ตอนที่ 1404 มุ่งหน้าไปสู่ความตาย

Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ

ไม่ใช่แค่ศาสตราจารย์เวอร์นัลและชูลทซ์เท่านั้นที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

กลุ่มที่เหลือที่ไปอีกเส้นทางหนึ่งก็เผชิญกับแผ่นดินไหวที่เปลี่ยนแปลงซากปรักหักพังทั้งหมดเหมือนกัน

หวังเผิงปีนขึ้นมาจากพื้น เขากัดฟันและยกหินที่ทับขาเขาอยู่ ถ้าที่นี่เป็นโลกเขาก็คงขาหักไปแล้ว แต่โชคยังดีที่แรงโน้มถ่วงบนดาวอังคารน้อยกว่าบนโลก 0.37 เท่า

เขานำไฟฉายที่แขวนอยู่ให้หมวกออกมาแล้วโยนปืนไรเฟิลไว้ข้างๆ เขาเดินไปดึงฟานถงขึ้นมาจากก้อนกรวด

“ผมบอกคุณแล้ว…โขลก โขลก…ว่าสิ่งนั้นมันไม่มีประโยชน์”

“ไม่ว่ามันจะมีประโยชน์หรือไม่ก็ตาม มันพังไปแล้ว”

หลังจากที่ตรวจสอบการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่บนชุดอวกาศ ฟานถงยืนพิงกำแพงหินที่อยู่ข้างๆ เขาพร้อมถอนหายใจด้วยความโล่งใจ

“คนที่เหลือไปไหน”

“ผมไม่รู้…”

ออเบรย์และโลโมนอฟถูกทิ้งไว้ข้างหลังตอนที่พี่เขาหนีออกมาและถูกบีบให้วิ่งไปอีกเส้นทางหนึ่ง ตอนนี้พวกเขายังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว แต่หวังเผิงไม่สนเรื่องนั้น

สิ่งที่ทำให้เขากังวลคือลู่โจวก็หายไปเหมือนกัน!

“บ้าเอ๊ย!”

เขาชกกำแพงเห็นที่อยู่ใกล้ๆ อย่างแรง

ฟานถงที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาตกใจมาก ฟานถงรีบคว้าตัวเขาไว้

“พี่ชาย ใจเย็นๆ …ไหนๆ เราก็อยู่ในสถานการณ์นี้แล้ว เราต้องช่วยกันหาทางออกนะ”

หวังเผิงเคยอยู่ในหน่วยรบพิเศษ

หลังจากที่สูดลมหายใจเข้า เขาก็รีบตั้งสติทันที

“ผมจะต้องตามหาเขา”

ฟานถงพูด “คุณจะหาเขาได้อย่างไร คุณจะระเบิดกำแพงหินนี่เหรอ”

มุมปากของหวังเผิงกระตุกแต่เขาไม่ได้ตอบโต้อะไร

เขาก็อยากทำแบบนั้นเหมือนกันแต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้มีระเบิดหรือเครื่องมืออะไรในมือเลย ปืนพังๆ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย

หวังเผิงกำหมัดแน่น

ฟานถงพูดต่อ “ผมเคยบอกไปก่อนหน้านี้แล้วว่าอุโมงค์นี้จะเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงทุกๆ สองชั่วโมง แต่ไม่ว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไปสักแค่ไหน ผมว่าจุดสิ้นสุดของมันยังเหมือนเดิม ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าอย่างไรเราจะได้เจอเขาตรงทางเข้า”

“ไม่ว่าจะอย่างไรเราก็ต้องเดินไปข้างหน้า!”

ในอีกด้านหนึ่ง

โลโมนอฟวางมือบนเข่าและพิงตัวไปกับก้อนหินพลางหอบ

เสียงที่อ่อนแรงดังมาจากช่องทางสื่อสาร

“บ้าเอ๊ย ขอมือหน่อย ผมติดอยู่ตรงนี้”

หลังจากที่สูดลมหายใจเข้าแล้ว โลโมนอฟเดินไปข้างหน้าอย่างใจเย็น เขาเอื้อมมือไปดึงนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์อเมริกาที่อยู่ใต้กองกรวด

“นี่มันเป็นความผิดพลาดชัดๆ !” โลโมนอฟมองศาสตราจารย์ออเบรย์และพูด “แล้วดูสิ เราถูกทิ้งไว้ข้างหลังแล้ว”

“เราก็แค่พลัดหลงกันเฉยๆ ใจเย็นๆ สิครับ…” ออเบรย์หายใจเข้าและมองไปรอบๆ “เราก็ยังไม่ตายไม่ใช่เหรอ”

“อีกไม่นานหรอก”

จากคนทั้งหมดในทีมถ้าพูดถึงเรื่องของการเอาตัวรอดแล้ว ทั้งสองคนมีทักษะที่ไร้ประโยชน์ที่สุด โลโมนอฟเริ่มรู้สึกเสียใจกับการเดินทางในครั้งนี้

เมื่อเทียบกับอาการหมดอาลัยของโลโมนอฟแล้ว อารมณ์ของศาสตราจารย์ออเบรย์ค่อนข้างมั่นคงกว่า

หลังจากที่สูดลมหายใจเข้า เขาก็ยืนตัวตรงและเริ่มสำรวจรอบๆ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูด “นี่ไม่ใช่การเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกทั่วๆ ไป…ไม่ มันไม่ควรจะเป็นการเคลื่อนไหวทางกลด้วยซ้ำ”

โลโมนอฟชำเลืองมองเขา

แม้ว่าเขาจะไม่คิดว่าการค้นพบในครั้งนี้จะช่วยให้พวกเขามีชีวิตรอด แต่เขาก็ยังถามอยู่ดี “คุณได้ข้อสรุปนี้มาได้อย่างไรกัน”

“ข้อสรุปเหรอ ล้อเล่นหรือเปล่า” ออเบรย์มองไปที่ผู้เชี่ยวชาญทางวิศวกรรมการบินและอวกาศของรัสเซีย “มวลหินเป็นล้านหรือหลายสิบล้านตันกำลังเคลื่อนที่อยู่เนี่ยนะ การเคลื่อนที่ทางธรณีวิทยาขนาดใหญ่ในทุกๆ สองชั่วโมงเนี่ยนะ บางทีมันอาจจะเป็นไปได้ก็ได้ แต่พลังงานมาจากไหนกัน”

โลโมนอฟขมวดคิ้ว

เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็สังเกตได้เหมือนกัน

ออเบรย์กลืนน้ำลายและพูดต่อ “ขึ้นอยู่กับแกนเย็นเหรอ ส่วนอุโมงค์ถ้ามันชนกันจริงๆ เพราะการเคลื่อนที่บนพื้นผิว ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเฉพาะแรงเฉื่อยอย่างเดียวก็สามารถทำให้ภูเขาลูกนี้พังทลายได้”

โลโมนอฟขมวดคิ้วและพูด “ถ้ามันไม่ใช่การเคลื่อนไหวเชิงกล แล้วคุณคิดว่ามันคืออะไร เวทมนตร์เหรอ”

“ไม่ใช่เวทมนตร์ แต่สำหรับเราแล้วเทคโนโลยีนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเวทมนตร์”

ศาสตราจารย์ออเบรย์นั่งพิงกำแพงหินและถอนหายใจ

เขามองโลโมนอฟและพูด

“แน่นอนว่าผมได้ลองเดาดู

“คุณเคยได้ยินปริภูมิยูคลิดไหม”

ภายในถ้ำหินที่ว่างเปล่า

นอกจากฝุ่นและคนที่ยืนบนก้อนกรวดแล้วก็ไม่มีอย่างอื่นเลย

ลู่โจวรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นคงที่ เขาลืมตาช้าๆ และลดแขนลง

เขามองไปรอบๆ สายตาของเขาไปหยุดที่กำแพงโค้งขนาดใหญ่สูงประมาณห้าเมตรที่อยู่ตรงหน้าเขา สีหน้าครุ่นคิดปรากฏบนใบหน้าของเขา

“เข้าใจแล้ว…”

“ดูเหมือนว่าผมจะเดาถูกสินะ”

หลังจากที่ฟังคำอธิบายของดร.ฟานถง ลู่โจวก็เกิดความคลางแคลงใจ แต่ตอนนี้มันได้พิสูจน์แล้วว่าเขาคิดถูก

ที่นี่ไม่มีแผ่นดินไหวจริงๆ

อุโมงค์เหล่านี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย

มีเพียงแค่การจัดวางเท่านั้นที่ยุ่งเหยิง

พูดง่ายๆ ก็คือพื้นที่ตรงซากปรักหักพังไม่ใช่ปริภูมิสามมิติในความหมายเดิมแต่เป็นปริภูมิยูคลิดหลังจากขยายตัว

ในปริภูมินี้ เศษของปริภูมิสี่มิติหรือปริภูมิที่สูงกว่ากระจัดกระจายเหมือนฟองสบู่ ซึ่งซ่อนอยู่ตามมุมต่างๆ ที่สิ่งมีชีวิตสามมิติไม่สามารถมองเห็นได้

คำอธิบายนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยาก

พูดง่ายๆ ก็คือทุกอย่างที่อยู่ในซากปรักหักพังนี้รวมไปถึงอุโมงค์และเส้นทางที่ซับซ้อนก็เหมือนชิ้นส่วนของตัวต่อ

บนพื้นดิน การเคลื่อนที่ทางธรณีวิทยาทำให้เกิดการพังทลายและการก่อรูปของทั้งอุโมงค์เก่าและใหม่ แต่จริงๆ แล้วมีมือที่มองไม่เห็นทำให้ตัวต่อเหล่านี้กระจัดกระจายและจับวางรวมกันอีกครั้ง

ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปเลย

หลังจากที่เข้าใจเรื่องทั้งหมดลู่โจวก็ตัดสินใจทันที ตอนที่เกิดแผ่นดินไหวขึ้น เขาจงใจทิ้งคนอื่นๆ ไว้และปล่อยให้อุโมงค์พังทลายบนตัวเขา

ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะคิดถูก

ไม่อย่างนั้นเขาก็คงเละเป็นโจ๊กไปแล้ว เขาคงไม่มีทางยืนอยู่ตรงนี้ได้

“ที่นี่น่าจะเป็นสถานที่โบราณวัตถุศักดิ์สิทธิ์อยู่…”

ลู่โจวไม่ลังเล เขาเดินตรงไปที่กำแพงโค้งสูง

ทันทีที่เขาก้าวเข้าสู่พื้นที่ด้านหลังกำแพงนั้น ช่องทางการสื่อสารสว่างขึ้นทันที

ทันใดนั้น เสียงกระแสไฟฟ้าดังขึ้นในหูของเขา

“…คุณมาถึงแล้ว”