ตอนที่ 1415 เทพแห่งคณิตศาสตร์!

Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ

“ชินอิจิ ชินอิจิ…”

ชินอิจิ โมจิซูกิหลับพิงเก้าอี้บนเครื่องบิน เขาลืมตาด้วยความงงงวยและเห็นนักศึกษาที่นั่งข้างๆ เขา

“ว่าไง?”

โฮชิ ยูอิชิโร่ยิ้มกว้างเผยให้เห็นฟันขาวของเขา

“ศาสตราจารย์! เราเกือบจะถึงแล้วครับ!”

เกือบจะถึง…

กลับไปญี่ปุ่นเหรอ

ชินอิจิ โมจิซูกิห่อตัวเองด้วยผ้าห่ม เขาเอียงหัวอย่างไร้ความรู้สึกและมองผ่านหน้าต่าง

ภายนอกหน้าต่างคือลานวิ่งของเครื่องบินและสถานีของท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาเดินทางมาถึงญี่ปุ่นกันแล้ว

มีการประกาศถึงจุดหมายดังขึ้นในห้องโดยสาร

ชินอิจิ โมจิซูกินยื่นผ้าห่มให้นักศึกษาของเขา โมจิซูกิหยิบแว่นขอบทองออกจากปกเสื้อและสวมมัน เขาปลดเข็มขัดนิรภัยและลุกขึ้นจากที่นั่ง ในที่สุดเขาก็เดินตามคนอื่นๆ และเดินลงมาจากเครื่องบิน

ครึ่งเดือนก่อน

เขาจำได้รางๆ ว่าเหตุการณ์บนดาวอังคารเพิ่งจะเกิดขึ้น นักศึกษาของเขา โฮชิ ยูอิชิโร่นั่งสายการบินพิเศษมาประเทศจีนและขอร้องให้เขากลับไปสอนที่มหาวิทยาลัยเกียวโต

ในเมื่อไม่มีโอกาสได้คุยกับลู่โจวเกี่ยวกับอนาคตของอัลกอริทึมการเข้ารหัสควอนตัม ในที่สุดชินอิจิ โมจิซูกิก็ใกล้ที่จะกลับบ้าน

ไม่มีสิ่งมีค่าหลงเหลืออยู่ที่จินหลิงแล้ว

โทรทัศน์ที่อาคารผู้โดยสารกำลังฉายข่าวล่าสุด

ตอนที่เขาเดินทางออกจากญี่ปุ่นในตอนแรก ข่าวยังพูดเกี่ยวกับเบาะแสในการค้นพบมนุษย์ต่างดาวบนดาวอังคาร ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือน ข่าวก็ได้พัฒนาจาก ‘สมาพันธ์มนุษย์จัดการประชุมเป็นครั้งที่สอง’ เป็น ‘จัดตั้งระบบคุ้มกันเพื่อประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันของมนุษยชาติ’ และ ‘ชายแดนบนแถบไคเปอร์’

อันที่จริงถ้ามนุษย์ต่างดาวบุกรุกโลกขึ้นมากจริงๆ แล้วเราจะทำอะไรได้

ส่วนชายแดนแถบไคเปอร์ จะมีสักกี่คนที่สามารถไปที่นั่นได้

ชินอิจิคลางแคลงใจในเรื่องเหล่านี้อย่างมาก

โฮชิ ยูอิชิโร่พยายามลากกระเป๋าเดินทางฝ่าฝูงชนออกมา เขาพยายามเดินตามศาสตราจารย์ให้ทันและพูดอย่างกระหืดกระหอบ “ศาสตราจารย์ คุณเดินเร็วไปแล้วนะครับ”

ชินอิจิ โมจิซูกิละสายตาจากโทรทัศน์และพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “แม้แต่นักคณิตศาสตร์เองก็ห้ามละเลยจากการออกกำลังกาย”

“ครับ…ศาสตราจารย์ แต่ผมถือกระเป๋าเดินทางตั้งสองใบนะ”

“นั่นไม่ใช่ข้อแก้ตัว”

“ครับ…”

ขณะที่ทั้งคู่เดินมายังจุดรับผู้โดยสาร ก็มีนักข่าวพร้อมไมโครโฟนเดินเข้ามาพร้อมตากล้องและหยุดพวกเขา

“สวัสดีครับ คุณใช่ศาสตราจารย์ชินอิจิหรือเปล่า”

“ค่ะ” โมจิซูกิมองไปที่กล่องที่อยู่ด้านหลังนักข่าวและพูดอย่างไร้ความรู้สึก “เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอครับ”

“เรื่องของเรื่องก็คือผมอยากจะสัมภาษณ์คุณเกี่ยวกับข้อคาดการณ์ ABC”

“ตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบสองเดือนแล้วตั้งแต่มีการพิสูจน์ข้อคาดการณ์ ABC คุณช่วยถามคำถามที่ตรงประเด็นกว่านี้ได้ไหมครับ”

นักข่าวแสดงสีหน้ากระอักกระอ่วน

“เอิ่ม…สุดท้ายก็มีคนมากมายที่เป็นห่วงคุณ เราไม่สามารถติดต่อคุณได้เลยในระหว่างที่คุณอยู่ที่ประเทศจีน”

โมจิซูกิมองไปที่นาฬิกาข้อมือของเขาและพูดอย่างรวบรัด “ว่ามาเลยว่าคุณต้องการอะไร ผมให้เวลาคุณได้มากสุดสองนาที”

“คุณมีบทบาทอะไรในกลุ่มวิจัย LSPM ”

“นักคณิตศาสตร์”

“แน่นอนครับ แต่สิ่งที่เราอยากจะรู้ก็คือ”

“งานของผมสำคัญแค่ไหนกับผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้…นั่นคือสิ่งที่คุณอยากจะถามใช่ไหม” โมจิซูกินิ่งไปครู่หนึ่งและมองไปที่ทางวิ่งเครื่องบินที่อยู่ตรงลานจอดเครื่องบิน เขาถาม “คำถามนี้ไม่มีความหมายเลยสักนิด งานกว่า 60% และไอเดียข้อพิสูจน์ที่สำคัญที่สุดเป็นฝีมือของลู่โจว ส่วน 40% ที่เหลือ บางส่วนก็เป็นส่วนที่ผมทำ บางส่วนก็เป็นของศาสตราจารย์ชูลทซ์และเพเรลมาน ถ้าจะให้แยกออกมาว่าผลลัพธ์ของใครสำคัญที่สุดก็ดูจะเป็นเรื่องยาก

นักข่าว “คุณชื่นชมนักวิชาการลู่หรือเปล่าครับ”

“มากครับ เขาไม่ควรถูกประเมินค่าจากผมด้วยซ้ำ” ชินอิจิ โมจิซูกิพูดต่อหลังจากที่นิ่งไป “มีแค่คำคำเดียวเท่านั้นที่คู่ควรแก่การเรียกเขา”

นักข่าว “…เรียกว่าอะไรครับ”

ชินอิจิ โมจิซูกิพูดอย่างมั่นใจต่อหน้ากล้อง

“เทพแห่งคณิตศาสตร์”

การจากไปของลู่โจวส่งผลกับคนมากมาย

ตั้งแต่การบรรยายครั้งแรกที่เขาจัดขึ้นที่พรินซ์ตัน ชีวิตของเขาก็ผูกติดกับวงการวิชาการมาโดยตลอด วิชาการคือสิ่งที่แบกรับจินตนาการและความหวังของอารยธรรมมนุษย์ในอนาคต

เพราะแบบนี้ ตอนที่ข่าวร้ายมาถึง วงการวิชาการจึงได้รับผลกระทบมากที่สุด

“ผมมีครูมากมายในชีวิต แต่เขาคือคนที่ผมให้ความเคารพที่สุด ผมจะจำคำสอนของเขาไปตลอดชีวิตและถ่ายทอดสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากเขา”

ในการสัมภาษณ์กับเนเจอร์ ศาสตราจารย์ฮาร์ดี้ คณบดีที่อายุน้อยที่สุดของแผนกคณิตศาสตร์มหาวิทยาลัยเซาเปาลูที่บราซิล เขาก็ได้พูดด้วยอารมณ์ที่หนักอึ้ง

ก่อนหน้านี้เนเจอร์พยายามติดต่อศาสตราจารย์เดอลีงย์ แต่น่าเสียดายที่ศาสตราจารย์เดอลีงย์ปฏิเสธการให้สัมภาษณ์

แต่โชคยังดีที่แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้สัมภาษณ์ศาสตราจารย์เดอลีงย์ แต่พวกเขาก็สามารถติดต่อกับศาสตราจารย์เฟฟเฟอร์แมนที่เคยทำงานกับลู่โจวเรื่องสมการนาเวียร์-สโตกส์

สีหน้าของศาสตราจารย์เฟฟเฟอร์แมนเองก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้า เขาพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองและตอบคำถามจากนักข่าว

“…ความตายของเขาคือการสูญเสียของวงการวิชาการทั้งวงการอย่างไม่ต้องสงสัยและยังเป็นการสูญเสียของโลกด้วย ผมเคยคุยเรื่องนี้กับศาสตราจารย์ฟิสิกส์ที่สถาบันเพื่อการศึกษาขั้นสูง เนื่องจากการจากไปที่กะทันหันของเขาทำให้มีวิจัยมากมายที่ยังไม่เสร็จเกิดหยุดชะงัก”

“ในอนาคตก็อาจจะมีคนที่เก่งกว่าเขาก็ได้ แต่ศาสตราจารย์วิทเทนไม่ได้คิดแบบนั้น การกำเนิดของอัจฉริยะแบบเขาเป็นเรื่องที่หายากมาก”

“น่าเสียดายที่เขามีอายุถึงแค่สามสิบต้นๆ เท่านั้น มันคือช่วงรุ่งโรจน์ของนักวิชาการเลย เขาคงแก้ปัญหายากๆ ได้อีกหลายข้อเลย…”

ณ จินหลิง

ในอี้ต๋าพลาซ่า

ภาพยนตร์เกี่ยวกับนักวิชาการลู่ถูกฉายในโรงหนัง

หลังจากการถ่ายทำกว่าหนึ่งปีและการตัดต่อเกือบครึ่งปี เดิมทีภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งใจจะปล่อยสิ้นปีนี้

แต่เนื่องจากหลายๆ ปัจจัย แผนการเดิมจึงชะงักไป รอบปฐมทัศน์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกเลื่อนมาฉายในช่วงฤดูร้อน

ส่วนชื่อของภาพยนตร์ ก็เรียบง่ายแต่ค่อนข้างมีเสน่ห์

[นักวิชาการ]

คนส่วนใหญ่ที่นั่งดูภาพยนตร์เรื่องนี้คือนักเรียน โดยเฉพาะนักเรียนมัธยมต้นและมัธยมปลาย บางโรงเรียนก็มีการจัดกิจกรรมให้นักเรียนได้มาดูเรื่องนี้ ในขณะที่นักเรียนมาคนก็มาดูกับผู้ปกครอง

ส่วนเฉินยู่ซานเองก็พาน้องสาวของเธอมาที่นี่

ความยาวของภาพยนตร์ก็ประมาณสองชั่วโมงครึ่ง เกี่ยวกับการเติบโตของลู่โจวและการตัดสินใจในชีวิตของเขาตั้งแต่เขาเป็นนักเรียนไปจนถึงการเผาไหม้ของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิวชั่นที่ควบคุมได้

ตอนที่เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ผางกู่ประสบความสำเร็จ ทุกคนรอบๆ ตัวเขาต่างพากันยินดี แต่นักวิชาการลู่กลับเป็นลมไปเพราะความเหนื่อยล้า คนมากมายในโรงหนังต่างกำหมัดแน่นพร้อมน้ำตาในดวงตาของพวกเขา

ฉากเปลี่ยน ตอนนี้พวกเขาอยู่ด้านในห้องผู้ป่วยในโรงพยาบาล

เด็กอายุประมาณห้าขวบที่นั่งข้างๆ เฉินยู่ซานถามแม่ของเขาเบาๆ “แม่ครับ ลู่โจวจะตื่นขึ้นมาไหม”

แม่ของเด็กคนนั้นลูบมือลูกชายของเธอและพูดอย่างอ่อนโยน “ตื่นสิ เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ เขาช่วยคนเอาไว้มากมาย เขาจะอยู่ในหัวใจของคนมากมาย”

เด็กคนนั้นพยักหน้า

เพราะเหตุผลบางอย่าง เฉินยู่ซานเริ่มร้องไห้ออกมา

ฉันพูดไปแล้วว่าฉันจะไม่เศร้าอีกแล้ว…

หานเมิ่งฉีบีบมือของพี่สาวด้วยความเป็นห่วง

“พี่…”

“พี่ไม่เป็นไร” อารมณ์ของเธอค่อยๆ เย็นขึ้น เฉินยู่ซานสูดจมูกและพยายามฝืนยิ้ม เธอพูด “ก็แค่…เรามาที่โรงหนังแห่งนี้ในเดทแรกของเรา”

เธอยังจำหนังสยองขวัญที่พวกเขาดูได้

ตอนที่ซื้อตั๋ว ลู่โจวยังบอกว่าให้ซื้อตั๋วคนละเรื่องแล้วค่อยมาเจอกันหลังดูหนังจบ

ตอนนั้นเขาน่ารักมาก…

แต่ตอนนั้นเธอกลับไม่รู้เลย

“พี่…”

“อะไรเหรอ?”

“ฉัน…ไม่เคยบอกพี่” หานเมิ่งฉีกระซิบขณะที่พยายามหลบตา เธอจ้องไปที่เครดิตท้ายเรื่องบนหน้าจอขณะที่พูด “จริงๆ แล้วฉัน…คิดว่าฉันชอบคนคนหนึ่ง”

“ถ้าเธอชอบเขาเธอก็ไปบอกเขาเลย เธอจะได้ไม่เสียใจทีหลัง” เฉินยู่ซานยิ้มและพูด “อย่าเป็นเหมือนฉันและรอนานขนาดนี้”

“พี่พูดเรื่องอะไรของพี่ พี่เพิ่งจะสามสิบต้นๆ เอง พี่ทั้งสาวทั้งสวย และพี่ก็แต่งตัวเก่ง…พี่ดูเหมือนอายุแค่ยี่สิบกว่าๆ เอง”

“ไม่มีทาง” เฉินยู่ซานยิ้มและพูดต่อ “บอกฉันได้ไหมว่าหนุ่มผู้โชคดีที่ได้ความสนใจจากเธอคือใคร”

แก้มของหานเมิ่งฉีแดงระเรื่อขณะที่พูดอย่างอายๆ “เรื่องนี้…ฉันขอเก็บเป็นความลับได้ไหม”

“อย่างน้อยก็บอกพี่มาว่าเธอไปเจอเขาที่ไหน”

“ตอนที่เล่นหนัง…” แก้มของหานเมิ่งฉีแดงเพราะการโกหก

แต่เฉินยู่ซานไม่ทันสังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปของน้องสาวของเธอ เธอยิ้มและตอบ “นักแสดงเหรอ”

“ไม่…ฉันไม่สนใจหนุ่มหน้าหล่อหรอก แต่เขาก็แต่งตัวดีนะ” หานเมิ่งฉียิ้มอายๆ และพูดต่อเบาๆ “จริงๆ แล้วฉันรู้สึกขอบคุณเขามากๆ เลย เขาเปลี่ยนแปลงฉัน…ไม่ใช่สิ เขาช่วยฉัน”

“โอ้ จริงเหรอ ฟังดูเหมือนเป็นคนดีนะ” เฉินยู่ซานพูดพร้อมรอยยิ้ม “รักษาเขาไว้ ไม่ได้มีผู้ชายแบบนี้เยอะนะ”

“โอเค…”

หลังจากที่นิ่งไป เฉินยู่ซานคิดอยู่สักพักและพูด “ช่วงบ่ายพี่จะไปที่เจียงหลิงเพื่อไปเยี่ยมพ่อแม่ของลู่โจว เสี่ยวถงก็อยู่ที่นั่นด้วย เธออยากไปกับพี่ไหม”

หานเมิ่งฉีถามด้วยความประหลาดใจ “เสี่ยวถงกลับมาจากอเมริกาแล้วเหรอ”

“ดูเหมือนว่าเธอจะลาป่วยอยู่นะ ฉันเห็นเธอที่สนามบินเมื่อวาน เธอร้องไห้จนจมูกบวมไปหมด พี่ได้ทานข้าวกับเธอ แต่เธอไม่ได้อยู่จินหลิงนาน เธอกลับไปที่หูเป่ย์ในวันนั้นเลย เธอกับเสี่ยวถงก็สนิทกัน เธอน่าจะไปปลอบเสี่ยวถงนะ”

“โอเค! ฉันจะไปด้วย

เฉินยู่ซานยิ้มและเอื้อมมือออกไปลูบของน้องสาวอย่างอ่อนโยน

“ขอบคุณนะ”

เฉินยู่ซานกลัวว่าเธอจะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ต่อหน้าพ่อแม่ที่เพิ่งสูญเสียลูกชายไปได้…

รถไฟระบบพื้นผิวแม่เหล็กจากจินหลิงไปเจียงเฉิงเปิดให้บริการตั้งแต่ต้นปี

ในเวลาแค่หนึ่งชั่วโมง สองพี่น้องก็เดินทางมาถึงใจกลางมณฑลหูเป่ย์

หลังจากที่เดินทางจากอาคารสูงไปยังชนบท ในที่สุดทั้งสองก็เดินทางมาถึงที่หมาย

แม้ว่าเฉินยู่ซานจะมาที่นี่เพียงไม่กี่ครั้งก็ตาม แต่เธอกลับคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ราวกับเป็นบ้านเกิดของเธอเอง

เฉินยู่ซานลังเลก่อนที่จะเอื้อมมือออกไปเคาะประตูเบาๆ

หลังจากนั้นไม่นาน ประตูถูกเปิดออก หญิงสูงวัยที่ใบหน้าซูบเซียวปรากฏขึ้นที่ประตู เฉินยู่ซานแทบจะจำเธอไม่ได้

ตอนที่เธอเห็นเฉินยู่ซาน สีหน้าของเธอแสดงออกถึงความประหลาดใจ

ก่อนที่เธอจะพูด เฉินยู่ซานที่ยืนอยู่ตรงประตู พูดขึ้นก่อน

“แม่ หนูมาหาแม่ค่ะ…นี่ญาติของหนู หานเมิ่งฉี เพื่อนของเสี่ยวถง”

หานเมิ่งฉีโค้งคำนับด้วยความเคารพและทักทายหญิงสูงอายุ

“สวัสดีค่ะคุณป้า”

“สวัสดี สวัสดี เข้ามาก่อนสิ…” ฟางเหมยฝืนยิ้ม เธอมองเฉินยู่ซานและพูด “อย่าเรียกฉันว่าแม่เลย…หนูเป็นเด็กดี ลูกชายฉันทำหนูผิดหวัง”

เฉินยู่ซานส่ายหัวและพูด “หนูเตรียมตัวให้เขารังแกไปตลอดชีวิตอยู่แล้วค่ะ และเขาก็ไม่ได้ทำให้ใครผิดหวัง ถ้าแม่ไม่ถือก็ทำกับหนูเหมือนลูกของแม่เถอะค่ะ”

“โอ้ แม่ไม่ถือหรอก แม่ก็แค่กลัว…เฮ้อ โชคร้ายจริงๆ นะ”

หญิงสูงวัยถอนหายใจและหันหลังกลับไป

เฉินยู่ซานพยักหน้าไปทางหานเมิ่งฉีและนำเธอเข้ามาในบ้าน

หลังจากที่เข้าไปในห้องนั่งเล่น เฉินยู่ซานเห็นประตูห้องของลู่โจวปิดอยู่

หัวใจของเธอหยุดเต้น แต่เธอก็นึกขึ้นได้ว่าความคิดที่แล่นเข้ามาในหัวใจของเธอนั้นไม่มีทางเป็นไปได้

ลู่โจวไม่ได้อยู่ที่นั่น

คนคนนั้นน่าจะเป็นเสี่ยวถง

ประตูห้องนอนถูกเปิดออกพร้อมใบหน้าที่คุ้นเคยปรากฏขึ้น

ทั้งคู่สบตากัน

เสี่ยวถงเดินออกมาจากห้องนอนพร้อมดวงตาที่บวมและแดงก่ำ

“พี่…”

“นี่ อย่าร้องสิ…” เฉินยู่ซานกอดเสี่ยวถงและลูบหัวเธออย่างอ่อนโยน เธอพูดเบาๆ “พี่อยู่นี่ไง”

หานเมิ่งฉีถามเบาๆ “เธอตัดผมเหรอ”

“…”

หน้าของเสี่ยวถงอยู่ที่อกของเฉินยู่ซาน เธอไม่ได้ตอบอะไร

จู่ๆ หานเมิ่งฉีก็นึกบางอย่างออก

เป็นไปได้ว่า…

เธอคงอยากรับหน้าที่พี่ชายของเธอ

ตอนที่พวกเขาทานข้าวกัน ในที่สุดอารมณ์ของเสี่ยวถงก็ดูผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย

แม้ว่าที่บ้านหลังนี้จะยังมีบรรยากาศแห่งความเศร้าอยู่บ้าง แต่บางทีอาจจะเป็นเพราะมีแขกมาที่นี่ อารมณ์ก็เลยไม่ได้ชัดมากขนาดนั้น

ขณะกำลังทานอาหาร เฉินยู่ซานถามเสี่ยวถงด้วยน้ำเสียงชวนคุย

“เธอมีแผนในอนาคตหรือยัง”

“ฉันคิดว่า…หลังจากที่กลับมาประเทศจีนแล้ว ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนพ่อกับแม่ก่อน หลังจากนั้น…ก็ค่อยทำสิ่งที่พี่ฉันยังทำไม่เสร็จและช่วยเขา”

เสี่ยวถงถามเฉินยู่ซานอย่างจริงใจ “พี่ช่วยฉันได้ไหม”

“แน่นอน” เฉินยู่ซานกุมมือเสี่ยวถงและรอยยิ้มที่อ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าของเธอขณะที่พูด “เธอคือน้องสาวของฉัน”

แก้มของเสี่ยวถงแดงระเรื่อในขณะที่รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏบนหน้าของเธอ

“ขอบคุณนะ…”

“ไม่ต้องขอบคุณคนในครอบครัวหรอก” เฉินยู่ซานพูดพร้อมรอยยิ้ม “รีบทานเร็วเข้าแล้วพูดเรื่องอื่นกันเถอะ”

สายตาของหานเมิ่งฉีแสดงถึงความอิจฉา

จู่ๆ เธอก็เข้าใจ

ว่าทำไมลู่โจวที่ดูจะไม่ค่อยจะให้ความสนใจกับอะไรเลยถึงตกหลุมรักพี่สาวของเธอ

แม้ว่าเฉินยู่ซานเองก็มีช่วงเวลาที่โศกเศร้าและสิ้นหวัง แต่ความอ่อนโยนและความมั่นใจของเธอในช่วงเวลาที่ยากลำบากแบบนี้กลับเปล่งประกาย

พวกเขาอยู่ที่เมืองเล็กๆ ของเจียนหลิงหนึ่งคืน เนื่องจากยังมีเรื่องอีกหลายเรื่องที่ต้องสะสางกับสตาร์สกายเทคโนโลยี เฉินยู่ซานบอกลาพ่อแม่ของลู่โจวและเสี่ยวถง เธอพาหานเมิ่งฉีกลับมาที่จินหลิง

เฉินยู่ซานนั่งอยู่ในรถไฟความเร็วสูงที่กำลังมุ่งหน้าเพื่อเปลี่ยนเป็นรถไฟระบบพื้นผิวแม่เหล็ก เธอจ้องไปนอกหน้าต่างตอนที่พูดขึ้น

“ลู่โจวบอกพี่มาตลอดมาอยากทำอะไรเพื่อวิทยาศาสตร์ อย่างตั้งรางวัลพิเศษขึ้นมาเพื่องานวิจัยที่โดดเด่นและเพื่อนักวิชาการรุ่นเยาว์ที่โดดเด่น”

“แต่เขาก็ลังเลอยู่เสมอเพราะเขายังเด็กเกินไปที่จะตั้งชื่อรางวัลวิชาการระดับโลกตามชื่อของตัวเอง เขาอยากจะถ่อมตัว”

หานเมิ่งฉีมองไปที่พี่สาวของเธออย่างสับสน เธอไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเฉินยู่ซานจึงพูดเรื่องนี้

“พี่อยากจะใช้ชื่อของเขาในการก่อตั้งรางวัลระดับโลก…เธอคิดว่าอย่างไร”

“ฉันว่าเป็นความคิดที่ดีนะ” หานเมิ่งฉีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ตาของเธอเป็นประกายขณะที่พูดต่อ “เขาจะต้องมีความสุขมากแน่ๆ ที่ชื่อของเขาจะสามารถช่วยคนมากมายได้…”

เฉินยู่ซานยิ้มมุมปากและมองออกไปนอกหน้าต่าง

“ถ้าฉันสามารถแบ่งปันความสุขนี้กับเขาได้ก็ดีสิ…”

ขณะที่รถไฟความเร็วสูงค่อยๆ เข้าสู่สถานีรถไฟความเร็วสูงเจียงเฉิงอย่างช้าๆ ห่างออกไปหลายหมื่นกิโลเมตรสะพานนกกางเขนเองก็เทียบท่าสถานีอวกาศปราสาทจันทราอย่างช้าๆ

ครึ่งเดือนก่อนมันถ่ายเครื่องใช้และกำลังเสริมบนดาวอังคาร มันยังสามารถกู้ร่างสมาชิกภารกิจทางการทูตที่ถูกส่งไปยังดาวอังคาร รวมไปถึงตัวอย่างที่เก็บได้จากซากที่หลงเหลืออยู่ของอารยธรรมดาวอังคารและคอมพิวเตอร์ข้อมือหน้าจอแตก

ในอีกด้านหนึ่ง สัญญาณไฟบนคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่ถูกฝังลึกอยู่ใต้สถาบันเพื่อการศึกษาขั้นสูงกะพริบ

อากาศยานไร้คนขับบินขึ้นอย่างช้าๆ และตรงไปยังทิศทางของลิฟต์ มันเริ่มทำตามคำสั่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ของเจ้าของของมัน…