บทที่ 694.3 โลกมนุษย์มีโอสถทองเพิ่มมาอีก

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดหนิงเหยาถึงไม่ได้กลายเป็นผู้นำของสายสิงกวานโดยตรง อันที่จริงผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของสายอิ่นกวานที่มีกู้เจี้ยนหลงเป็นหนึ่งในนั้นคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ คาดว่าคงเป็นการวางแผนที่ลึกล้ำยาวไกลครั้งหนึ่งของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสกับใต้เท้าอิ่นกวานกระมัง คงได้แต่อธิบายเช่นนี้แล้ว

แต่สายอิ่นกวานเองก็ไม่ค่อยรู้สึกดีเท่าใดนัก เพราะหลังจากสูญเสีย ‘กำแพงเมืองปราณกระบี่’ แห่งนั้นไป พวกเด็กๆ ที่ถือกำเนิดในนครแห่งนี้วันหน้า คนที่ได้กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่จะยิ่งมีน้อยลงเรื่อยๆ แต่จะหันไปฝึกเวทคาถาอย่างอื่นแทน รวมไปถึงผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่จะยิ่งมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และวันแรกที่สายสิงกวานใหม่ล่าสุดถือกำเนิดขึ้นมาก็มีกฎเหล็กที่ไม่อาจละเมิดได้เกิดขึ้น ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ก็ห้ามเป็นสมาชิกของสิงกวาน หันกลับมาดูสายอิ่นกวานกลับไม่มีข้อห้ามเช่นนี้ ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวในเวลานี้นั้นอยู่ที่ว่าสถานะของเหนี่ยนซินมีเมฆหมอกล้อมวนมากเกินไป จุดยืนพร่าเลือนมากเกินไป หากนางเลือกที่จะร่วมมือกับสิงกวาน สายอิ่นกวานก็จะต้องค่อนข้างปวดหัวแล้ว สักวันหนึ่งจำนวนผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธในนครจะต้องมีมากกว่าผู้ฝึกกระบี่ เป็นจุดที่สถานการณ์ใหญ่มุ่งไป หากสายสิงกวานของเหนี่ยนซินร่วมแรงร่วมใจกับฉีโซ่วตลอดเวลา ไม่แน่ว่าสถานการณ์ทั้งในและนอกนครในอนาคตอาจจะค่อยๆ กลายเป็นว่าสายอิ่นกวานช่วงชิงผู้ฝึกลมปราณ สายสิงกวานครอบครองผู้ฝึกยุทธทั้งหมดไป…

เพราะถึงอย่างไรกู้เจี้ยนหลงก็อยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนมานานหลายปี ใช้เวลาอยู่กับเจ้าพวกตะพาบน้อยอย่างหลินจวินปี้ เฉากุ่นที่สนิทสนมกันมากมานาน สำหรับภัยแฝงเหล่านี้พวกเขาจึงสามารถคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าได้นานแล้ว

หนิงเหยายืนอยู่บนขั้นบันได ยิ้มเอ่ยว่า “พวกเจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะทิ้งระยะห่างจากผู้ฝึกกระบี่ทุกคนสองขอบเขต หลังจากนั้น…”

ความนัยในคำพูดนี้คือ ไม่รอให้ฉีโซ่ว เกาเหย่โหวเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ นางหนิงเหยาจะต้องกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินคนแรกของฟ้าดินแห่งนี้!

กวอจู๋จิ่วกระโดดผลุงขึ้นมา ลิงโลดอย่างถึงที่สุด รับคำเอ่ยว่า “อาจารย์พ่อก็ควรจะมาหาอาจารย์แม่ได้แล้ว!”

หนิงเหยาเอ่ยกับกวอจู๋จิ่วว่า “ข้าออกเดินทางครั้งนี้พอจะมีประสบการณ์ความเข้าใจบางอย่าง ข้าพูด ลวี่ตวนเจ้าเขียน ถึงเวลานั้นจัดพิมพ์เป็นเล่มในนามของสายอิ่นกวานแล้วแจกจ่ายออกไป”

กวอจู๋จิ่วใช้ไม้เท้าปักยันพื้น “รับคำสั่ง!”

ส่วนกู้เจี้ยนหลงต้องทำงานยากลำบาก หิ้วศีรษะตัวประหลาดที่ถูกหนิงเหยาโยนไว้บนพื้น

หนิงเหยาพากวอจู๋จิ่วขี่กระบี่ไปยังจวนหนิง

ก่อนหน้านี้มีกำแพงเมืองปราณกระบี่ ภายหลังมีเขา ดังนั้นนับแต่นี้ไปหนิงเหยาจึงออกกระบี่ได้อย่างไร้พันธนาการ

หนิงเหยาชำเลืองตามองม่านฟ้าโดยไม่ได้เอ่ยคำใด

ใครไปหาใคร ยังไม่แน่

……

บนเกาะหลูฮวา

เชี่ยอวิ้นปีศาจใหญ่บนบัลลังก์กล่าวอย่างจนใจว่า “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าทิ้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ดีๆ ไม่ไปฝึกตน แล้วมาที่นี่ จากนั้นก็ต้องการจวนในพื้นที่ผุพังแห่งนี้น่ะหรือ? ดูยากจนข้นแค้นมากไปหน่อยหรือไม่? ไปถึงใบถงทวีปแล้วค่อยตามหาซากปรักของสำนักแห่งหนึ่งจะไม่ยิ่งดีกว่าหรอกหรือ?”

ศิษย์น้องเล็กของเชี่ยอวิ้นก็คืออันดับหนึ่งในร้อยเซียนกระบี่ของภูเขาทัวเยว่ เฟยหรานที่เรียกตัวเองว่ามือกระบี่อย่างภาคภูมิใจ

บนสนามรบในอดีต โซ่วเฉินใต้อิ่นกวานเหนือ และยังมีเฟยหรานคนนี้ ต่างก็ถือว่าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน

เวลานี้เฟยหรานกับเชี่ยอวิ้นอยู่ในถ้ำแห่งวาสนาบนเกาะหลูฮวา เพียงแต่ว่าน่าเสียดายที่ปีศาจใหญ่ซึ่งอยู่ที่นี่มานานหลายปี ก่อนหน้านี้ได้ถูกจั่วโย่วที่เดินทางผ่านมาออกกระบี่สังหารไปแล้ว

เฟยหรานเอ่ย “ก่อนหน้านี้โดนกระบี่ของเว่ยจิ้นบนสนามรบไปทีหนึ่ง บาดเจ็บไม่เบา สามารถสงบใจรักษาบาดแผลอยู่ที่นี่ได้พอดี”

มาดูถ้ำแห่งวาสนาเรียบร้อยแล้วก็จากไปพร้อมกัน มายังยอดเขาของภูเขาสูงบนเกาะหลูฮวา เพราะว่าสถานที่แห่งนี้ถูกเฟยหรานเก็บเข้ามาไว้ในกระเป๋า ดังนั้นทุกคนของเกาะหลูฮวาจึงพ้นหายนะมาได้ แน่นอนว่าคนที่รนหาที่ตายเองก็ถูกเชี่ยอวิ้นจัดการจนสะอาดเอี่ยมไปเช่นกัน เฟยหรานไม่ได้ขัดขวาง แต่เมื่อเทียบกับสำนักอวี่หลงแล้ว สภาพการณ์ของเกาะหลูฮวาเล็กๆ แห่งนี้กลับดีกว่ามากนัก ทางฝั่งของสำนักอวี่หลงนั้น คนที่ถูกเชี่ยอวิ้นและเซียวสวิ้นสังหารล้วนถูกรวบรวมไปเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของป๋ายอิ๋งปีศาจใหญ่โครงกระดูกหมดแล้ว ส่วนพวกผู้ฝึกตนหญิงที่ถูกเชี่ยอวิ้นถลกหนังหน้าออกมาก็ถูกปีศาจใหญ่หย่างจื่อหล่อหลอมเป็นสาวใช้ข้างบัลลังก์ทั้งเป็น

เฟยหรานมองไปทางทิศตะวันออก ยิ้มถามว่า “ศิษย์พี่ หลังจากชิงฮวาและจิ่วเย่แล้ว คิดหาชื่อใหม่ที่ดีๆ ได้แล้วหรือยัง?”

เชี่ยอวิ้นพยักหน้ารับ “ลู่เฉินเป็นชื่อที่ดี น่าเสียดายที่ตอนนี้ยังไม่เหมาะให้เอามาใช้ รอให้ใกล้ไปถึงทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”

ตั้งชื่อว่าชิงฮวา (ลายครามบนเครื่องกระเบื้อง) เพราะต้องการเห็นกำแพงเมืองปราณกระบี่เหมือนกระเบื้องลายครามชิ้นหนึ่งที่แตกกระจาย

ตีกำแพงเมืองปราณกระบี่แตกค่อยเปลี่ยนชื่อเป็นจิ่วเย่ แน่นอนว่าก็เพราะใต้หล้าไพศาลแห่งนี้มีสาวงามและสุราชั้นเลิศมากมาย

ทักษินาตยทวีปที่เฉินฉุนอันเป็นผู้เฝ้าพิทักษ์และหรดีฝูเหยาทวีป ก่อนหน้านี้ก็วุ่นวายโกลาหลกันอย่างมาก ส่วนทิศทางที่ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายมองไกลๆ ไปก็คืออาคเนย์ใบถงทวีปนั่นเอง

สำนักกุยหยกและสำนักใบถงขานรับกันอยู่เหนือและใต้ สำนักฝูจีและภูเขาไท่ผิงก็ขานรับกันอยู่ตะวันออกและตะวันตก ทุกวันนี้ต่างก็มีการเปิดหน้าดินทำการก่อสร้าง รีบร้อนจะสร้างค่ายกลที่ใหญ่มากแห่งหนึ่งขึ้นมา

เฟยหรานถาม “ศาลบุ๋นของลัทธิขงจื๊อมอบอำนาจให้กับใต้หล้าเช่นนี้ กลับกลายเป็นว่าทำให้เกิดสภาพการณ์กระอักกระอ่วนอย่างในปัจจุบัน นี่ถือเป็นการยกหินทุ่มเท้าตัวเองหรือไม่?”

เชี่ยอวิ้นเอ่ย “จะไปสนใจเรื่องพวกนี้ทำไม ถึงอย่างไรหลังจากใต้หล้าไพศาลเปลี่ยนเจ้านายแล้ว นอกจากผู้แข็งแกร่งบนยอดเขาที่มีจำนวนน้อยนิด ไม่ว่าจะบนภูเขาหรือล่างภูเขาก็ล้วนไม่ผ่อนคลายเช่นนี้อีกแล้ว”

เฟยหรานขยับเส้นสายตามองไปทางทักษินาตยทวีป แล้วเอ่ยว่า “เฉินฉุนอันผู้น่าสงสาร”

ทักษินาตยทวีปมีหรือไม่มีเฉินฉุนอันเฝ้าพิทักษ์อยู่ภายใน คือความแตกต่างราวฟ้ากับเหว

เชี่ยอวิ้นพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “พวกเรายังไม่ไปตีทักษินาตยทวีปก่อน เพียงแต่แยกย้ายกันไปโจมตีใบถงทวีปและฝูเหยาทวีป อีกไม่นานเฉินฉุนอันจะตกอยู่ในสภาวะที่ต้องลำบากใจทั้งสองทาง เพื่อความปลอดภัยของหนึ่งทวีปก็ต้องคอยเฝ้าพิทักษ์อยู่ในทวีป หรือจะเป็นบัณฑิตที่ยึดมั่นในหลักแห่งการปฏิบัติตน ยอมพาตัวมาตายอย่างไม่เสียดาย จากนั้นก็ถูกส่งกลับไปฝังที่ทักษินาตยทวีป แค่รอดูงิ้วสนุกๆ ก็พอ เฉินฉุนอันจะไม่ถือสาข้อถกเถียงของพวกบัณฑิตในแผ่นดินกลางก็ได้ แต่กับพวกผู้ฝึกตนของใบถงและฝูเหยาสองทวีปที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกัน คนที่มีคุณธรรมหน่อยก็อาจจะแอบเศร้าสลดใจ แต่หากเป็นพวกที่เป็นคนแต่ไม่ทำตัวเหมือนคน ก็จะต้องด่าทอสกุลเฉินผู้รอบรู้อย่างรุนแรงแล้ว”

เฟยหรานกล่าว “ข้อเสียใหญ่เพียงอย่างเดียว พูดถึงแค่ฟ้าอำนวยและดินอวยพร ไม่พูดถึงคน คือใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่คิดอยากจะขึ้นฝั่ง ทุกๆ ที่ที่ไปเยือนก็เหมือนต้องเจอกับกำแพงเมืองปราณกระบี่”

พวกผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนทั้งหลายที่ยึดครองภูเขา โดยเฉพาะอริยะของสามลัทธิ บวกกับพวกสำนักการทหาร สำนักศึกษา วัดวาอาราม ซากปรักสนามรบ สถานที่ที่มีพวกเขาอยู่ล้วนเป็นฟ้าดินขนาดเล็กแห่งแล้วแห่งเล่า

และนอกจากนี้แล้วก็ยังมีฟ้าดินกว้างใหญ่ที่คอยให้การปกปักษ์รักษาอย่างเงียบเชียบด้วย

ทักษินาตยทวีป ฝูเหยาทวีปและใบถงทวีป อริยะที่มีรูปปั้นตั้งบูชาซึ่งเฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าทุกคนล้วนลงมาเยือนโลกมนุษย์แล้ว

เมื่อเทียบกับอริยะสามท่านของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็เด็ดขาดตรงไปตรงมามากกว่า ทุกคนต่างพากันเลือกให้กายดับมรรคาสลายเหมือนกันหมดอย่างไม่มีข้อยกเว้น เพื่อปกป้องขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีป

ไม่เพียงเท่านี้ อริยะบนม่านฟ้าหลายท่านของเกราะทองทวีปก็พากันเร่งรุดเดินทางมาเยือนทักษินาตยทวีปและฝูเหยาทวีป ทิ้งตัวลงมาในโลกมนุษย์ มีเพียงอริยะปราชญ์สองท่านของแจกันสมบัติทวีปที่มีรูปปั้นอยู่ในศาลบุ๋นที่ยังไม่มีความเคลื่อนไหว

เชี่ยอวิ้นหลุดหัวเราะพรืด “ศิษย์น้องเล็ก อย่าหมิ่นเกียรติกำแพงเมืองปราณกระบี่สิ”

เฟยหรานยิ้ม “ก็จริงนะ”

เชี่ยอวิ้นกล่าว “ป๋ายอิ๋ง หย่างจื่อ เฟยเฟย หวงหลวน สี่คนนี้ต่างก็เหมือนถูกมัดมือมัดเท้าตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่พอมาถึงใต้หล้าไพศาลกลับเป็นพวกคนที่ช่วงชิงผลงานการสู้รบมาได้ง่ายที่สุด น่าเสียดายที่หวงหลวนโชคร้ายไปหน่อย ไม่อย่างนั้นเรื่องที่เขาเชี่ยวชาญการทำลายค่ายกลก็ง่ายที่สะสมผลงานการต่อสู้อย่างมาก”

หย่างจื่อและเฟยเฟยต่างก็เป็นปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ที่ใกล้ชิดกับน้ำ มหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาล นอกจากคอยช่วยเปิดทางให้แล้วก็เหมาะที่จะโจมตีโชคชะตาขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีป ส่วนหวงหลวนก็สามารถช่วย ‘เปิดประตู’ ให้ได้ หลังจากขึ้นมาบนฝั่ง ทุกครั้งที่สงครามใหญ่ปิดฉากลงก็ควรถึงคราวที่ป๋ายอิ๋งต้องร่ายวิชาอภินิหารบ้างแล้ว เพียงแต่ว่าวานรขาวตัวนั้นขาดอีกแค่ก้าวเดียว ไม่สามารถสังหารวิญญูชนจงขุยของสำนักต้าฝูได้อย่างสิ้นซาก นี่ค่อนข้างจะเป็นปัญหาแล้ว

นอกจากนี้หลุมน้ำลู่อยู่ดีๆ กลับหายวับไป นี่ก็เป็นเรื่องไม่คาดฝันที่ไม่เล็กอีกเหมือนกัน

แต่ปัญหาไม่ใหญ่มาก เพราะใบถงทวีปแห่งนั้นไม่มีทางพิทักษ์ไว้ได้นานแน่นอน

เฟยหรานเอ่ยเบาๆ “กำแพงเมืองปราณกระบี่มีเฉินผิงอัน ใบถงทวีปมีจั่วโย่ว แจกันสมบัติทวีปมีชุยฉาน”

เชี่ยอวิ้นยิ้มกล่าว “ถึงอย่างไรก็ต้องตายหมดอยู่ดี”

……

ตรงหน้าผาขาดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หลีเจินมาหยุดอยู่ข้างชุดคลุมยาวสีเทา ผู้ฝึกกระบี่กลุ่มหนึ่งที่อยู่ใกล้กับสถานที่แห่งนี้มากที่สุดก็คือตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่อยู่ร่วมกระโจมเจี่ยเซินอย่างหลิวป๋าย อวี่ซื่อ จวินทาน มีเพียงจู๋เชี่ยที่ไม่ได้ฝึกกระบี่อยู่บนหัวกำแพง แต่ติดตามอาจารย์ไปเยือนใต้หล้าไพศาล ว่ากันว่าชายฉกรรจ์เคราดกผู้นั้นต้องการจะไปออกกระบี่แก่เฉินฉุนอันแห่งทักษินาตยทวีป

หลีเจินยิ้มถาม “ผู้อาวุโสหลงจวิน เหตุใดท่านถึงไม่ข้ามหัวกำแพงแห่งนี้ไป? คู่ต่อสู้ในใต้หล้าไพศาลที่คู่ควรให้ผู้อาวุโสหลงจวินออกกระบี่คงมีไม่น้อยกระมัง ยกตัวอย่างเช่นเฉินฉุนอัน หรือไม่ก็สวินยวนแห่งใบถงทวีป”

หลงจวินเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ต้องตาย”

หลงจวินกล่าว “ดังนั้นตัวอ่อนเซียนกระบี่อย่างพวกเจ้าต้องรีบฝ่าทะลุขอบเขต พยายามช่วงชิงโชควาสนาบนวิถีกระบี่ส่วนหนึ่งมาให้ได้ หัวกำแพงเมืองฝั่งตรงข้ามได้สูญเสียที่พึ่งไปแล้วส่วนหนึ่ง รอให้ข้ารู้สึกหงุดหงิดเกินจะอดทนเมื่อไหร่ ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนที่ยังไม่ฝ่าทะลุขอบเขต ไม่อาจคว้าจับปณิธานกระบี่ส่วนหนึ่งได้ล้วนต้องกินกระบี่หนึ่งจากข้า เจ้าช่วยเอาความไปบอกต่อด้วย”

หลีเจินขนลุกชัน กินกระบี่หนึ่งของหลงจวิน คงไม่ถึงคราวของเขาหลีเจิน แต่เรื่องที่หลีเจินรู้สึกหวาดกลัวอย่างแท้จริงก็คือ หรือว่าเฉินชิงตูที่ตายไปแล้วยังเหลือทางหนีทีไล่ไว้รับมือพวกเขาอีก?

หลีเจินทอดสายตามองไปยังฝั่งตรงข้ามแล้วขมวดคิ้วแน่น อาศัยคนผู้นั้นน่ะหรือ?

หากเป็นเช่นนี้จริง ก่อนหน้านี้หลงจวินออกกระบี่หนึ่งใส่เขา เหตุใดเขาถึงไม่ตอบโต้?

หลีเจินใช้ความคิดอย่างว่องไว ก่อนจะถามอย่างใคร่รู้ว่า “เหตุใดผู้อาวุโสถึงได้บอกเรื่องนี้กับข้า?”

หลงจวินกล่าว “เจ้าไม่คิดว่าตัวเองคือกวานจ้าว แต่ข้ากลับเห็นเจ้าเป็นกวานจ้าว”

หลีเจินยิ้มเอ่ย “คำพูดประเภทนี้ก็มีเพียงผู้อาวุโสหลงจวินเป็นคนพูดเท่านั้น ข้าถึงไม่กล้าโกรธ”

ก่อนหน้านี้ภายใต้คำแนะนำของหลีเจิน กระโจมเจี่ยจื่อจึงได้ออกคำสั่งไปแล้วว่าห้ามเผ่าปีศาจทุกคนเข้าใกล้กำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่ง ห้ามให้โอกาสให้คนผู้นั้นได้ขัดเกลาจิตวิญญาณและเรือนกายเด็ดขาด ไม่เพียงเท่านี้ อย่างมากสุดคนผู้นั้นก็ได้แต่มองดูกระแสเผ่าปีศาจแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างไหลกรูผ่านใต้ฝ่าเท้าของตัวเองไป มองเห็นมากเข้าจิตใจย่อมย่ำแย่ แต่หากไม่มองดูก็เหมือนกับว่าตลอดทั้งฟ้าดินมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น เขาชอบมีหน้ามีตานักไม่ใช่หรือ นับแต่โบราณมาอริยะปราชญ์วีรบุรุษผู้กล้าล้วนต้องเงียบเหงา ถ้าอย่างนั้นก็ให้เจ้าเฉินผิงอันเป็นเสียให้พอใจ

หลีเจินเดินไปริมหน้าผา ตะเบ็งเสียงตะโกน “ใต้เท้าอิ่นกวาน มาคุยกันสักหน่อยไหม?!”

หลงจวินเอ่ย “เลิกตะโกนได้แล้ว เมื่อสามวันก่อนเขาเพิ่งจะรวมโอสถ โอสถแตกแล้วก็รวมขึ้นใหม่อีกครั้ง เวลานี้เตรียมจะเป็นก่อกำเนิดแล้ว ไม่มีเวลามาสนใจเจ้าหรอก รอให้เขาเลื่อนเป็นก่อกำเนิดเมื่อไหร่ ข้าก็แนะนำเจ้าว่าอย่ามาเดินเล่นแถวนี้อย่างส่งเดชอีกเลย”

หลีเจินอึ้งไปนาน เมื่อหนึ่งเดือนก่อน นอกจากที่หลีเจินจะฝึกกระบี่แล้วก็มักจะมาผ่อนคลายอารมณ์ที่นี่ ไอ้หมอนั่นเพิ่งจะสร้างความมั่นคงให้กับจิตวิญญาณได้ ในที่สุดก็เปลี่ยนจากสภาพคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงมาเป็นปกติได้หลายส่วน วันนั้นเขาก็เลื่อนเป็นขอบเขตชมมหาสมุทรแล้ว เวลานี้กลับตรงเข้าหาก่อกำเนิดแล้วหรือ? คิดว่ากำลังกินข้าวอยู่หรือไร กินชามหนึ่งแล้วก็เพิ่มอีกชามได้ทันที แล้วไอ้ที่บอกว่ารวมโอสถ โอสถแตกแล้วก็รวมโอสถใหม่นั่นมันหมายความว่าอย่างไร?!

ตรงจุดสูงของหน้าผาขาดฝั่งตรงข้าม ชุดคลุมสีแดงสดที่ทิ่มแทงนัยน์ตาอย่างถึงที่สุดพลันมาปรากฎตัวในการมองเห็นของหลีเจินอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย อีกฝ่ายใช้ดาบยาวค้ำยันพื้นเอาไว้ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ลูกชายบอกหลานชายไม่ให้พาตัวมาตายหรือ? ถามบรรพบุรุษของเจ้าหรือยังว่าตกลงหรือไม่?”

หลีเจินส่ายหน้าเอ่ยอย่างเสียดาย “วันหน้าคงไม่ได้มาเยี่ยมเยือนใต้เท้าอิ่นกวานบ่อยๆ อีกแล้ว”

เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ไม่เป็นไร รอวันใดที่ข้าเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบโดยไม่ทันระวังแล้ว ข้าจะไปหาเจ้าเอง”