ปีนั้นนางถูกนายท่านป๋ายเจ๋อท่านนี้เก็บกลับมาบ้านก็ได้ถามอย่างใคร่รู้ว่าเหตุใดในหอพิทักษ์เมืองถึงต้องแขวนภาพเหมือนของปรมาจารย์มหาปราชญ์ เพราะจะดีจะชั่วนางก็รู้ดีว่า ต่อให้เป็นหลี่เซิ่งที่เป็นผู้ตั้งกฎเกณฑ์ของมารยาทพิธีการในใต้หล้าก็ยังปฏิบัติต่อนายท่านของตนอย่างมีมารยาท เรียกอย่างนอบน้อมว่า ‘อาจารย์’ (เซียนเซิง) ส่วนนายท่านอย่างมากสุดก็แค่เรียกอีกฝ่ายว่า ‘อาจารย์น้อย’ เท่านั้น อีกอย่างนายท่านป๋ายเจ๋อเองก็ไม่เคยทำสีหน้าดีๆ อะไรให้กับรองเจ้าลัทธิศาลบุ๋นหรือผู้อำนวยการสถานศึกษาเห็น ต่อให้มีครั้งหนึ่งที่หย่าเซิ่งเดินทางมาเยือนด้วยตัวเองก็ยังได้แต่หยุดเท้าอยู่นอกธรณีประตูเท่านั้น
ในความเป็นจริงแล้ว ‘สยบป๋ายเจ๋อ’ แห่งนี้แตกต่างจากหอพิทักษ์เมืองอีกแปดแห่งที่เหลือที่สยบโชคชะตาอย่างสิ้นเชิง คิดว่าที่นี่เป็นแค่ของตกแต่งอย่างหนึ่งเท่านั้นจริงๆ หรือไร เดิมทีสยบป๋ายเจ๋อไม่จำเป็นต้องแขวนกรอบป้ายด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่านายท่านลงมือเขียนด้วยตัวเอง และนายท่านก็เคยบอกให้ฟังถึงสาเหตุว่าการที่ทำเช่นนี้ ก็หนีไม่พ้นเพื่อไม่ให้พวกอริยะปราชญ์ของสำนักศึกษาสถานศึกษาทั้งหลายเข้าประตูมา ต่อให้จะมีหน้ามาสร้างความรำคาญให้เขาป๋ายเจ๋อก็ไม่มีหน้าเข้ามานั่งในห้อง
มีข้อยกเว้นเพียงอย่างเดียว
ซิ่วไฉเฒ่า
ตอนนั้นระหว่างทางที่ไปรับหนังสือ ชิงอิงพลาดเจอกับเหวินเซิ่งที่กำลังเป็นดั่ง ‘ดวงตะวันกลางนภา’ ในปีนั้นไป
ภายหลังนางถึงได้ยินคนจิ๋วกลิ่นหอมหนังสือที่พักพิงอยู่ในคานห้องเล่าให้ฟังว่า ซิ่วไฉเฒ่าผู้นั้นไม่เพียงเดินตุปัดตุเป๋เข้ามาในห้อง ยังบอกว่านายท่านใหญ่ป๋ายเจ้าไม่พิถีพิถันเอาเสียเลย มาพึ่งพิงอยู่ใต้ชายคาผู้อื่น ไม่รู้จักให้ความเคารพเจ้าของก็แล้วไปเถิด ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะไว้หน้ากันให้พอเป็นพิธีบ้างสิ พอภาพนี้แขวนลงไปก็สามารถลดทอนปัญหายุ่งยากไปได้ไม่น้อย ไม่แขวนก็เสียเปล่า จากนั้นซิ่วไฉเฒ่าก็เอาภาพเหมือนของปรมาจารย์มหาปราชญ์มาแขวนลงไปเองโดยพลการ โชคดีที่นายท่านป๋ายเจ๋อไม่ได้ปลดลงมาแล้วโยนไปนอกประตู มันเลยแขวนอยู่อย่างนั้นเรื่อยมาก
ซิ่วไฉเฒ่าที่ถูกป๋ายเหย่ใช้หนึ่งกระบี่ส่งออกมาจากใต้หล้าแห่งที่ห้าหันตัวกลับมาอย่างขุ่นเคือง สะบัดม้วนภาพในมือ “นี่ข้าก็กลัวว่าตาเฒ่าที่ห้อยเด่เพียงลำพังบนผนังออกจะโดดเดี่ยวไปหน่อยไม่ใช่หรือไร แขวนภาพหลี่เซิ่งกับเหล่าซาน ตาเฒ่าก็อาจจะไม่ดีใจเสมอไป คนอื่นไม่รู้ แต่นายท่านใหญ่ป๋ายเจ้ายังไม่รู้อีกหรือว่าตาเฒ่านั้นโปรดปรานข้าเป็นที่สุด…”
ป๋ายเจ๋อยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มียางอายหน่อยเถอะ”
ซิ่วไฉเฒ่าทั้งเจ็บแค้นทั้งเศร้าระทมสุดขีด กระทืบเท้าเอ่ยว่า “ฟ้าดินกว้างใหญ่ ก็มีแค่ที่นี่ของเจ้าเท่านั้นที่สามารถวางตำราสองสามเล่มของข้า แขวนภาพเหมือนของข้าเอาไว้ได้ เจ้าจะใจดำปฏิเสธได้ลงคือเชียวหรือ? มันเกะกะตาเจ้านักหรือไร?”
“เกะกะมากเลยล่ะ”
ป๋ายเจ๋อพยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยว่า “ศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วของลูกศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าก็ไม่ได้แขวนภาพเหมือนของเจ้าไว้แล้วหรอกหรือ?”
ดวงตาของซิ่วไฉเฒ่าเป็นประกายวาบ เขารอคำนี้อยู่เชียว พูดคุยกันแบบนี้สิถึงจะน่าสนุก เจ้าหนอนหนังสือป๋ายเหย่พูดนั้นคุยกันค่อนข้างยากจริงๆ เขาวางม้วนภาพลงบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ เดินไปทางห้องหนังสือของป๋ายเจ๋อที่อยู่ด้านข้าง “นั่งๆๆ นั่งลงคุยกัน จะเกรงใจไปไย มาๆๆ จะคุยเรื่องลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้าให้เจ้าฟัง ปีนั้นเจ้าเองก็เคยพบเขาแล้ว แล้วยังอาศัยคำมงคลของเจ้า น้ำใจควันธูปครั้งนี้ไม่น้อยเลย พวกเราสองพี่น้องจึงต้องเรียกว่าเป็นครอบครัวที่สนิทลึกซึ้งกันยิ่งขึ้นไปอีก…”
แล้วซิ่วไฉเฒ่าก็หันไปยิ้มกล่าวกับชิงอิง “เจ้าคงเป็นแม่นางชิงอิงกระมัง รูปโฉมงดงามจริงๆ วันหน้ารบกวนแม่นางเอาภาพเหมือนของข้าไปแขวนให้ที จำไว้ว่าต้องแขวนในตำแหน่งต่ำหน่อย ตาเฒ่าย่อมไม่ถือสาแน่นอน เพราะข้าก็นับว่ามีมารยาทมากแล้ว นายท่านใหญ่ป๋าย เจ้าดูสิพอข้ามีเวลาว่าง แม้แต่ศาลบุ๋นยังไม่ไปเยือน กลับมานั่งเล่นที่บ้านเจ้าก่อน เจ้าเองหากมีเวลาว่างก็ไปนั่งเล่นที่ภูเขาลั่วพั่วบ้างสิ ออกจากบ้านครานี้ใครกล้าขัดขวางนายท่านใหญ่ป๋ายอย่างเจ้า ข้าจะเอาเรื่องเขาเอง จะแอบไปที่ศาลบุ๋นกระโดดตบเขาสักฉาด รับรองว่านายท่านใหญ่ป๋ายต้องได้รับความยุติธรรมแน่นอน! ใช่แล้ว หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ แม่หนูหน่วนซู่กับเจ้าลูกกระต่ายหลิงจวินบนภูเขาลั่วพั่ว ปีนั้นเจ้าเองก็เคยได้เจอแล้วเหมือนกัน ช่างเป็นเด็กสองคนที่น่ารักยิ่งนัก คนหนึ่งจิตใจงดงามบริสุทธิ์ อีกคนหนึ่งใจจืดใจดำ ผู้อาวุโสคนใดเห็นแล้วจะไม่ชอบบ้างเล่า”
เดิมทีชิงอิงยังเลื่อมใสเหวินเซิ่งที่สูญเสียสถานะผู้ที่ได้รับการบูชาในศาลบุ๋นผู้นี้อย่างมาก วันนี้ได้พบอีกฝ่ายกับตัวเอง นางก็ไม่เลื่อมใสอีกฝ่ายแม้แต่น้อยแล้ว
เหวินเซิ่งที่บอกกันว่าคารมคมคายจนใครก็สู้ไม่ได้ ความรู้หยั่งรากลงในโลกมนุษย์อย่างมั่นคงอะไรนั่น วันนี้มองดูแล้วกลับเป็นแค่คนหน้าไม่อายชัดๆ นับตั้งแต่ซิ่วไฉเฒ่าแอบเข้ามาในห้องลับหลังนายท่าน กระทั่งถึงตอนนี้ที่พูดจาเหลวไหลส่งเดช มีประโยคใดบ้างที่สอดคล้องกับสถานะของอริยะ มีประโยคใดบ้างที่มีภาพบรรยากาศของความยิ่งใหญ่เที่ยงตรงดั่งปากอมคำสั่งสวรรค์?
ปีนั้นหย่าเซิ่งผู้นั้นมาเยือน ต่อให้ไม่ได้พูดมาก แต่กลับทำให้ส่วนลึกในใจของชิงอิงเกิดความรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายเป็นภูเขาสูงที่ตนได้แต่แหงนหน้ามอง
ซิ่วไฉเฒ่านั่งลงบนเก้าอี้เพียงตัวเดียวที่มีอยู่ด้านหลังโต๊ะ ในเมื่อแต่ไหนแต่ไรมาหอพิทักษ์เมืองแห่งนี้ไม่เคยต้องรับรองแขก ย่อมไม่ต้องการเก้าอี้ที่เกินความจำเป็น
ป๋ายเจ๋อเองก็ไม่ถือสาที่ซิ่วไฉเฒ่าเป็นแขกที่ทำตัวเหมือนเจ้าบ้าน เขายืนพูดว่า “มีธุระอะไรก็ว่ามา ไม่มีธุระก็ไม่ไปส่งแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่าขยับก้น เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “นานแล้วที่ไม่ได้นั่งสบายๆ แบบนี้”
ป๋ายเจ๋อกล่าว “ถูกข้าโยนออกไปจากที่นี่ ศักดิ์ศรีที่เหลืออยู่ไม่มากของเจ้าก็ถือว่าหมดสิ้นอย่างสิ้นเชิงแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่าพลันตบโต๊ะดังป้าบ “บัณฑิตมากมายขนาดนั้น ขนาดจะเล่าเรียนหนังสือยังทำไม่ได้ ชีวิตก็ไม่เหลืออยู่แล้ว จะเอาหน้าตาศักดิ์ศรีไปทำอะไรกัน?! เจ้าป๋ายเจ๋อไม่รู้สึกผิดต่อตำราอริยะปราชญ์ในห้องนี้บ้างหรือ? หา?!”
ชิงอิงตกใจสะดุ้งโหยง
ป๋ายเจ๋อขมวดคิ้วกล่าว “จะเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย พูดคุยเรื่องวันวานนั้นได้ ข้ายังพอจะอดทนกับเจ้าได้ แต่หากคิดจะพูดถึงคุณธรรมยิ่งใหญ่อะไรกับข้าก็อย่าดีกว่า ควันธูปน้อยนิดที่ส่ายไหวระหว่างเจ้าและข้านั้นมิอาจต้านรับลมปากใหญ่โตขนาดนี้ของเจ้าได้”
ซิ่วไฉเฒ่าเปลี่ยนสีหน้าทันที ขยับก้นยกขึ้นลอยพ้นจากเก้าอี้เล็กน้อยแสดงถึงการขอขมาและความจริงใจ ไม่ลืมใช้ชายแขนเสื้อเช็ดโต๊ะตรงที่ตัวเองตบลงไปก่อนหน้านี้ด้วย เขาหัวเราะฮ่าๆ พลางเอ่ยว่า “เมื่อครู่นี้แค่ใช้น้ำเสีงของเหล่าซานกับรองเจ้าลัทธิทั้งสองพูดกับเจ้าเท่านั้น วางใจเถอะ วางใจเถอะ ข้าไม่พูดเรื่องสายบุ๋นของใต้หล้า เรื่องกิจการใหญ่พันปีอะไรกับเจ้าหรอก ข้ามาพูดคุยเรื่องวันวาน แค่พูดคุยเรื่องวันวานเท่านั้น แม่นางชิงอิง ไปหาเก้าอี้สักตัวมาให้นายท่านใหญ่ป๋ายของพวกเราที ไม่อย่างนั้นให้ข้านั่งพูดอยู่อย่างนี้ มโนธรรมในใจย่อมไม่สงบ”
ป๋ายเจ๋อโบกมือบอกเป็นนัยให้ชิงอิงออกไปจากห้อง
ชิงอิงไม่กล้าแสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้ามากนัก นางยอบตัวคารวะซิ่วไฉเฒ่าตามกฎเกณฑ์แล้วเดินเยื้องย่างจากไป
ใบหน้าของซิ่วไฉเฒ่ามีรอยยิ้มมองส่งสตรีจากไป จากนั้นก็เปิดตำราเล่มหนึ่งแล้วพูดสะท้อนใจเสียงเบาว่า “ในใจอาจไม่ได้เห็นด้วยกับเรื่องมารยาทพิธีการเสมอไป แต่ยังคงทำอะไรตามกฎเกณฑ์ หลี่เซิ่งไม่มีอะไรดีไปมากกว่านี้แล้ว”
ป๋ายเจ๋อเอ่ย “ความอดทนมีขีดจำกัด จงถนอมไว้ให้ดี”
ซิ่วไฉเฒ่าเปิดหน้าหนังสือไม่หยุด วางเล่มหนึ่งลงแล้วก็หยิบเล่มถัดไปขึ้นมา ยืดคอยาวชำเลืองตามองคำอธิบายบนหน้ากระดาษว่างเปล่าในตำราที่ป๋ายเจ๋อเขียนเอาไว้ แล้วพยักหน้าเอ่ยว่า “มุ่งศึกษาหลักพระธรรม อธิบายถ้อยคำภาษาโบราณ เรียนรู้เรื่องความหมายและเสียง ลำพังเพียงแค่การถ่ายทอดก็แบ่งออกเป็นหลายช่องทางทั้งเล็กใหญ่ ในนอก เสริมรวม ความรู้ดีๆ มีมากเกินไป ชีวิตคนสั้นเกินไป ง่ายที่จะทำให้บัณฑิตรุ่นหลังเหมือนตกอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อตำรามีมากเข้า จากการค้นหาเสี่ยงอันตรายถึงจะได้เข้าไปในภูเขาเงินภูเขาทอง บางครั้งได้รับผลเก็บเกี่ยวกลับมาก็จะยิ่งทะนุถนอมเห็นค่าเป็นเท่าทวี ไปถึงบ้านสมบัติอัญมณีมีมากมายนับไม่ถ้วน ค่อยๆ โยนทิ้งเหมือนรองเท้าคู่เก่า บวกกับที่หลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์เอาแต่โน้มน้าวให้คนสละผลประโยชน์ สอนวิธีใช้ชีวิตให้กับคน แต่กลับไม่สอนวิชาที่จะทำให้คนมีชีวิตอย่างสงบสุข ยากที่จะผสมผสานกลมกลืนเข้าด้วยกันได้อย่างแท้จริง ถึงท้ายที่สุดแล้วก็ไม่อาจดีได้”
ป๋ายเจ๋อถอนหายใจ “เจ้าตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะไม่ยอมจากไปใช่ไหม?”
ซิ่งไฉเฒ่าวางตำราลง มือทั้งสองจัดกองหนังสือให้ทับซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “กลียุคบังเกิด ผู้กล้าปรากฏ”
สีหน้าของป๋ายเจ๋อเริ่มมีโทสะ
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มกล่าว “บัณฑิตมีเรื่องที่ต้องลำบากใจมากมาย ถึงขั้นยังต้องทำเรื่องที่ผิดต่อเจตนารมณ์ของตัวเอง ขออาจารย์ป๋ายโปรดให้อภัยด้วย”
ป๋ายเจ๋อเอ่ย “ข้าให้อภัยมากแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่าถาม “ถ้าอย่างนั้นก็ให้บัณฑิตอย่างพวกข้ามีโอกาสได้แก้ไขความผิดพลาดได้หรือไม่?”
ป๋ายเจ๋อเอ่ย “ประโยคสุดท้าย”
ซิ่วไฉเฒ่าลุกขึ้นยืน เดินอ้อมโต๊ะหนังสือออกมาประสานมือคารวะป๋ายเจ๋ออย่างไร้คำพูด แล้วจากไป
ป๋ายเจ๋อถอนหายใจหนึ่งที
ครู่หนึ่งต่อมา ตรงประตูมีหัวคนผู้หนึ่งโผล่มา
ป๋ายเจ๋อกุมขมับพูดไม่ออก เขาสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วเดินไปที่หน้าประตู
ซิ่วไฉเฒ่านั่งอยู่บนธรณีประตู
ป๋ายเจ๋อเอ่ย “พูดมาเถอะ มีเรื่องอะไร จะทำหรือไม่ทำอยู่ที่ข้า”
ซิ่วไฉเฒ่าถึงได้เอ่ยว่า “ช่วยให้เฉินฉุนอันของสายหย่าเซิ่งไม่ต้องลำบากใจขนาดนั้น”
หากเฉินฉุนอันยึดติดกับสองคำว่าผู้รอบรู้ของตน ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่เฉินฉุนอันแล้ว เรื่องที่ทำให้เฉินฉุนอันลำบากใจอย่างแท้จริงเป็นเพราะเขามีชาติกำเนิดจากสายหย่าเซิ่ง ถึงเวลานั้นคำวิพากษ์วิจารณ์ที่รุนแรงของใต้หล้าจะไม่เพียงชี้ไปที่ตัวเฉินฉุนอันเอง จะยิ่งชี้ไปที่ตลอดทั้งสายหย่าเซิ่ง
เกี่ยวกับเรื่องของการไปเยือนทักษินาตยทวีป ป๋ายเจ๋อไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้ตอบตกลง
ป๋ายเจ๋อกล่าวอย่างกังขาว่า “ไม่ได้ให้ช่วยชุนฉานที่พยายามกอบกู้สถานการณ์ แล้วก็ไม่ได้ให้ช่วยลูกศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าที่ต้องเฝ้าพิทักษ์กำแพงเมืองปราณกระบี่หรอกหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่าลุกขึ้นยืนพลางเอ่ยว่า “สายของเหวินเซิ่งไม่เคยขอร้องให้ใครช่วย! ความรู้ในตัว ล้วนเอามาใช้ทำอะไรบางอย่างเพื่อโลกใบนี้”
ป๋ายเจ๋อพยักหน้า
ซิ่วไฉเฒ่าพลันยกมือขึ้นเช็ดหน้า เอ่ยอย่างเสียใจว่า “หากขอร้องแล้วมีประโยชน์ ข้าที่เป็นอาจารย์ มีหรือจะไม่ขอร้อง”
ป๋ายเจ๋อไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาเงียบไปนาน สุดท้ายยังคงส่ายหน้า “ซิ่วไฉเฒ่า ข้าไม่มีทางไปจากที่นี่ ต้องทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า “อาจารย์ป๋ายกล่าวหนักไปแล้ว แม้จะมาด้วยความหวังเสี้ยวหนึ่งจริง แต่เรื่องที่ทำไม่สำเร็จกลับไม่จำเป็นต้องผิดหวัง ก็เป็นบัณฑิตนี่นะ”
ป๋ายเจ๋อถาม “แล้วต่อจากนี้ล่ะ?”
อยู่ดีๆ ไฟโทสะของซิ่วไฉเฒ่าก็พุ่งสูงสามจั้ง เอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า “มารดามันเถอะ ไปด่าคนในพื้นที่มงคลกระดาษขาวน่ะสิ! ด่าเจ้าคนที่ลำดับศักดิ์สูงที่สุด หากกล้าเถียงข้าแม้แต่ครึ่งคำ ข้าก็จะเอาเข็มทิ่มคนกระดาษตัวสูงเท่าคนจริงๆ แล้วแอบเอาไปวางไว้ในศาลบุ๋น”
ป๋ายเจ๋อยื่นมือคว้าหนึ่งครั้ง หยิบเอา ‘ภาพค้นภูเขา’ ออกมาจากเสาคานใหญ่ของในห้อง โยนให้ซิ่วไฉเฒ่า
ซิ่วไฉเฒ่ารีบเก็บมาไว้ในชายแขนเสื้อ ถือโอกาสช่วยปัดชายแขนเสื้อให้ป๋ายเจ๋อไปด้วย “ผู้กล้า สมกับเป็นวีรบุรุษผู้กล้าจริงๆ!”
ป๋ายเจ๋อสะบัดชายแขนเสื้อ “เป็นข้าออกไปข้างนอก จึงถูกเจ้าขโมยไป”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ารับอย่างแรง “พูดเหลวไหลอะไร กฎเกณฑ์เล็กน้อยแค่นี้ข้าจะไม่เข้าใจหรือ? ข้าไม่ใช่คนโง่สักหน่อย ไม่มีทางทำให้นายท่านใหญ่ป๋ายต้องลำบากใจหรอก”
ป๋ายเจ๋อมีสีหน้าเฉยชา “อย่าลืมล่ะว่าข้าไม่ใช่คน”
ซิ่วไฉเฒ่ากระทืบเท้า “ประโยคนี้ข้าไม่ชอบฟังหรอกนะ วางใจเถอะ ข้าจะช่วยเจ้าด่าหลี่เซิ่งให้เอง หลี่เซิ่งอะไรกัน ความรู้ใหญ่ กฎเกณฑ์ใหญ่แล้วร้ายกาจนักหรือ หากทำเรื่องที่ไร้เหตุผลข้าก็ด่าได้เหมือนกันนั่นแหละ ปีนั้นตอนที่ข้าเพิ่งถูกคนบังคับจับโยนให้เข้าไปกินหัวหมูเย็นๆ ในศาล โชคดีที่ข้าเคารพนับถือรูปปั้นของหลี่เซิ่งเป็นที่สุด ธูปที่ใช้กราบไหว้รูปปั้นอริยะปราชญ์รูปอื่นล้วนเป็นควันธูปธรรมดาทั่วไป มีแค่ของตาเฒ่ากับของหลี่เซิ่งที่ข้ากัดฟันจ่ายเงินก้อนใหญ่ซื้อธูปภูเขามา…”
ซิ่วไฉเฒ่าร้องเอ๊ะหนึ่งที แล้วจู่ๆ ก็หยุดพูด ร่างเปล่งวูบหายไป มาอย่างรีบร้อน จากไปรีบร้อนยิ่งกว่า เพียงแค่เอ่ยเตือนป๋ายเจ๋อคำหนึ่งว่าอย่าลืมแขวนภาพเหมือน
บุรุษวัยกลางคนที่มีรูปโฉมสง่างามคนหนึ่งปรากฏตัวอยู่นอกห้อง ประสานมือคารวะป๋ายเจ๋อ ป๋ายเจ๋อเองก็ประสานมือคารวะกลับคืนอย่างที่หาได้ยาก
พวกเขาเดินข้ามธรณีประตูมาด้วยกัน บุรุษวัยกลางคนมองเห็นม้วนภาพนั้น พอคลี่ออกดูก็หลุดหัวเราะพรืด ที่แท้ไม่ใช่ภาพเหมือนของซิ่วไฉเฒ่า แต่เป็นภาพเหมือนของบุรุษผู้นี้
ดังนั้นแท้จริงแล้วจึงเป็นภาพแขวนของหลี่เซิ่ง
ป๋ายเจ๋อนวดคลึงหว่างคิ้ว เอ่ยอย่างระอาใจว่า “ไม่รำคาญเขาบ้างเลยหรือ?”
หลี่เซิ่งยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้ายังดี ปรมาจารย์มหาปราชญ์ของพวกเรารำคาญเขาที่สุดเลยล่ะ”
ปีนั้นที่ภาพเหมือนของซิ่วไฉเฒ่าถูกย้ายออกจากศาลบุ๋นยังพูดได้ง่าย เพราะซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแต่ว่าภายหลังถูกบัณฑิตของแต่ละสถานที่ทุบทำลายรูปปั้น อันที่จริงปรมาจารย์มหาปราชญ์ก็ถูกซิ่วไฉเฒ่าลากให้มาดูเหตุการณ์อยู่ข้างๆ ซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้ระบายความทุกข์อย่างน้อยเนื้อต่ำใจอะไร แค่บอกว่าบัณฑิตรักศักดิ์ศรีหน้าตาเป็นที่สุด เจอกับการหมิ่นเกียรติเช่นนี้ ต่อให้อดทนไม่ไหวก็ต้องอดทน แต่วันหน้าศาลบุ๋นก็ควรจะใจกว้างกับสายเหวินเซิ่งของเขาหน่อยหรือไม่? ชุยฉานนั้นปล่อยเขาไปเถอะ ถึงอย่างไรก็คิดไตร่ตรองเพื่อสายบุ๋นบนโลกในระยะยาว เสี่ยวฉีต้นกล้าที่ดีขนาดนี้จะไม่ควรปกป้องให้มากหน่อยหรือ? จั่วโย่ววันหน้าหากมีวันใดได้ฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตบินทะยาน ตาเฒ่าเจ้าอย่าเอาแต่มองดูเฉยไม่ทำอะไรล่ะ กฎของหลี่เซิ่งใหญ่กว่า หรือหน้าตาของปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่ใหญ่กว่าล่ะ…สรุปก็คือเขายืนต่อรองอยู่อย่างนั้น คว้าชายแขนเสื้อของปรมาจารย์มหาปราชญ์เอาไว้อย่างหน้าด้านหน้าทน หากอีกฝ่ายไม่พยักหน้าตกลงก็จะไม่ยอมปล่อยให้ไป
รู้สึกว่าซิ่วไฉเฒ่าในวันนี้ไม่เหมือนบัณฑิตแม้แต่น้อย
นั่นก็ต้องเป็นเพราะไม่เคยเห็นการโต้วาทีสามลัทธิที่เหวินเซิ่งเคยเข้าร่วมมาก่อน
ซิ่วไฉเฒ่าที่ก่อนหน้านี้เอ่ยถ้อยคำห้าวหาญกับป๋ายเจ๋อ พูดจาน่าเชื่อถือว่าสายของเหวินเซิ่งไม่เคยขอร้องใคร อันที่จริงในฐานะอาจารย์ของเหล่าลูกศิษย์สายเหวินเซิ่ง เขาเคยขอร้องอ้อนวอนอย่างยากลำบาก แล้วก็เคยทำเรื่องต่างๆ มามากมาย เคยต้องสละทิ้งทุกสิ่งอย่าง ต้องจ่ายค่าตอบแทนไปมากนัก