WSSTH ตอนที่ 3,014 : มันคิดว่าตัวเองเป็นต้วนหลิงเทียนรึไร?
ท่ามกลางสายตาของทุกผู้คน เมื่อกระบี่หนักไร้คมเล่มเขื่องของต้วนหลิงเทียนฟันผ่าม่านพลังของชายหนุ่มไปได้แล้ว กระบี่หนักดังกล่าวก็หั่นร่างมันออกเป็นสองส่วนได้ง่ายดาย จากนั้นคลื่นพลังกระบี่ก็ปะทุออกมาป่นร่างมันทั้งท่อนบนและล่างจนแหลกเป็นหมอกเลือด…
“ไม่….!!”
ก่อนที่ชายหนุ่มจะตายตก ก็คงเหลือไว้เพียงเสียงกรีดร้องโหยหวนที่ท่วมท้นไปด้วยความสำนึกเสียใจ…
“ตัวโง่งม!”
“มันคิดว่าพวกเราเป็นมังสวิรัตกันหมดหรือไร? กระทั่งพวกเรา 5 คนยังไม่กล้าหือกับต้วนหลิงเทียน แล้วมันไปเอาความมั่นหน้ามาแต่ที่ใด…”
“นับว่ารนหาที่ตายโดยแท้! มันไม่คิดบ้างหรือไรว่าหากพวกเราไม่ล่วงรู้พลังของชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้แต่แรก มีหรือจะยอมทนรับคำขอเกราะอมตะรดับราชา 2 ตัวของผู้อื่นเขาได้?”
“เหอะๆ…ด้วยพลังฝีมือของเจ้าหนุ่มชุดม่วงแซ่ต้วนนี่ นับประสาอะไรกับ 2 ตัว หากมันอยากได้เกราะอมตะระดับราชาทั้ง 3 ตัวนั่น พวกเราก็ได้แต่นั่งมองตาละห้อยเงียบๆ”
…
ทั้ง 5 คนไม่เว้นเชวียจิงอวี่ได้แต่หัวเราะออกมาพลางกล่าววาจาดูแคลนผู้ตาอย่างขบขัน ยิ่งนึกถึงทีท่ามั่นหน้าและอาการถือดีของอีกฝ่ายก่อนลงมือ กับเห็นวาระสุดท้ายที่หน้าเสียปานจะร่ำไห้หามารดานั่น พวกมันก็หยุดขำไม่ไหวจริงๆ…
‘โชคดี…โชคดีจริงๆ!’
สำหรับชายหนุ่มอีกคนที่แม้จะไม่เห็นพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนมาก่อน แต่เพราะทบทวนจากวาจาที่มันได้ยินคนอื่นๆพูด ทำให้ตอนต้วนหลิงเทียนถามว่ามันข้องใจอะไรหรือไม่ มันจึงเลือกที่จะนิ่งเงียบไป
บัดนี้พอมาเห็นพลังของต้วนหลิงเทียนแล้ว มันก็ได้แต่ลอบเหงื่อตก ทั้งยังรู้สึกดีใจนักที่เมื่อครู่มันเลือกจะนิ่งไว้ก่อน!
“ส่วนเจ้านั่น…ท่าทางจะดวงกุดแล้ว”
หลังสูดอากาศเข้าลึกๆด้วยความหนาวเหน็บ ชายหนุ่มที่ตัดสินใจถูกก็เหลือบไปมองชายวัยกลางคนที่พึ่งจะออกจากห้องโถงมาหลังมัน จึงพบว่าบัดนี้อีกฝ่ายหน้าซีดปานกระดาษ ร่างยังสั่นระริกไปราวลูกนกตกน้ำ สายตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนแลดูหวาดผวาราวเห็นอะไรที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต
เพราะในตอนที่ต้วนหลิงเทียนออกปากว่าต้องการเกราะอมตะระดับราชา 2 ชิ้น ก็เป็นชายวัยกลางคนผู้นี้ที่โพล่งออกมาอย่างไม่สบอารมณ์เป็นคนแรก อีกทั้งยังเป็น 1 ใน 2 ที่ไม่เห็นด้วยเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนจะเอาเกราะอมตะระดับราชา 2 ตัวไปครอง
ส่วนอีกคน ก็คือชายหนุ่มที่พึงตายกลายเป็นผีคากระบี่ต้วนหลิงเทียนไปหยกๆ…
หลังจากเข่นฆ่าชายหนุ่มไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เก็บดาบสั้นระดับราชาอมตะของอีกฝ่าย ทั้งแหวนพื้นที่ร่วงตกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน คะแนนสะสมของอีกฝ่ายก็พุ่งมารวมในป้ายหกสะสมคะแนนของต้วนหลิงเทียนเรียบร้อย
ต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆหันไปมองชายวัยกลางคนที่ออกหน้าโวยวายเป็นคนแรก
“ตอนนี้ถึงตาเจ้าแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองกล่าวกับชายววัยกลางคนด้วยยสีหน้าน้ำเสียงสงบ เกรงว่าหากมีคนที่ไม่รู้เรื่องบังเอิญผ่านมาเห็น คงคิดว่ากำลังสนทนากันภาษาสหาย
“เจ้า…เจ้า…”
พอเห็นต้วนหลิงเทียนหันมา สีหน้าชายวัยกลางคนก็เริ่มซีดลงทันตาเห็น วาจาที่กล่าวยังตะกุกตะกักแลดูร้อนรนจนลนลานไปหมด “เจ้าฆ่าข้าไม่ได้ หากเจ้าฆ่าข้าตระกูลของข้าไม่มีวันปล่อปละละเว้นเจ้าแน่! ตระกูลของข้าคือ…”
“เจ้าตาย ใครจะรู้ว่าข้าเป็นคนฆ่า…”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้มเย้ยเยาะขัดคำของชายวัยกลางคนออกมาก่อนที่มันจะทันได้พูดจบ กระบี่หนักไร้คมเล่มเขื่องในมือเริ่มปรากฏรัศมีพลังเรืองรองขึ้นมาอีกครา ตัวกระบี่เริ่มอัดแน่นไปด้วยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดผสานพลังธาตุดิน!
นอกจากนั้นรอบๆตัวกระบี่ยังปรากกฏแสงพลังสีทองทั้งสีม่วงม้วนพันกันอย่างวิจิตร ให้ความรู้สึกงดงามปานภาพฝัน
“เจ้านั่นมันสติเลอะเลือนไปแล้วหรือไร! จังหวะนี้อย่าว่าแต่พวกเราที่เข้ามาในวังจอมราชันอมตะเลย กระทั่งคนที่ล่วงรู้ถึงการคงอยู่วังจอมราชันอมตะ ไม่พ้นต้องถูกลบความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับวังจอมราชันอมตะทั้งหมดก่อนจะออกไปด้านนอกได้แน่…”
เชวียจิงอวี่กล่าวเย้ยออกมาด้วยน้ำเสียงขบขัน
“มิผิด! ในอดีตสมควรมีผู้คนมากมายที่เข้ามายังแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ได้ล่วงรู้ทั้งเข้าสู่วังจอมราชันอมตะ…แต่ทุกคนไม่ว่าผู้ใดที่รอดกลับออกมา ล้วนไม่มีการกล่าวถึงวังจอมราชันอมตะเลย ทั้งหมดเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่าความทรงจำช่วงหนึ่งได้หายไป ทั้งบอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเข่นฆ่าผู้ใดหรือทำอะไรไปบ้าง ถึงได้คะแนนสะสมทั้งสมบัติมามากมาย”
“ในวังจอมราชันอมตะแห่งนี้ ไม่ว่าจะฆ่าใครต่อหน้าผู้คนก็ไม่ต้องกังวลใดๆ เพราะสุดท้ายแล้วหลังกลับออกไปอย่าว่าแต่ผู้อื่น คนที่ลงมือยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าฆ่าผู้ใดไป…”
“มันจะเลอะเลือนจนหลงลืมก็ไม่แปลกหรอก ไม่เห็นหรือไรว่ามันกลัวตายจนขี้หดตดหายแล้ว…”
…
คนอื่นๆเริ่มมองชายวัยกลางคนด้วยสายตาเวทนาสงสาร ไม่ทราบอีกฝ่ายไปกินดีหมีหัวใจเสืออันใด หรือใช่ไปโดนฉีดเลือดไก่มากันแน่ ถึงได้หาญกล้าล่วงเกินชายหนุ่มชุดม่วงนั่น! รนหาที่ตายแท้ๆ!!
หลังได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียนกับพวกเชวียจิงอวี่ ชายวัยกลางคนที่แตกตื่นก็พลันตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ขึ้นมา หน้ามันเปลี่ยนสีไปอีกรอบ ลูกตายังเริ่มฉายชัดถึงความสิ้นหวัง
“ขอเจ้าเมตตาละเว้นข้าสักครั้งเถอะ และมิว่าจะสมบัติหรือคะแนนอันใดที่ข้ามี ข้าจะมอบมันให้เจ้าทั้งหมด!”
เมื่อเผชิญหน้ากับความตายชายวัยกลางคนก็ถึงกับบคุกเข่าลงกลางหาว โขกศีรษะวิงวอนร้องขอชีวิตต่อต้วนหลิงเทียน
กว่ามันจะมีวันนี้ได้ไม่ง่ายเลย หากตกตายไป ทุกสิ่งที่เพียรสร้างมาก็จบสิ้นกันแล้ว!
จังหวะนี้ศักดิ์ศรีอันใดมันล้วนโยนทิ้งไว้ด้านหลังหมดสิ้น
“ฆ่าเจ้า ของทั้งหมดที่เจ้ามีก็เป็นของข้าอยู่ดี…”
มุมปากต้วนหลิงเทียนยกยิ้มเย้ยหยัน
ได้ยินดังว่า หน้าชายวัยกลางคนเปลี่ยนเป็นซีดลงถนัดตา เร่งกล่าวออกมาอย่างร้อนใจ “หากเจ้าเมตตาละเว้นข้าสักครั้ง รอให้พวกเรากลับออกไปจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำแห่งนี้ ข้าจะมอบสมับติเพิ่มให้เจ้าอีกเป็นเท่าตัว…”
อย่างไรก็ตามคำตอบของต้วนหลิงเทียน ก็คือการโจนทะยานพร้อมคอนกระบี่หนักไร้คมอันเขื่องเข่นฆ่าสังหารเข้ามา ปานเทพแห่งความตายแกว่งเคียวยมทูตเกี่ยววิญญาณ หมายพรากหนึ่งชีวิตของมันไป!
ได้ยินวาจาต่อรองขอชีวิตประโยคสุดท้ายของชายวัยกลางคน และเห็นการลงมือของต้วนหลิงเทียน เชวียจิงอวี่กับคนอื่นๆ ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าพลางสบถออกมา “เหอะๆ มารดามันเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ…ถึงยังพล่ามโง่ๆเช่นนั้นออกมาอยู่อีก”
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่หลังกลับออกไปจากแดนลับสวรรค์ใต้แห่งนี้จะไม่มีใครหลงเหลือความทรงจำในวังจอมราชันอมตะเลย…
ต่อให้จะจดจำได้ แต่มันคิดว่าต้วนหลิงเทียนจะหลงเชื่อลมปากของมันงั้นเหรอ?
ทันทีที่รอดกลับออกไปจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ชายวัยกลางคนก็เสมือนมีคนให้พึ่งพิงทันที ถึงตอนนั้นให้ต้ววนหลิงเทียนคิดจะรีดประโยชน์อะไรจากชายวัยกลางคน เห็นทีคงเป็นไปไม่ได้!
เว้นเสียแต่จะเลือกฉีกหน้าผู้ที่อยู่เบื้องหลังชายวัยกลางคน
ปง! ปง! ปง! ปง!
…
ต้วนหลิงเทียนที่คอนกระบี่พุ่งเข่นฆ่าสังหารเข้ามานั้น ความเร็วนับว่าไม่ใช่เล่นๆ มวลอากาศตามรายทางแตกระเบิดออกส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว!
แม้หลังได้เห็นต้วนหลิงเทียนลงมือเข่นฆ่าสังหารชายหนุ่มไป จะทำให้ชายวัยกลางคนรู้ดีว่ามันไม่ใช่คู่มือต้วนหลิงเทียน แต่มันก็ไม่คิดจะอยู่เฉยๆยอมรับความตาย จึงเร่งลุกขึ้นมาต่อต้านรับมือเพื่อเอาตัวรอดสุดชีวิต
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ามันจะต่อต้านด้วยไม่ยินยอมสยบเพียงใด ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์สุดท้าย มีอันต้องจบชีวิตคามือต้วนหลิงเทียนไปในที่สุด
เปรี๊ยยงงงง!!
เสีงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว กระบี่หนักที่ฟันฟาดออกด้วยพลังสภาวะเกรี้ยวกราด สับศีรษะชายวัยกลางคนจนแหลกทั้งยังผ่าร่างคนเป็นสองเสี่ยง ก่อนคลื่นพลังกระบี่จะป่นทำลายร่างมันจนแหลกเป็นซากเนื้อเลอะเลือนกลางหาว คงเหลือก็แต่เพียงแหวนพื้นที่กับอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่มันใช้สองชิ้นร่วงตกลงมา…
วูบ
หลังเก็บสินสงครามรับแต้มแล้วเสร็จ ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างขึ้นไปยังจุดที่เกราะอมตะระดับราชาอันได้รับการขัดเกลาหล่อเลี้ยงด้วยพลังของจอมราชันอมตะทั้ง 3 ตัวลอยอยู่อย่างไม่รีบไม่ร้อน
เห็นความเคลื่อนไหวดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน พวกเชวียจิงอวี่และคนอื่นๆก็รู้งาน เร่งเปิดทางให้ต้วนหลิงเทียนไปเลือกชมสิ่งของสะดวกๆ
“ยินดีด้วยต้วนหลิงเทียน”
ขณะที่ต้วนหลิงเทียนเหินร่างผ่านมาถึงเบื้องหน้า เชวียจิงอวี่ก็เร่งกล่าวคำแสดงความยินดีออกไปทันที อย่างไรก็ตามแม้ปากจะพูดไปแบบนั้น แต่ในแววตาไม่ขาดความอิจฉาริษยาแม้แต่น้อย
“อืม”
ต้วนหลิงเทียนหันมาเหลือบมองพลางพยักหน้าให้เชวียจิงอวี่เบาๆ
“ยินดีด้วย!”
“ยินดีด้วยน้องชาย!”
…
ด้วยมีเชวียจิงอวี่เป็นผู้นำ ที่เหลืออีก 5 คนก็เร่งกล่าวคำแสดงความยินดีกับต้วนหลิงเทียนตามทันที
พวกมันรู้ดีแก่ใจว่าตอนนี้พวกมันทำได้แค่พยายามทำดีเพื่อสานไมตรีกับอีกฝ่ายเท่านั้น ไม่อาจล่วงเกินผู้อื่นเขาได้เด็ดขาด หาไม่แล้วเกรงว่าหากเกิดเรื่องที่ต้องเข่นฆ่าอะไรกันขึ้นมา คนที่ต้องตายเป็นคนต่อไปก็ต้องเป็นพวกมัน
เชวียจิงอวี่เองก็ไม่คิดไม่ฝันเลย ว่าการที่มันกล่าวคำแสดงความยินดีกับต้วนหลิงเทียนออกไปจะเป็นการเปิดโอกาสให้คนอื่นได้สานไมตรีกับต้วนหลิงเทียนแบบนี้!
ทว่าเผชิญกับการแสดงความยินดีของคนอื่นๆ ต้วนหลิงเทียนหาได้แยแสกระทั่งไม่แม้แต่จะชายตาแลมอง เพียงมุ่งหน้าตรงไปยังเกราะอมตะระดับราชาทั้ง 3 ที่ลอยค้างกลางหาวเงียบๆ
เกราะสีดำสนิททั้ง 3 ชิ้นนั้นลอยค้างกลางหาวอย่างน่าเกรงขาม ประหนึ่งเกราะของเทพมาร ตัวเกราะแต่ละชิ้นเปล่งรัศมีพลังสีดำออกมาเรืองๆ รอบๆยังปรากฏเส้นสายอัสนีสีม่วงแล่นวาบแปลบปลาบไม่หยุด
และอัสนีสีม่วงที่แปลบปลาบรอบๆเกราะนี้ ทุกคราที่มันลั่นวาบออกมายังทำให้ความว่างเปล่าสะเทือน เกิดเป็นคลื่นพลังน่างเกรงขามกำจายออกไปไม่หยุดหย่อน
เมื่อมาหยุดลงเบื้องหน้าเกราะอมตะระดับราชาทั้ง 3 ชิ้น ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังอึมครึมน่าเกรงขามที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวเกราะชัดเจน
‘สมแล้วที่เป็นเกราะอมตะระดับราชาที่จอมราชันอมตะใช้พลังหล่อเลี้ยงขัดเกลา ไม่ใช่ชั่วเลยจริงๆ’
สองตาต้วนหลิงเทียนบัดนี้ลุกวาวจ้าไปด้วยความถูกใจ จากนั้นก็เอื้อมมือไปคว้าเกราะอมตะระดับราชาตัวที่อยู่ตรงกลางกับทางขวามาอย่างไม่เกรงใจ
วู้ม! แกร่ก! ครึก! ครึก!
และพอสะบัดมือคราหนึ่ง เกราะอ่อนเกล็ดแดงอันเป็นเกราะอมตะระดับราชาที่ฮ่องเต้ฝูชิวให้มาก็ถูกถอดออกจากร่างต้วนหลิงเทียน จากนั้นเขาก็สวมเกราะอมตะระดับราชา 1 ใน 2 ตัวที่เลือกแล้วแทนที่ทันที แน่นอนว่าเป็นการสวมไว้ด้านในแล้วสวมชุดคลุมสีม่วงคลุมทับเอาไว้อีกที
‘พลังป้องกันของมัน…สูงกว่าเกราะตัวเก่าไม่ใช่เล่นๆเลย’
เพียงห้วงคิด ทั่วร่างต้วนหลิงเทียนก็เริ่มปรากฏร่างมายาของเกราะสีดำสนิทขึ้นมาห่อหุ้มปกคลุม เป็นม่านพลังที่เกิดจากการสำแดงอานุภาพของเกราะอมตะสีดำสนิทที่เขาเลือกสวมไว้นั้นเอง
ดุจเดียวกับอุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทศาสตราที่ได้รับการขัดเกลาหล่อเลี้ยงด้วยพลังของจอมราชันอมตะมาระยะเวลาหนึ่ง ที่จะมีพลังอานุภาพเพิ่มพูนขึ้น อุปกรณ์อมตะประเภทชุดเกราะเองก็มีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างชัดเจน
หลังจากเก็บเกราะอ่อนเกล็ดแดง และถอนรั้งพลังที่ถ่ายทอดลงเกราะอมตะตัวใหม่แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆเหินร่างกลับลงพื้นอย่างไม่รีบไม่ร้อน
ในขั้นตอนการเลือกเฟ้นเกราะอมตะระดับราชา 2 ตัว รวมทั้งทดสอบพลังอานุภาพชุดเกราะของต้วนหลิงเทียน คนอื่นๆก็อยู่ในความสงบ ไม่กล้าเคลื่อนไหวหรือส่งเสียงใดออกมา…
กล่าวให้ชัดคือไม่มีใครกล้าแม้แต่จะผายลม และไม่กล้าขยับไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว
ล้อเล่นหรือไร!
ชายหนุ่มชุดม่วงนั่นจะอย่างไรก็เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการแล้ว แถมหนึ่งในนั้นยังสมควรโดดเด่นในแง่การป้องกัน ยิ่งมามีเกราะอมตะระดับราชาที่จอมราชันอมตะใช้พลังขัดเกลาหล่อเลี้ยง อีกฝ่ายก็ยิ่งทวีความแข็งแกร่งมากขึ้น!
กล้าทำอะไรจนทำให้อีกฝ่ายเกิดสนใจ หรือคิดลงมือกับผู้อื่นตอนนี้ ไยมิใช่เบื่อชีวิตคิดไปติดตามตัวโง่งมทั้งสองนั่นไปนรก?
‘โชคดีที่มันยังไม่กระทำเกินไป อย่างน้อยๆก็เหลือให้พวกเราตัวหนึ่ง…’
จากนั้นสายตาของเชวียจิงอวี่และคนอื่นๆก็ละความสนใจออกมาจากร่างต้วนหลิงเทียน และหันไปจับจ้องมองเกราะอมตะระดับราชาตัวสุดท้ายที่ลอยเด่นเป็นสง่ากกลางหาวแทน
จากนั้นบรรยากาศเหนือฟ้าก็เริ่มคลุ้งกลิ่นดินปืนอีกครา แต่ละคนกระชับอาวุธในมือแน่น ก่อนที่จะปะทุพลังลงมืออย่างพร้อมเพรียง! หมายสยบชิงชัยผู้อื่นเพื่อครอบครองชุดเกราะ!!
ในขณะที่พวกเชวียจิงอวี่ปะทุพลังปะทะกันกลางหาว ต้วนหลิงเทียนที่พึ่งลงมายืนบนพื้นได้ไม่นาน คิ้วเขาก็ขมวดเล็กน้อย เพราะสัมผัสได้ว่ามีสายลมหอบหนึ่งพัดผ่านร่างไป
‘หือ?’
ต่อมาคล้ายนึกอะไรได้ และพอหันไปดูจุดที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเคยยืนอยู่ ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาเสียแล้ว
“หืม?”
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนพบว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นหายไป พวกเชวียจิงอวี่ทั้ง 5 ที่กำลังประมือกันอยู่ ก็คล้ายจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง สีหน้าของพวกมันเปลี่ยนไปทันที!
ฟุ่บ!
และวินาทีต่อมา พวกมันก็หันขวับไปจับจ้องจุดที่ชุดเกราะอมตะระดับราชาตัวสุดท้ายลอยล่องอยู่ จึงพบว่ามีเงาร่างสีเทาหนึ่งไปปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ!
“หลิงเจวี๋ยอวิ๋น!”
มองไปปราดเดียวเชวียจิงอวี่ก็จดจำได้ทันทีว่าเป็นใคร อย่างไรก็ตามแม้จะจดจำอีกฝ่ายได้แต่ลูกตาของมันก็ฉายแววฆ่าฟันออกมาอย่างไม่คิดระงับ ไร้ซึ่งความหวั่นเกรงใดๆเหมือนตอนอยู่ต่อหน้าต้วนหลิงเทียน!
เพราะในสายตาของมัน หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่พลังพอๆกับมันเท่านั้น
“เกราะอมตะระดับราชาตัวนี้…ข้าจะเอา”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่มาหยุดค้างกลางหาวเบื้องหน้าชุดเกราะอมตะระดับราชาตัวสุดท้าย ไม่ได้รีบร้อนคว้ามันมาครองแต่อย่างใด เพียงกวาดตามองกล่าวกับพวกเชวียจิงอวี่ด้วยน้ำเสียงท่าทีไร้แยแส
“ไอ้หนูนี่…มันคิดว่าตัวเองเป็นต้วนหลิงเทียนรึไรกัน?!”
“อวดดีนัก! เกราะอมตะระดับราชาเหลือเพียงตัวเดียว ยังใช่อะไรที่มันบอกจะเอาก็เอาไปได้ง่ายๆรึ!?”
“หึ! หรือมันไม่รู้ราคาความโอหังที่มันต้องจ่าย?!”
…
ด้วยพลังความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนทำให้เชวียจิงอวี่กับคนอื่นๆหมดหนทางจะต่อกร ทุกคนจึงอึดอัดคับข้องใจจะแย่ พอมาเจอหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอวดดีแบบนี้ พวกมันก็เสมือนพบพานเป้าให้ระเบิดโทสะ!!