เฟิ่งหวูซินมองไปที่หลัวซิวด้วยสายตาที่ซับซ้อน ในตำหนักวัฏสงสาร ในขณะนี้มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น

“จ้าวศักดิ์สิทธิ์เฟิง ไม่พบกันมานาน สบายดีไหม” หลัวซิวสบตาเฟิ่งหวูซินอย่างเฉยเมย

หากซือถูเจิ้งเจี้ยนไม่ได้ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน บางทีเป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดของเขาเมื่อเขาอยู่ในโลกาอสูรฟ้าคือการเอาชนะคนผู้นี้

เพราะเขาการหยั่งเชิงของเขา เลยได้รู้ความลับของเขา ทำให้คนในไท่เสวียนตกไปอยู่ในมือของเขา

ตอนนี้เรื่องราวผ่านไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินมีพระคุณกับเขา และความแข็งแกร่งของเขาเหนือกว่าเฟิ่งหวูซินแล้วด้วย ดังนั้นความนึกคิดของเขาจึงแตกต่างจากเมื่อก่อนโดยธรรมชาติ

“ทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนร่างเจ้าช่างเหลือเชื่อจริงๆ”เฟิ่งหวูซินถอนหายใจและส่ายหัว เขารู้ดีว่าหลัวซิวสามารถฆ่าจ้าวนภาไร้เจตสิกได้ เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอย่างแน่นอน

เพราะเวลาที่เขาเป็นจ้าวนภามาได้ไม่นาน ตอนนี้เขาอยู่ในจ้าวนภาขั้นกลาง ในขณะที่จ้าวนภาไร้เจตสิกเป็นจ้าวนภาขั้นสูง เขายังคงถูกหลัวซิวฆ่าตาย

หากพูดว่าเขามีอุดมการณ์และความฝันอันสูงส่ง หวังว่าจะได้เป็นนกอินทรีที่ทะยานสู่ท้องฟ้าสักวันหนึ่ง งั้นหลัวซิวก็เหมือนมังกรแท้ ลิขิตต้องทะยานเหนือนวสวรรค์ พวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน

เขาสามารถคาดได้ว่าเป็นไปไม่ได้ว่าหลัวซิวจะอยู่ในโลกเสวียนเทียนต่อ ไม่ช้าก็เร็วเขาจะเข้าสู่โลกที่กว้างขึ้น ไล่ตามเส้นทางห้วงยุทธ์ที่ทรงพลังกว่า

“ข้าคิดว่าระหว่างเราคุยกันได้นะ”

หลัวซิวทำท่าทางเชิญ หลังจากที่เฟิ่งหวูซินนั่งลง เขาก็พูดช้าๆ

ไม่กี่วันต่อมา สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินก็เริ่มสร้างใหม่โดยมีพื้นที่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของสถานที่เดิมของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมิน สำนักศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างขึ้นใหม่มีขนาดเล็กกว่าในอดีตมาก

ตอนที่สำนักประตูถูกโจมตีลง ศิษย์หลายคนที่หลบหนีก็ได้กลับมา แต่หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ อัจฉริยะของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินขาดแคลน เหลือเพียงเทพมารสิบกว่าคนเท่านั้น และเฟิ่งหวูซินจ้าวนภาคนเดียว

ประตูสำนักของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินและประตูสำนักของสำนักไท่เสวียน ถูกสร้างขึ้นมาด้วยกัน นี่คือข้อเสนอของหลัวซิว เพราะภูมิหลังของ สำนักไท่เสวียนนั้นอาอนแอเกินไป และเขาจะออกจากโลกเสวียนเทียนในไม่ช้า ถ้าสำนักำท่เสวียนและสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินสามารถช่วยเหลือกันและกันได้ ก็จะมั่นใจได้ว่าการสืบทอดของสำนักไท่เสวียนไร้กังวล

ด้วยเหตุนี้เขาจึงละความแค้นในอดีต และมอบพลังเสวียนเบญจธาตุให้กับเฟิ่งหวูซิน พลังเสวียนนี้มาจากสำนักหยินหยางของสรรพมหาโลกา แม้ว่าใน สำนักหยินหยางเป็นเพียงวรยุทธ์ที่ศิษย์ธรรมดามีคุณสมบัติฝึกฝน แต่ในพิภพล่าง เรียกว่าเป็นวิชาพลังอมตะวรยุทธ์ขั้นสูงสุดแล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังเสวียนเบญจธาตุท่อนท้าย มีบันทึกของการบรรลุเป็นราชาเทพ ซึ่งเป็นสิ่งที่เฟิ่งหวูซินต้องการมากที่สุด

จากนั้นหลัวซิวก็เริ่มปิดขังฝึกตน ไม่สนใจทุกสิ่งในโลกภายนอก

เมื่อก่อนที่เขาสร้างสำนักไท่เสวียน ก่อตั้งสำนักเขา เพราะต้องการสร้างกองกำลังของตัวเองในโลกแสงดาว อย่างนี้แล้วเมื่อเวลาที่เขาไม่อยู่ กองกำลังที่เขาสร้างขึ้นจะช่วยปกป้องความปลอดภัยของครอบครัวและเพื่อน ๆ ของเขาด้วย

นอกจากนี้ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง ซึ่งก็เป็นเพราะความหวังของมหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำในการสร้างไท่เสวียนขึ้นใหม่

ตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขาได้บรรลุผลสำเร็จแล้ว อย่างน้อยในพิภพล่าง แทบไม่มีใครสามารถคุกคามเขาได้และความแข็งแกร่งของเขาเองก็เป็นการข่มขู่ที่มองไม่เห็น

มีเฟิ่งหวูซินอยู่ ในโลกเสวียนเทียนไม่มีกองกำลังที่สามารถคุกคามสำนักไท่เสวียนได้ สำหรับอนาคตนั้นสำนักไท่เสวียนจะพัฒนาไปอย่างไร ต้องพึ่งพาความพยายามคนของสำนักไท่เสวียนเท่านั้น

เติบโตจากโลกแสงดาวมาทีละขั้น เขาได้เดินมาทางนี้มานานหลายทศวรรษ และความแค้นบุญคุณมากมายทำให้ใจของเขาผ่านความทุกข์ยากและความยากลำบากทุกประเภท

เขารู้ดีว่าต่อให้กลายเป็นเทพมาร เขาก็ถือว่าเก่งที่สุดในพิภพล่าง แต่ถ้าเขาอยู่ในโลกาชั้นฟ้า ไม่ถือว่ามีอะไรเลย