ผู้เฒ่าคิดตามก็นึกออก “หมายถึงคนสองคนที่สะพายหีบไม้ไผ่หรือ?”
เด็กน้อยพยักหน้ารับอย่างแรง “ภายหลังพวกเราเดินเร็ว พี่สาวคนนั้นเดินช้ากว่าเล็กน้อย ข้าหันไปมองนาง นางยังยิ้มให้ข้าด้วย”
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “เป็นบัณฑิตที่สะพายหีบตำราออกทัศนศึกษา”
เด็กน้อยถาม “ท่านปู่ ไม้ไผ่อันนั้นคือไม้เท้าหรือ? ข้าว่าทั้งพี่สาวและพี่ชายต่างก็เดินได้ปกตินะ”
ผู้เฒ่าอดหัวเราะไม่ไหว อธิบายอย่างอดทนว่า “นั่นไม่ใช่ไม้เท้าของคนแก่ มันมีชื่อ คือไม้เท้าเดินป่า ยามที่บัณฑิตออกจากบ้านเดินทางไกล มักจะต้องขึ้นเขาลงห้วย บางคนที่บ้านไม่ได้ร่ำรวยมาก แต่ก็หวังให้ตัวเองมีความรู้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ข้างกายไม่มีบ่าวรับใช้ติดตามจึงจำต้องสะพายสัมภาระเดินขึ้นเขาลงน้ำด้วยตัวเอง ถึงต้องใช้ไม้เท้าเดินป่าอย่างไรล่ะ”
เด็กน้อยยิ้มเอ่ย “ฮ่า บ้านพวกเราก็ไม่มีเงินเหมือนกัน ดูท่าวันหน้าข้าก็ต้องการไม้เท้าเดินป่าอันหนึ่งแล้วล่ะ”
ผู้เฒ่าลูบศีรษะของหลาน เอ่ยว่า “อ่านตำราหมื่นเล่มต้องใช้เงินมากมาย เดินทางเหมือนลี้กลับกลายเป็นว่าแค่ทนความลำบากได้ก็พอแล้ว ตอนที่ปู่ยังหนุ่มก็เคยเดินทางไกลไปกับสหายเหมือนกัน ไปเยือนหอเก็บหนังสือของพวกตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียง หรือไม่ก็ตระกูลปัญญาชน ทุกวันจะยืมหนังสือมาคัดตัวอักษร คืนแล้วก็ยืมมาใหม่ บัณฑิตบางคนไม่ถือสาอะไร ทั้งยังกระตือรือร้นอย่างมาก ยินดีต้อนรับลูกหลานตระกูลยากจนอย่างพวกเราให้ไปคัดตัวอักษร อย่างมากสุดก็กำชับพวกเราประโยคหนึ่งว่าอย่าทำหนังสือเสียหายก็พอแล้ว ทุกวันยังมีอาหารดีๆ ให้กิน แต่บางครั้งก็มีพวกบ่าวรับใช้บางคนที่บ่นเบาๆ อย่างไม่พอใจ ยกตัวอย่างเช่นทุกวันต้องจุดตะเกียงคัดตัวอักษรตอนกลางคืน พวกเขาก็จะต้องเยาะเย้ยด้วยคำพูดทำนองว่า ทุกวันนี้น้ำมันตะเกียงขึ้นราคาอีกแล้ว แต่เรื่องพวกนี้ล้วนไม่นับเป็นอะไรได้”
เด็กน้อยฟังจนอ้าปากหาว
ผู้เฒ่ากอดเด็กน้อยไว้ในอ้อมกอด เด็กน้อยรู้สึกง่วงงุนเล็กน้อย เมื่อความแปลกใหม่ผ่านไป อีกทั้งยังต้องเดินทางไกล จึงค่อยๆ หลับลึกไป ผู้เฒ่าพึมพำเบาๆ ว่า “อายุยี่สิบกว่าปี รีบร้อนแสดงฝีมือเขียนบทความของตนเอง จะขัดขวางก็ขวางไม่อยู่ หลังสามสิบถึงค่อยๆ เริ่มโรยรา ได้แต่ค่อยๆ กลั่นกรอง พออายุมากขึ้น คิดไม่ถึงว่าจะตรงกันข้าม เขียนในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง แต่ก็เหมือนเชื้อเชิญเหล่าสหายสนิทมาบนกระดาษ เอ่ยทักทายกัน เล่าเรื่องราวบางอย่างให้กันฟัง”
สารถีผู้นั้นพลันเอ่ยว่า “พกตำราและกระบี่ออกเดินทางไกลอีกครั้ง”
ผู้เฒ่าในรถรู้สึกประหลาดใจอย่างถึงที่สุด สารถีคนนั้นไม่ควรจะเอ่ยถ้อยคำเป็นภาษาทางการอย่างนี้ได้ถึงจะถูก จึงวางเด็กน้อยลงเบาๆ แล้วเลิกผ้าม่านขึ้น
สารถีหนุ่มหันหน้ามาถามว่า “นายท่านผู้เฒ่ามีอะไรหรือ?”
ผู้เฒ่ายิ้มถาม “เหตุใดถึงได้เอ่ยคำว่า ‘พกตำราและกระบี่ออกเดินทางไกลอีกครั้ง’ ล่ะ?”
สารถีอึ้งตะลึง “นายท่านผู้เฒ่าหมายความว่าอย่างไร?”
ผู้เฒ่าอึ้งงัน เพียงยิ้มเอ่ยว่าไม่มีอะไร แล้วถอยกลับไปในห้องโดยสารรถม้า คิดแค่ว่าตนหูฝาดไป
ส่วนสารถีที่หยาบกระด้างไม่รู้จักตัวอักษรผู้นั้น อยู่ดีๆ ก็มีความคิดหนึ่งว่า ไปหาเฉินหลิงจวินดีไหม?
นาทีถัดมา สารถีก็ลืมเรื่องนี้ไปอีกครั้ง
บนภูเขามู่อี ในขณะที่เผยเฉียนกับหลี่ไหวเดินขึ้นเรือ บรรพจารย์น่าหลันก็เก็บม้วนภาพขุนเขาสายน้ำ จมสู่ภวังค์ความคิด
บุรุษสุยย่วนเอ่ย “การสืบทอดของหนึ่งสาย มีอาจารย์อย่างไรย่อมมีศิษย์อย่างนั้น มีศิษย์อย่างไรย่อมมีอาจารย์เช่นนั้น”
สตรีเฉิงซินพยักหน้าคล้อยตาม
ครู่หนึ่งต่อมาผู้ฝึกตนเฒ่าก็คิดจะดูต่ออีกสักหน่อย ดังนั้นจึงร่ายเวทอภินิหารอีกครั้ง ก่อนจะร้องเอ๊ะหนึ่งที ข้างกายเด็กสองคนนั้นมีภูตจิ้งจอกน้อยขอบเขตโอสถทองตนหนึ่งโผล่มาได้อย่างไร?
จากนั้นก็ไม่รู้ว่าทำไมม้วนภาพนั้นถึงได้พร่าเลือนด้วยตัวเอง
คู่รักเทพเซียนก็หันหน้ามามองกันเอง
บรรพจารย์น่าหลันยิ้มพลางเก็บวิชาอภินิหาร
ตรงร้านน้ำชาริมลำคลองเหยาเย่
ลูกค้าบางตา ใกล้จะได้เวลาปิดร้านแล้ว
เถ้าแก่หยิบขนนกออกมาสองชิ้น เป็นขนนกที่มาจากฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊
เขาพูดกับเด็กหนุ่มลูกจ้างร้านที่นอนฟุบโต๊ะงีบหลับว่า “มีเรื่องให้ทำแล้ว”
หญิงสาวคนหนึ่งพลันปรากฏกายแล้วนั่งลง “แนะนำพวกเจ้าว่าอย่าทำ”
……
ท่ามกลางม่านราตรี หลี่ไหวเดินอยู่ข้างกายเผยเฉียน เอ่ยเสียงเบาว่า “เผยเฉียน เจ้าสอนวิชาหมัดให้ข้าเถอะนะ?”
เผยเฉียนทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป สีหน้าปั้นยาก นางออกเดินทางไกลครั้งนี้ ไปเยือนยอดเขาสิงโต แท้จริงแล้วก็ไปเพื่อโดนต่อยโดยเฉพาะ
เผยเฉียนลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็ยังส่ายหน้า “เรียนวิชาหมัดยากลำบากเกินไป”
หยุดชะงักไปครู่ เผยเฉียนก็เอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าเองก็สอนวิชาหมัดไม่เป็นด้วย”
นึกไม่ถึงว่าหลี่ไหวได้ฟังแล้วจะอารมณ์ดี ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ว่าข้าเรียนอะไรก็ช้าไปหมด เจ้าสอนหมัดไม่เป็นก็ยิ่งดีน่ะสิ เรียนวิชาหมัดไม่ได้ ข้าไม่เสียใจ เจ้าเองก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถ่วงเวลาของลูกศิษย์คอื่น หากเปลี่ยนเป็นเฉินผิงอัน ข้าคงไม่เรียนแล้ว ด้วยนิสัยของเขา หากสอนหมัดขึ้นมา ข้าคิดจะแอบอู้ยังไม่ได้ด้วยซ้ำ…เผยเฉียน ข้าแค่พูดตามความจริง เจ้าห้ามโกรธนะ”
เผยเฉียนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ท่าหมัดสองท่านั้นของอาจารย์พ่อข้า เจ้าได้เห็นมาเร็วกว่าข้าอีกไม่ใช่หรือ? ไม่ได้เรียนยากสักหน่อย เจ้าน่าจะเรียนเป็นสิ”
หลี่ไหวเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ข้าแค่เรียนท่านอนนิ่ง ‘เชียนชิว’ มาอย่างส่งเดช อันที่จริงเฉินผิงอันพูดอะไร ข้าล้วนจำไม่ได้ แค่คิดว่าตัวเองได้เรียนมาแล้วเท่านั้น ท่าเดินนิ่งหกก้าวกับท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู ข้ายิ่งไม่กล้าเรียน กลัวพวกหลี่เป่าผิงจะหัวเราะเยาะ”
เผยเฉียนส่ายหน้า “ข้าไม่สอนหมัด ตัวข้าเองก็ไม่เป็นวิชาหมัดอะไรทั้งนั้น”
หลี่ไหวกล่าว “เจ้าเป็นสิ! ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะถามหมัดกับเทพลำคลองเซวียหรอกหรือ?”
ถึงอย่างไรเผยเฉียนก็ไม่ตอบตกลง
วิชาหมัดของข้า หมัดหล่นลงตรงไหน
เผยเฉียนแหงนหน้ามองม่านฟ้า
บนพื้นดินกว้างใหญ่ รอบด้านมีแต่เสียงแมลงกลางคืนร้องระงม
……
ห่างจากนอกอารามป๋ายอวิ๋นไปไม่ไกลมีภิกษุเฒ่าคนหนึ่งเดินทางไกลมาถึงที่แห่งนี้แล้วเช่าเรือนแห่งหนึ่งพักอาศัย ทุกวันจะต้องต้มน้ำแกงกิน ทั้งๆ ที่เป็นอาหารเจ แต่กลับมีรสชาติเหมือนน้ำแกงไก่
ดังนั้นจึงได้ฉายาว่าพระน้ำแกงไก่
ไม่อธิบายคำทำนายเซียมซี แค่ดูลายมือ บางครั้งก็ดูดวงให้ ส่วนใหญ่จะคอยไขข้อข้องใจให้คนอื่น ครั้งละหนึ่งตำลึงเงิน เข้าประตูมาก็ต้องจ่ายเงินให้ หากไขข้อข้องใจให้แล้วไม่พอใจก็ล้วนไม่มีการคืนเงินให้
วันนี้มีบัณฑิตคนหนึ่งเพิ่งจะแวะเวียนมา ถามว่าตนสามารถสอบติดได้หรือไม่
ภิกษุเฒ่าดูลายมือให้บัณฑิตแล้วก็ส่ายหน้า
บัณฑิตเดือดดาลอย่างหนัก เริ่มพูดว่าการสอบเคอจวี่ทำให้คนเสียเวลา ร่ายหลักการเหตุผลออกมาเป็นกระบุงโกย หนึ่งในนั้นคือพูดว่าจ้วงหยวนในโลกจะมีสักกี่คนที่สามารถเขียนบทกวีที่ทิ้งชื่อเสียงไว้ได้นานเป็นพันปี?
ภิกษุเฒ่ายื่นมือออกไป บัณฑิตโยนเศษเงินเม็ดหนึ่งออกไปอย่างเดือดดาล
ภิกษุเฒ่าได้เงินมาอยู่ในกระเป๋าอย่างสบายใจแล้วถึงได้ยิ้มเอ่ยว่า “การสอบเคอจวี่ทำให้คนเสียเวลาหรือไม่ ข้าไม่ขอพูด แต่เรื่องที่ถ่วงการเป็นนายท่านขุนนางของเจ้ากลับเป็นเรื่องจริง”
บัณฑิตใบหน้าใบหูแดงก่ำ “ข้าว่าเจ้าดูลายมือไม่แม่นมากกว่า!”
ภิกษุเฒ่ายิ้มพึมพำกับตัวเอง “อีกอย่างเจ้าบอกว่าพวกจ้วงหยวนไม่อาจเขียนกลอนมีชื่อเลื่องลือพันปีได้ ราวกับว่าตัวเองเขียนได้อย่างนั้นแหละ ในประวัติศาสตร์ก็มีจ้วงหยวนหลายคนที่พอจะเขียนออกมาได้ บัณฑิตตกอับที่ฝีมือไม่ได้เรื่องอย่างเจ้ามีเยอะจนนับไม่หวาดไม่ไหว บัณฑิตบางคนมีความสามารถด้านการประพันธ์อย่างแท้จริง แต่ไม่อาจติดกระดานทองคำได้ก็บอกได้แค่ว่าเกิดจากนิสัยของเขา เกิดจากชะตาชีวิตไม่เอื้ออำนวย แต่คนอย่างเจ้าไม่เพียงแต่สอบเคอจวี่ไม่ติด อันที่จริงไม่ว่าจะทำอะไรก็ล้วนไม่สำเร็จ ได้แต่ผลาญทรัพย์สินในบ้านไปวันๆ เท่านั้นแหละ”
บัณฑิตสะบัดชายแขนเสื้อเดินจากไป
“เบาปัญญา”
ภิกษุเฒ่าส่ายหน้า “ผู้ที่มีความอาฆาตแค้นมาก ย่อมต้องเจอความทุกข์ยากลำบากใหญ่หลวง คุณธรรมไม่สอดคล้องกับตำแหน่ง ความอาฆาตไม่สอดคล้องกับความยากลำบาก แม้แต่คนเห็นแก่ตัวก็ยังเป็นไม่ได้”
บัณฑิตกำลังสวมรองเท้าที่หน้าประตู ได้ยินประโยคนี้เหมือนน้ำมันราดลงบนกองเพลิง หันหน้ามาเอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าลาหัวโล้นอยากโดนซ้อมรึ!”
“จะตีคนก็ได้”
ภิกษุเฒ่าเอ่ย “แต่ต้องจ่ายค่ายาด้วย!”
บัณฑิตลังเลอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็จากไป ไปบอกกับคนอื่นว่าภิกษุเฒ่าเป็นนักต้มตุ๋น อย่าได้เสียเงินหนึ่งเหรียญตำลึงนั้นเปล่าๆ
น่าเสียดายที่ทุกวันนี้ชื่อเสียงของภิกษุเฒ่าในเมืองหลวงไม่ใช่น้อยๆ คนที่รอดูลายมืออยู่ด้านหลังยังคงมีมาไม่ขาดสาย
บุรุษหนุ่มหน้าตาระทมทุกข์คนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง ถามว่าวาสนาการแต่งงานจะสามารถสานต่อได้หรือไม่
ภิกษุเฒ่าดูลายมือแล้วก็ส่ายหน้าบอกว่ายาก
บุรุษจึงกล่าวโทษตัวเอง พึมพำว่านางช่างไร้ความรู้สึกจริงๆ ทรยศต่อคนรักเดียวใจเดียว แต่ข้าไม่โทษนาง ชิงชังก็แต่ตนเองไร้เงินไร้อำนาจ พอพูดถึงเรื่องที่ทำให้เสียใจ บุรุษตัวโตๆ กลับกำสองมือเป็นหมัดร่ำไห้แทบไม่เป็นเสียง
ภิกษุเฒ่าผงกหน้า “เอาเถอะๆ โทษตัวเองมากกว่าโทษคนอื่น ถือเป็นนิสัยที่ดี”
บุรุษเอ่ยเสียงสะอื้น “ฝ่าซือ (คำเรียกขานพระหรือเต้าหยิน) ข้าแค่อยากรู้ว่าจะคลายปมในใจอย่างไร ไม่อย่างนั้นคงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ มีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้จริงๆ แล้ว”
คาดว่าก่อนหน้านี้น่าจะมีคนบนเส้นทางเดียวกันที่เคยเสียเปรียบมาก่อน บุรุษจึงเงยหน้าเอ่ยว่า “อย่าได้พูดคำพูดระยำที่บอกให้ปล่อยวางไม่ปล่อยวางอะไรนั่นกับข้า! อย่าพูดจาไร้สาระว่าคนเรียนผูกต้องเรียนแก้อะไรนั่นกับข้า ข้าผู้อาวุโสวางไม่ลงก็คือวางไม่ลง! ข้าแค่อยากให้นางเปลี่ยนใจ ไม่ว่าอะไรข้าก็ยอมทำ…” สุดท้ายบุรุษพึมพำชื่อของสตรี ช่างเป็นคนที่ลุ่มหลงในรักอย่างแท้จริง
ภิกษุเฒ่าเอ่ย “มีอยู่สองวิธี วิธีแรกง่ายหน่อย ความหิวรักษาร้อยโรค อีกข้อหนึ่งซับซ้อนสักหน่อย แต่กลับทำให้เจ้ารู้ว่าชีวิตในตอนนี้ทุกข์ทรมาน แต่สุดท้ายก็จะผ่านพ้นไปได้ อันที่จริงยังมีอีกข้อหนึ่ง แต่เจ้าต้องไปขอจากเฒ่าจันทราแล้วล่ะ”
หลังจากเอ่ยจบ ภิกษุเฒ่าก็ขยับนิ้ว
บุรุษส่ายหน้า “บนร่างข้าไม่มีเงินแล้ว”
ภิกษุเฒ่าพูดด้วยสีหน้ารังเกียจ “งั้นก็หิวไปซะ”
บุรุษลงไปนอนหมอบกับพื้นร้องไห้เสียงดัง
ภิกษุเฒ่าจนใจ “ช่างเถิดๆ ยื่นมือออกมา”
บุรุษยื่นมือออกไป ภิกษุเฒ่าแตะฝ่ามือของฝ่ายแรกเบาๆ บุรุษอึ้งงันเป็นไก่ไม้ทันที ครู่หนึ่งต่อมาถึงค่อยๆ คืนสติ รู้สึกเหมือนอยู่กันคนละโลก หน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
ภิกษุเฒ่าเอ่ย “ข้ารับเงินเจ้าหนึ่งตำลึง เป็นแค่ฝันร้ายตื่นหนึ่งของเจ้าเท่านั้น ทว่าความเจ็บปวดราวกับถูกคว้านหัวใจที่ข้ารับมาแทนเจ้ากลับเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน ไปเถิด”
บุรุษเดินโงนเงนจากไป
ภิกษุเฒ่าถอนหายใจเสียงแผ่ว ประกบนิ้วกระตุกเบาๆ จากนั้นปาดลงไปบนจีวรของตนเบาๆ
ต่อมามีบุรุษที่รู้สึกว่าถูกหลอกมาเยือน เขาโยนเงินหนึ่งตำลึงลงบนพื้น พอนั่งลงแล้วก็เอามือสองข้างค้ำยันไว้บนหัวเข่า เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ย “ในเมื่อตีคนต้องจ่ายเงิน ถ้าอย่างนั้นข้าไม่ตีคน แค่ด่าคน ได้ไหม? หา?!”
ภิกษุเฒ่าส่ายหน้า “ไม่ได้”
คนผู้นั้นหลุดหัวเราะพรืด “ทำไม?!”
“ด่าข้า แน่นอนว่าด่าได้ ข้าไม่อะไรอยู่แล้ว เพียงแต่ข้าทนเห็นเจ้าเพิ่มวจีกรรมให้ตัวเองไม่ได้ก็เท่านั้น รับเงินของเจ้ามายังทำร้ายเจ้า ข้าจะทนได้อย่างไร? บนโลกนี้คนที่ตกอยู่ในบ่วงของวจีกรรมแต่ไม่รู้ตัวมักจะถ่วงรั้งตัวเองเสมอ โชคและเคราะห์ไร้ประตูมีแต่คนไปเรียกมันเข้ามา ปากและใจก็คือประตูสองบานของคน การปิดประตูที่ข้าพูดกับเจ้า คือพูดถึงการไร้วจีกรรม จิตใจไร้ฝุ่นผง ถ้าอย่างนั้นความสำรวมระมัดระวังที่ลัทธิขงจื๊อเอ่ยถึงก็เป็นการปิดประตูเหมือนกัน ลัทธิเต๋าเลื่อมใสในความสะอาดบริสุทธิ์ ก็ยังคงเป็นการปิดประตู ด่านหัวใจยากรักษา แม้แต่อาจารย์หล่อหลอมบนภูเขายังหวาดกลัวอย่างมาก ทว่ามนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเรา หากแม้แต่พูดให้น้อยลงแค่ไม่กี่คำยังทำไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ค่อยดีแล้ว ตอนนี้จะยังด่าอีกหรือไม่?”
คนผู้นั้นไม่เลอะเลือนแม้แต่น้อย ผรุสวาทดังลั่น น้ำลายแตกฟอง
ภิกษุเฒ่าชำเลืองตามองเม็ดเงินบนพื้นจึงอดทนไว้ แล้วก็ไม่ไล่คน แค่รอให้คนผู้นั้นด่าจนหมดแรง พอปล่อยให้คนผู้นั้นจากไปแล้ว ภิกษุเฒ่าถึงได้ยื่นสองนิ้วออกมางอเป็นตะขอเกี่ยวเบาๆ จากนั้นก็เอาไปถูบนจีวร เรื่องในบ้านก็ให้จบในบ้าน ส่วนอย่างอื่น แต่ละคนต่างก็มีวาสนาต่างกันไป
มีบัณฑิตวัยกลางคนผู้หนึ่งประสานมือคารวะอยู่นอกประตูก่อน จากนั้นก็ถอดรองเท้าเดินเข้ามาในห้อง นั่งลงบนเบาะรองนั่ง วางเงินลงบนพื้นเบาๆ ก่อนถามว่า “ขอถามฝ่าซือ ลัทธิพุทธพูดถึงบุญและกรรม พูดถึงวัฎจักรสังสาร แต่หากมีชาติหน้าจริง ทำอะไรก็ได้อย่างนั้นตอบแทน ถ้าอย่างนั้นชาติหน้าข้าไม่อาจรู้เรื่องของชาติก่อน ข้าจะยังเป็นข้าอยู่อีกไหม? ข้าไม่รู้ว่าเป็นข้า กรรมต่างๆ กรรมดีก็ดี กรรมชั่วก็ช่าง ข้าล้วนไม่รู้อะไรเลย แต่ต้องรับเอาไว้อย่างมึนงง เมื่อไหร่จึงจะถึงจุดสิ้นสุดเล่า?”
“ถามได้ดี”
ภิกษุเฒ่ายิ้มบางๆ “เรื่องนี้สามารถอธิบายได้ ขอให้ข้าได้ค่อยๆ อธิบาย”
คนผู้นั้นอดไม่ไหวถามอีกว่า “เหตุใดกรรมสนองของโลกมนุษย์ถึงไม่ปรากฏในภพปัจจุบันทั้งหมด?”
ดวงตาของภิกษุเฒ่าเป็นประกายวาบ ตวาดเสียงดังลั่น “เวลานี้เป็นใคร ถึงได้ช่างถาม (ภาษาจีนคือ 好问 สามารถแปลได้ทั้งถามได้ดีและช่างถาม) เช่นนี้?!”
คนผู้นั้นลุกขึ้นยืน พนมสิบนิ้ว “ไม่รู้ว่าถามได้ดีหรือไม่ แต่รู้ว่าฝ่าซือตอบได้ดี”
คนผู้นั้นออกจากประตูไป
ถึงขั้นลืมสวมรองเท้าคู่นั้น
คนถัดไปคือผู้เฒ่ารูปโฉมงามสง่า
หลังจากจ่ายเงินก้อนหนึ่งเม็ดก็ถามถึงความเป็นมาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ ภิกษุเฒ่าจึงอธิบายในสิ่งที่ตัวเองเข้าใจให้ฟัง แต่บอกไปตามตรงว่ายกมาจากตำราของปัญญาชนลัทธิขงจื๊อพวกเจ้า เพราะรู้สึกว่ามีเหตุผล
ผู้เฒ่าคนนั้นก็ไม่ถือสา เพียงทอดถอนใจว่าคนบนโลกมีแต่พวกโง่เง่าดื้อดึงและพวกคนที่หาประโยชน์ใส่ตัวมากเกินไป โดยเฉพาะพวกปัญญาชนอายุน้อยทั้งหลายที่ใฝ่ฝันอยากได้ลาภยศชื่อเสียงมากเกินควร…
ภิกษุเฒ่าฟังอีกฝ่ายเอ่ยถึงวิถีทางโลกด้วยความกลัดกลุ้มอยู่นาน ก่อนจะหัวเราะพลางถามว่า “วันนี้อาหารที่ประสกกินไปมีอะไรบ้างเล่า?”
อีกฝ่ายยิ้มบางๆ ตอบกลับ “แค่อาหารเจจืดๆ ของอารามป๋ายอวิ๋นที่อยู่ห่างไปไม่ไกลเท่านั้น”
ภิกษุเฒ่าพยักหน้า “ไม่ใช่คนที่กินเนื้อกินปลามาจนชิน ย่อมไม่มีทางรู้สึกจากใจจริงว่าอาหารเจจืดชืด แต่ต้องรู้สึกว่าไม่อร่อยกินยาก”
อีกฝ่ายหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ภิกษุเฒ่าก็เอ่ยอีกว่า “มีเพียงคนที่กินอิ่มว่างงานเท่านั้นที่จะพูดกับคนหิวโหยว่าอาหารไม่อร่อย และง่ายที่จะเรอใส่ให้คนอื่นรังเกียจ”
ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืน หัวเราะหยันเอ่ยว่า “ภิกษุสมณศักดิ์สูงอะไรกัน มีแต่ชื่อเสียงจอมปลอม!”
ผู้เฒ่าเก็บเงินมา ยิ้มกล่าวว่า “แต่เงินกลับเป็นของจริง”