารย์ไม่ถือสา เพราะอาจารย์ใจกว้าง แต่หากข้าไม่ถือสา ก็เท่ากับยอมรับในชาติกำเนิดที่ไม่ใช่คนของตัวเอง ข้าต่งกู่มีความสามารถใด เป็นแค่ภูตในป่าเขาแต่กลับกล้ามาเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของสำนักกระบี่หลงเฉวียนอย่างนั้นหรือ?!”

หร่วนฉงอาจารย์ของพวกเขาไม่ใช่คนอ้อมค้อม ก่อนหน้านี้ตอนที่กินข้าวร่วมโต๊ะก็ได้บอกตามตรงแล้วว่าหลิวเสี้ยนหยางคือผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนหนึ่ง คือคนที่มีขอบเขตสูงที่สุดในบรรดาลูกศิษย์ของทุกวันนี้

เกี่ยวกับเรื่องของศิษย์พี่ใหญ่ หร่วนฉงเคยพูดกับต่งกู่อย่างตรงไปตรงมาแล้วครั้งหนึ่ง หากหลิวเสี้ ยนหยางยังไม่มา ต่งกู่ก็สามารถแข็งใจเป็นต่อไปได้ แต่ในเมื่อหลิวเสี้ยนหยางมีความสัมพันธ์กับสำนักกระบี่หลงเฉวียนมานานแล้ว อีกทั้งยังขอบเขตสูง คุณสมบัติดีกว่า ถ้าอย่างนั้นตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่นี้ ต่งกู่ก็รู้สึกจากใจจริงว่าหากเปลี่ยนให้หลิวเสี้ยนหยางมาเป็นจะเหมาะสมยิ่งกว่า ดีต่อสำนักกระบี่หลงเฉวียนมากกว่า

หลิวเสี้ยนหยางโน้มตัวไปด้านหน้า เอามือสองข้างถูแก้ม เอ่ยว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ต้องเลือกจากคนที่สุขุมหนักแน่นที่สุด คอยดูแลจัดการเรื่องยิบย่อยวุ่นวายได้ดีที่สุด พวกศิษย์น้องชายหญิงถึงจะสามารถฝึกตนได้อย่างสบายใจ ศิษย์พี่ต่ง เจ้ารู้สึกว่าคนอย่างข้าเหมาะจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่จริงๆ หรือ?”

ต่งกู่ตอบ “ถึงอย่างไรก็ดีกว่าข้า”

หลิวเสี้ยนหยางส่ายหน้า “ความรู้สึกของเจ้าไม่มีประโยชน์นี่นา”

ต่งกู่กล่าวอย่างจนใจ “เข้าใจแล้ว”

ต่งกู่เงียบไปนาน แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “ศิษย์น้องหลิว ไม่รู้ว่าทำไม ข้าถึงค่อนข้างกลัวเจ้า”

หลิวเสี้ยนหยางพยักหน้ารับ “เพราะข้าเคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ เคยออกกระบี่มาก่อน บวกกับที่ทุกวันนี้ขอบเขตของข้ายังสูงไม่มากพอ อำพรางได้ไม่ลึกล้ำพอ”

ต่งกู่กระจ่างแจ้งทันใด จึงไม่เอ่ยอะไรอีก ลุกขึ้นแล้วเอ่ยขอตัวลา

หลิวเสี้ยนหยางเท้าคางด้วยมือข้างเดียว ทอดสายตามองไปไกล ตนแค่ออกกระบี่ไม่กี่ครั้งก็เป็นอย่างนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นเขาล่ะ?

……

ใต้หล้าแห่งที่ห้า

นครแห่งหนึ่งแหวกผ่าม่านฟ้าหล่นลงมาจากนภากาศ

ซิ่วไฉเฒ่าที่มองดูภาพเหตุการณ์นี้อยู่ไกลๆ ทั้งดีใจ ทั้งเสียใจอย่างถึงที่สุด

ดีใจเพราะถึงอย่างไรกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็สามารถรักษาเมล็ดพันธ์บนวิถีกระบี่ไว้ได้มากมายเพียงนี้ นับแต่นี้ควันธูปจะสืบทอดไปไม่ขาดสาย

เสียใจก็เพราะนครหล่นลงบนพื้น ทำให้ซิ่วไฉ่เฒ่านึกถึงปีนั้นที่ถ้ำสวรรค์หลีจูหล่นลงมาจากฟ้า คาดว่าคงเป็นสภาพการณ์เดียวกันนี้กระมัง

บัณฑิตเอ่ย “เวทกระบี่ของข้าสู้เฉินชิงตูไม่ได้จริงๆ”

ซิ่วไฉ่เฒ่าด่าขำๆ “มารดาเถอะ เจ้าไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่สักหน่อย เป็นบัณฑิตที่ไม่มีแม้แต่ยศซิ่วไฉ หากเวทกระบี่ของเจ้ายังสูงกว่าเฉินชิงตูอีก เจ้าจะให้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสท่านนั้นเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?”

บัณฑิตถาม “เจ้าไม่ไปดูสักหน่อยหรือ?”

เจ้าเป็นเหวินเซิ่ง แต่ดันมาโอ้อวดยศซิ่วไฉอะไรนี่กับข้า นี่มันหลักการเหตุผลอะไร

ซิ่วไฉเฒ่าเกาหัว ปากบอกว่าช่างเถิด แต่หางตากลับชำเลืองมองบัณฑิตที่ถูกขนานนามว่าเป็นผู้ที่ภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์ รวมไปถึงกระบี่ยาวที่อยู่ในมืออีกฝ่าย

บุรุษเอ่ยอย่างจนใจว่า “ข้าเคยตั้งกฎไว้ว่าจะไม่ถ่ายทอดเวทกระบี่ให้ใคร แล้วนับประสาอะไรกับที่พวกผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยเหล่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องให้ข้าต้องทำเรื่องที่เกินความจำเป็นเช่นนี้ ส่วนกระบี่ที่อยู่ในมือเล่มนี้ ไม่ช้าก็เร็วต้องคืนให้กับอารามเสวียนตูใหญ่ ลูกคิดรางเล็กๆ นั่นของเจ้าดีดไม่ดังหรอก”

ซิ่วไฉเฒ่าเขย่งปลายเท้า ชำเลืองตามองนครที่อยู่ห่างไปไกล เอ่ยอย่างเสียดายว่า “น่าเสียดายหน้าผาสังหารมังกรแห่งนั้นที่ถูกเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสหลอมเป็นรากฐานของนครไปแล้ว”

บุรุษถาม “ก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่าอริยะของศาลบุ๋นสองคนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง เจ้าไปกระซิบกระซาบอะไรกับพวกเขา?”

ซิ่วไฉ่เฒ่าลูบหนวดยิ้มกล่าวอย่างลำพองใจ “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร แค่ชี้แนะความรู้ให้คนอื่น ข้าคนนี้น่ะมีความรู้อยู่เต็มท้อง ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนคนบางคนที่หวงเวทกระบี่ของตัวเอง ความรู้ของข้าสามารถเรียนรู้ได้ตามสบาย”

บุรุษเอ่ย “ในเมื่อเจ้าไม่ไปที่นครนั่น ถ้าอย่างนั้นก็เปิดประตูต่อสิ”

ซิ่วไฉเฒ่าพลันเปลี่ยนใจ เอ่ยว่า “ไปดื่มเหล้าที่ร้านเหล้าของลูกศิษย์คนสุดท้ายข้าด้วยกันไหม? ข้าจะเลี้ยงเหล้าเจ้าเอง เจ้าแค่จ่ายเงินก็พอ”

บุรุษส่ายหน้า

เห็นเพียงว่าในนครที่ห่างไปไกล มีคนผู้หนึ่งขี่กระบี่ทะยานตัวขึ้นสูง เลือกทิศทางหนึ่งง่ายๆ แสงกระบี่ก็พุ่งจากไปไกลในชั่วพริบตา

น่าจะพยายามทำความเข้าใจกับสภาพการณ์ของฟ้าดินใหม่เอี่ยมแห่งนี้ให้ได้เร็วที่สุด

ระหว่างที่ขี่กระบี่ คนผู้นั้นก็ฝ่าทะลุขอบเขตจากก่อกำเนิดเป็นห้าขอบเขตบนไปด้วย

เขาถาม “คือหนิงเหยาผู้นั้น?”

กระบี่เซียนในมือสั่นสะท้านเบาๆ

จากนั้นบัณฑิตก็พยักหน้า “ดูท่าสาเหตุน่าจะเป็นเพราะถูกกำแพงเมืองปราณกระบี่ฝืนกดขอบเขตไว้ที่ก่อกำเนิด”

ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะปากกว้าง “สายตาของลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้าจะแย่ได้หรือ? หาอาจารย์ คือแบบนี้!”

ซิ่วไฉเฒ่ายกนิ้วโป้งข้างหนึ่งขึ้น จากนั้นก็ยกนิ้วโป้งขึ้นมาอีกข้าง “ส่วนหาภรรยา คืออย่างนี้!”

ครู่หนึ่งต่อมาแสงกระบี่ที่ห่างไปไกลนั้นคล้ายจะผสานมรรคากับฟ้าดินแห่งนี้ สร้างความมั่นคงให้กับขอบเขตหยกดิบได้แล้ว เป็นเหตุให้หันปลายกระบี่ขี่กระบี่พุ่งมาหาซิ่วไฉเฒ่าในเสี้ยววินาที

กระบี่เซียนที่อยู่ในมือของบัณฑิตส่งเสียงร้องเหมือนมังกรครวญ

ประหนึ่งได้พบเจอกับคนรู้จักที่รู้จักกันมานาน

หนิงเหยาขี่กระบี่มาที่ยอดเขา พลิ้วกายลงบนพื้น มาพบซิ่วไฉเฒ่า

นางไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแค่ยกแขนขึ้นมาบังดวงตา หลังมือแนบติดกับหน้าผาก พูดเสียงสะอื้นกับผู้เฒ่า “ข้าขอโทษ”

ผู้เฒ่าร้อนใจจนกระทืบเท้า รีบวิ่งมาข้างกายนาง ทำท่าลูบหัวนางผ่านอากาศสองสามที เอ่ยว่า “แม่หนูหนิง ขอโทษอะไรกัน ไม่จำเป็นเลย เป็นเจ้าเด็กเฉินผิงอันนั่นที่ความสามารถไม่มากพอ ต้องโทษเขา ต้องโทษเขา เจ้าอย่าได้โทษตัวเองเลย หากจะโทษจริงๆ ก็โทษเฉินผิงอันไม่ได้เหมือนกัน พวกเราไปโทษเฉินชิงตูโน่น เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสกับผายลมอะไร ดีแต่มอบภาระให้คนหนุ่มคนหนึ่ง หากไม่ได้จริงๆ ก็โทษอาจารย์อย่างข้าที่ไร้ความสามารถ…”

หนิงเหยากลับคืนมามีสีหน้าเป็นปกติแล้ว นางวางมือลง เอ่ยอำลาอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งหนึ่งคำ แล้วขี่กระบี่จากไปไกล ไปสำรวจขุนเขาสายน้ำพันหมื่นลี้ของใต้หล้าแห่งที่ห้าเพียงลำพังอีกครั้ง

อีกไม่นานจะมีผู้ฝึกตนของสามใต้หล้ากรูกันมาที่นี่ แล้วก็ต้องมีผู้ฝึกตนลมปราณคอขวดก่อกำเนิดอยู่ไม่น้อยแน่นอน

ส่วนสภาพการณ์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในอนาคต นอกจากจะออกกระบี่เข่นฆ่ากันแล้ว ยังต้องมีการวางแผนปัดแข้งปัดขากันอีกมาก และสิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ใช่สิ่งที่นางถนัด เมื่อก่อนมีเขาอยู่ข้างกาย นางจึงไม่ต้องคิดมาก ตอนนี้เขาไม่อยู่ข้างกายแล้ว การหลอกลวงกันไปมาระหว่างคนกับคนก็ยังคงไม่ใช่สิ่งที่นางถนัดอยู่เหมือนเดิม แต่ไม่เป็นไร กำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีต ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตไม่สูงพอ ก็ดื่มเหล้ามาผสม วันนี้ข้าถามใจแล้วยังไม่เพียงพอ ก็เอาขอบเขตมาผสม!