“เช่นนั้นหรือ? เช่นนั้นแล้วหทัยวิตกสั่นนี้เองมันก็เพื่อจะให้นางได้ลองวิชาทดสอบพิษด้วยร่างกายหรือ?” เย่หยวนกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้มเย็นเยือก
ฉินชุนที่ได้ยินนั้นต้องผงะไปทันทีก่อนจะร้องขึ้นอย่างไม่พอใจ “เหลวไหล! หทัยวิตกสั่นใด? เจ้าพูดเรื่องไร้สาระอะไรกันแน่?”
เย่หยวนที่ได้ยินก็หัวเราะขึ้นมา “เจ้านี่มันมีสูตรลับติดตัวมากมายดีจริงๆ! น่าเสียดายแค่ว่าพิษหทัยวิตกสั่นนี้เย่ผู้นี้เองก็รู้สูตรมันเหมือนกัน! ไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร เอาหญ้าเวทนาดาวออกมาหน่อย เราจะทดสอบมันตรงนี้”
ฉินชุนที่ได้ยินต้องหน้าถอดสีลงทันทีก่อนจะเงียบปากลง
ส่วนคนอื่นๆ นั้นได้แต่เหม่อมองอย่างไม่เข้าใจว่าคนทั้งสองนั้นกำลังพูดคุยเรื่องอะไรกัน
เหวินจิงซวนที่ได้ยินจึงกล่าวขึ้นมาถาม “อาจารย์ เขาพูดเรื่องอะไรกันแน่?”
ฉินชุนนั้นได้แต่ทำหน้าเหยเกออกมาแต่ก็ไม่ได้กล่าวตอบ
เย่หยวนจึงกล่าวขึ้นมาตอบแทน “หทัยวิตกสั่นนั้นมันเป็นพิษประหลาดที่มีไม่กี่คนรู้ถึงสูตรที่จะกลั่นหลอมมัน! พิษชนิดนี้มันต้องใช้เลือดเข้ามาผสมแล้วเอาให้หญิงสาวดื่มจากนั้นหญิงสาวผู้นั้นก็จะกลายเป็นทาสที่ซื่อสัตย์ของเจ้าของเลือดตลอดไป! แต่ว่าพิษนี้มันหลอมได้ยากเย็นยิ่งและการใช้งานเองก็ยากไม่แพ้กัน แน่นอนว่าอาการของพิษนี้มันจะไม่ปรากฏชัดให้ทุกผู้คนเห็นหากคนไม่รู้จักพิษชนิดนี้ก็ย่อมจะไม่มีทางตรวจสอบได้เลย โชคยังดีที่เจ้านั้นถูกพิษไปไม่มากและยังพอหาทางช่วยได้ หากคนที่ถูกพิษนี้มันไปแตะต้องถูกหญ้าเวทนาดาวเข้าแล้วหญ้าเวทนาดาวมันจะเปลี่ยนกลายเป็นสีเหลืองไป”
ได้ยินเช่นนั้นคนทั้งหลายก็ต้องอ้าปากค้างขึ้นมา
ฉินชุนผู้นี้กลับเป็นสัตว์นรกในคราบคน ถึงขั้นวางยาพิษแก่ศิษย์ของตัวเอง
หวู่เฉิงเฉาที่ได้ยินต้องอ้าปากค้างขึ้นมาอย่างตกตะลึง “ที่แท้มันคือหทัยวิตกสั่น! ไม่แปลกเลย! ไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อยที่เซินเยว่หรงและหลี่ซินหรันทั้งสองนางนั้นจะมีท่าทางแปลกๆ ไปหลังจากเข้ากราบเจ้าเป็นอาจารย์! หลังจากนั้นพวกนางก็ตายลงไปในภารกิจง่ายๆ ของนิกาย! ที่แท้แล้วมันเป็นเจ้าที่ใช้พิษร้ายนี้ใส่พวกนางสินะ! หึๆ เจ้าคงจะเบื่อพวกนางแล้วจึงได้สั่งให้พวกนางออกไปตายใช่หรือไม่?”
เหวินจิงซวนอ้าปากค้างเมื่อได้ยิน นางนั้นไม่รู้จะตอบอย่างไรหลังได้ยินคำของเย่หยวน
อาจารย์ที่นางรักและเคารพคนนั้นกลับกลายเป็นสัตว์นรกไร้ยางอาย!
เจ้าเฒ่านี้มันต้องตารูปร่างหน้าตาของนาง!
“เพราะฉะนั้นเจ้ายังคิดจะติดตามมันไปอยู่หรือไม่?” เย่หยวนยิ้มขึ้นถาม
“ดี! ดีมาก! เด็กน้อย ข้าจะจำเจ้าไว้แน่! วันหน้าเฒ่าคนนี้จะกลับมาฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ! แล้วก็เฟิงซวนยี่ เจ้าน่าจะรู้ดีนะว่าลบหลู่พันธมิตรโอสถเช่นนี้แล้วมันจะมีผลอย่างไรตามมา!”
ฉินชุนนั้นเปลี่ยนความอับอายให้กลายเป็นความโกรธแค้นด่าว่าตวาดออกมาอย่างรุนแรงก่อนจะเดินหนีไป
เขานั้นเสียหน้าอย่างสิ้นเชิง!
หากเขาจากไปเพราะเรื่องก่อนหน้ามันก็ยังพอจะทำให้คนหันมาเห็นใจเขาได้บ้าง
แต่เมื่อเรื่องของหทัยวิตกสั่นถูกเปิดเผยออกมาเช่นนี้แล้ว ใครได้ยินเข้าก็คงไม่คิดจะช่วยเหลือใดๆ เขาแน่
หทัยวิตกสั่นนั้นแม้แต่หวู่เฉิงเฉาเองก็ยังไม่อาจจะมองออกได้ เขาจึงไม่นึกฝันว่าเย่หยวนนั้นกลับจะมองมันออกได้ในพริบตา!
เพราะฉะนั้นความเกลียดชังที่เขามีต่อเย่หยวนมันจึงยิ่งเพิ่มมากทวีคูณ
ฟุบ!
หลัวหยุนชิงพุ่งตัวเข้าไปดักทางฉินชุนไว้
ฉินชุนหัวเราะเย้ยขึ้นมา “ทำไมเล่าหลัวหยุนชิง? หรือว่าเจ้านั้นคิดจะสังหารข้าลง? เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำเช่นนั้นแล้วพันธมิตรโอสถจะแสดงท่าทีอย่างไร?”
เฟิงซวนยี่จึงกล่าวขึ้นมาห้าม “ปล่อยมันไป!”
หลัวหยุนชิงได้แต่ต้องกัดฟันเปิดทางให้ในที่สุด
ส่วนทางฉินชุนนั้นก็ยิ้มเย้ยเดินผ่านหน้าเขาไป
คนทั้งหลายนั้นตกตะลึงอย่างถึงที่สุด ไม่นึกฝันว่าการทดสอบเข้านิกายมันกลับจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตได้ถึงขนาดนี้
หลังจากที่ฉินชุนจากไปแล้วเฟิงซวนยี่ก็กล่าวขึ้นมา “วันนี้พอกันเท่านี้ก่อน การทดสอบเข้านิกายนั้นจะจัดขึ้นใหม่ในวันหลัง ตอนนี้พวกเจ้าลงเขาไปได้แล้ว! เย่หยวน หยุนชิง ผู้อาวุโสฉือ พวกเจ้ามากับข้า!”
…
ภายในโถงนั้นบรรยากาศมันหนักหน่วงอย่างมาก
ในนิกายของพวกเขานั้นกลับมีสัตว์นรกอย่างฉินชุนแอบแฝงอยู่มันย่อมจะทำให้ทุกผู้คนต่างรู้สึกอึดอัด
“เย่หยวน ครั้งนี้เจ้าทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังเกินไปแล้ว! ไปลบหลู่พันธมิตรโอสถเช่นนั้นแล้ววันหน้าการโอสถของพวกเรามันจะยิ่งลำบากขึ้นกว่าเก่า!” ฉือเฟยหยูกล่าวขึ้นมาด้วยสายตาเคียดแค้น
“พอได้แล้ว!”
เฟิงซวนยี่ตวาดขึ้นมา “ฉือเฟยหยู หากข้าไม่เห็นว่าเจ้าเป็นผู้อาวุโสที่คนมากมายนับถือเจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเจ้าจะมีสภาพเป็นอย่างไร?”
“เจ้า ผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่กลับไม่คิดจะหายอดคนเข้านิกายและคิดสั่งให้เย่หยวนไปตายแทน! ข้าไม่ต้องบอกเจ้าก็รู้มิใช่หรือว่าเย่หยวนนั้นมีค่าแก่นิกายเรามากแค่ไหน?”
“แล้วเจ้าก็คงบรรลุขึ้นมานานจนลืมเลือนไปหมดแล้วว่าพวกเราตอนอยู่ในภพเบื้องล่างนั้นยิ่งใหญ่กันปานใด ไม่ว่าพันธมิตรโอสถมันจะยิ่งใหญ่ทรงอำนาจแค่ไหนมันก็ไม่มีทางยืนอยู่เหนือหัวนิกายสวรรค์ยุทธมั่นเราได้ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าตัวฉินชุนมันนั้นเป็นแค่นักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสาม ตัวตนที่ไม่ได้มีค่าใดมากมายในพันธมิตรโอสถเสียด้วยซ้ำ จะบอกว่ามันนั้นมีหน้าที่ใหญ่กว่าข้าเฟิงซวนยี่คนนี้หรือ?”
ฉือเฟยหยูนั้นเงียบปากลงทันทีที่ได้ยินคำด่าของเฟิงซวนยี่
เป็นตอนนี้เองที่เขาได้รู้ว่าเฟิงซวนยี่ไม่พอใจเขามากเช่นกัน!
ในเวลานี้เย่หยวนจึงได้ถามขึ้นมา “พันธมิตรโอสถนี้… มันทรงพลังมาก?”
หลัวหยุนชิงพยักหน้าขึ้นกล่าวตอบให้ “ยิ่งเสียกว่าทรงพลัง! จะบอกว่าพวกเขานั้นคือค่ายสำนักกองกำลังอันดับหนึ่งแห่งทวีปพิรุณใสก็คงไม่ผิด…”
ที่แท้แล้วพันธมิตรโอสถนี้กลับกลายเป็นพันธมิตรของนักหลอมโอสถสวรรค์ที่ทรงพลังอย่างมากล้น
ในค่ายสำนักต่างๆ บนทวีปพิรุณใสนี้ กว่าร้อยละหกสิบต้องพึ่งพานักหลอมโอสถสวรรค์จากพันธมิตรโอสถ
ไหนจะยังเรื่องที่ว่าพวกเขานั้นครอบครองสูตรโอสถ วิชาการหลอมและโอสถหากยากมากมาย พวกเขานั้นคือผู้ผูกขาดการโอสถสวรรค์ของทวีปพิรุณใสไว้อย่างแท้จริง
นักหลอมโอสถสวรรค์จากหลายๆ นิกายนั้นต่างเคยเป็นของคนพันธมิตรโอสถสิ้น
เหมือนตัวหวู่เฉิงเฉานั้น!
แต่ว่าหวู่เฉิงเฉาเองก็ไม่ได้เป็นคนในของพันธมิตรโอสถจริงๆ
เพราะการจะรับคนเข้าไปทำงานภายในของพวกเขานั้นมันมีเงื่อนไขที่เข้มงวดอย่างมาก มิใช่ว่าแค่อยากเข้าแล้วก็จะเข้าได้
ส่วนตัวฉินชุนนั้นเป็นคนใน สมาชิกของพันธมิตรโอสถอย่างแท้จริง!
นักหลอมโอสถสวรรค์ของหลายๆ นิกายสวรรค์นั้นมีฝีมือที่ไม่เก่งกาจ จะใช้คนผู้เดียวมาค้ำจุนนั้นมันเป็นเรื่องที่ยากเย็นยิ่ง
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นใดเฟิงซวนยี่จึงต้องเดินทางออกไปจ้างฉินชุนมา
แต่ใครจะไปคิดว่าเจ้าคนที่เขาจ้างมานี้กลับเป็นสัตว์นรกที่ไร้ยางอายเช่นนี้!
และเหตุผลที่นักหลอมโอสถสวรรค์ของพันธมิตรโอสถเหนือล้ำกว่านักหลอมโอสถสวรรค์ภายนอกนั้นมันก็เพราะความเก่งกาจ!
เหล่านักหลอมโอสถสวรรค์ที่นิกายทั้งหลายส่งไปเรียนรู้วิชาที่พันธมิตรโอสถนั้นต่างล้วนแล้วแต่ไร้ฝีมือใดๆ เมื่อเทียบกับคนใน
ฉินชุนนั้นไม่ได้นับว่าเก่งกาจมากมายในพันธมิตรโอสถแต่เขาก็ยังเก่งกาจกว่าหวู่เฉิงเฉามาก
เมื่อเย่หยวนได้ยินเขาก็เริ่มเข้าใจสภาพของนิกายขึ้นมาทันที
เพราะแม้แต่ตัวเฟิงซวนยี่ก็ยังไม่คิดจะตัดขาดจากพันธมิตรโอสถอย่างสิ้นเชิง
เพราะพันธมิตรโอสถนั้นคือผู้ผูกขาดทรัพยากรด้านการโอสถของทวีปพิรุณใส
ส่วนนิกายสวรรค์อื่นๆ นั้นได้แต่ต้องพึ่งพาพวกเขา
และเมื่อรายได้ของนักหลอมโอสถสวรรค์ภายนอกมันเทียบไม่ได้กับนักหลอมโอสถสวรรค์ของพันธมิตรโอสถแล้วมันจะยังไปสู้อะไรได้?
เพราะฉะนั้นต่อให้คนทั้งหลายจะต่อสู้แย่งชิงกันปานใดมันก็ไม่อาจะเขย่าบัลลังก์ของพันธมิตรโอสถได้!
เพราะว่าเช่นนี้เองที่ทำให้ฉินชุนนั้นมีโอสถและพิษลับมากมายติดตัว
เพียงแค่ว่าฉินชุนนั้นคงไม่นึกฝันว่าสูตรลับทั้งหลายนั้นมันกลับจะถูกเย่หยวนแย่งชิงไปสิ้น!
หลัวหยุนชิงนั้นกล่าวอธิบายจนจบสิ้นและก็มีเสียงเฟิงซวนยี่กล่าวขึ้นเสริม “เย่หยวน เจ้านิกายผู้นี้วางเดินพันกับเจ้าไว้สูงมาก! หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าต้องผิดหวัง!”
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ในเมื่อท่านเจ้านิกายวางเดินพันกับข้าไว้แล้วเช่นนั้นเย่ผู้นี้ก็ย่อมจะต้องตอบแทนท่านแน่นอน หากวัดกันในเรื่องการหลอมโอสถ เย่หยวนผู้นี้ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะด้อยกว่าใคร”
เฟิงซวนยี่ที่ได้ยินจึงยิ้มกว้างขึ้นมา “ผู้อาวุโสเย่นั้นมีวิธีการใดที่จะพัฒนาวิชาการโอสถของนิกายสวรรค์ยุทธมั่นเราในระยะสั้นๆ หรือไม่?”
เย่หยวนที่ได้ยินก็ได้แต่ต้องหัวเราะ “นี่ท่านเจ้านิกายล้อเล่นหรือ? วิชาการโอสถนั้นมันจะมีทางลัดได้อย่างไร? เส้นทางนี้มันมีแต่ต้องฝึกฝนและฝึกฝนเท่านั้น!”
“เรื่องนั้น… ข้าเองก็ไม่อยากจะทำเช่นนี้หรอก! แต่เจ้านั้นสามารถเพิ่มความเข้ากันได้ของตนขึ้นมา! ตราบเท่าที่สามารถเพิ่มค่าความเข้ากันได้ กำลังฝีมือของพวกเขาเองก็ย่อมจะเพิ่มพูนขึ้นเช่นกัน!” เฟิงซวนยี่กล่าว
สิ่งที่เขาให้ค่าในตัวเย่หยวนที่สุดมันคือเรื่องนี้เอง
สำหรับผู้บรรลุสวรรค์แล้วความเข้ากันได้นั้นคือจุดอ่อนที่ร้ายแรงที่สุด!
แต่เย่หยวนที่ได้ยินกลับต้องส่ายหัวออกมา “ไม่ได้หรอก เพราะฤทธิ์ของโอสถสวรรค์ปรับฐานนั้นมันไม่ส่งผลใดๆ ต่อนักยุทธระดับชั้นบรรยากาศสวรรค์เลิศใหญ่ขึ้นไป! ไม่ต้องไปพูดถึงเหล่าผู้พิทักษ์ระดับชั้นบรรยากาศสวรรค์เลิศล้ำทั้งหลายเลย! ท่านเจ้านิกาย หากท่านนั้นอยากจะเพิ่มพูนกำลังของนักหลอมโอสถสวรรค์ในนิกายเราแล้วท่านต้องปล่อยให้เย่ผู้นี้จัดการทุกอย่างเอง อย่าได้มาถามหรือขัดขวางวิธีการของข้า! ไม่เช่นนั้นแล้วเย่ผู้นี้เองก็คงอับจนหนทาง!”
…………………………