ตอนที่ 1452 ไม่ตายจาก ไม่จากกัน

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

จักจั่นขาวเงียบไปครู่ใหญ่ แล้วส่งเสียงตะคอกราวกับคลุ้มคลั่งม “กี่ครั้งแล้ว ผ่านเวลามาไม่รู้นานเท่าไหร่แล้ว เจ้าจะแก้นิสัยนี้ได้หรือยัง เรียกข้าว่าจักรพรรดิขาว ไม่ใช่เรียกอาไป๋ (ไป๋ แปลว่า ขาว) เหมือนเรียกหมาเรียกแมว!”

ในเสียงเต็มไปด้วยความขัดเคือง ราวกับได้รับความอับอายใหญ่หลวง

จักจั่นทองพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “แต่เจ้ายังไม่ใช่จักรพรรดิ จุดเปลี่ยนใหญ่ในตอนนี้ก็ไม่ใช่ของเจ้า ก่อนจะเป็นจักรพรรดิให้ข้าเรียกเจ้าว่าอาไป๋บ่อยๆ หน่อยเถอะ”

มีกลิ่นอายโศกเศร้าเสียใจเสี้ยวหนึ่งในคำพูด

แต่จักจั่นขาวไม่ไยดี เสียงเย็นชาและเหี้ยมโหด “จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่นี้ หากสละให้คนอื่น นั่นต่างหากที่เรียกว่าทำลายคุณค่า ยิ่งไปกว่านั้นอาสํยฝีมือของพวกไร้ประโยชน์เหล่านั้นก็คิดฝันถึงจุดเปลี่ยนนี้ ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!”

พูดถึงตรงนี้เสียงของจักจั่นขาวก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมา เอ่ยว่า “ขอเพียงแค่เจ้าช่วยข้าครั้งนี้ ต่อไปข้าอนุญาตให้เจ้าเรียกข้าเช่นนั้นต่อ จำไว้ว่าอนุญาตเจ้าคนเดียว”

จักจั่นทองเงียบไปครู่หนึ่งก็ถอนหายใจ “ข้าบอกแล้วว่าจุดเปลี่ยนใหญ่นี้ไม่ใช่ของเจ้า รอออกจากที่นี่ ข้าจะช่วยเจ้าแสวงหาหนทางแห่งระดับจักรพรรดิที่เป็นของเจ้า”

จักจั่นขาวหงุดหงิดขึ้นมา พูดอย่างเดือดดาล “ข้าถูกขังอยู่ที่นี่มานานขนาดนี้ เสียเวลามากขนาดนั้น รอเพียงโอกาสที่จะจากไปเช่นนั้นหรือ ข้าไม่ยอม!”

เสียงสะเทือนฟ้าดิน ทำให้พื้นที่ในรัศมีพันลี้ล้วนปกคลุมอยู่ในไอเข่นฆ่าที่น่ากลัวไร้ขอบเขต

ประหนึ่งฟ้าดินผืนนี้จะถล่มลงมา!

แต่นี่เกิดขึ้นเพียงเพราะเสียงอันเดือดดาลของจักจั่นขาว

จักจั่นทองเงียบไปครู่หนึ่งจึงพูดว่า “อาไป๋ หยุดโวยวายสักทีได้มั้ย เมื่อก่อนเจ้าไม่เคยอารมณ์ร้อนไม่เชื่อฟังเช่นนี้เลย”

ที่เหนือความคาดหมายคือจักจั่นขาวเงียบไป คล้ายนึกถึงเรื่องในอดีต

“หากเจ้าลงมือ จุดเปลี่ยนใหญ่ครั้งนี้ไม่มีใครสามารถช่วงชิงกับข้าได้ แต่เจ้ากลับปฏิเสธข้าครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าบอกว่าเมื่อก่อนข้าไม่ได้อารมณ์ร้อนเช่นนี้ แต่เมื่อก่อนเจ้า… ไม่เคยทำกับข้าเช่นนี้”

จักจั่นขาวเสียงต่ำเบา แฝงความผิดหวัง

ฟึ่บ!

บนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็ง จักจั่นทองสยายปีกบินขึ้น ชั่วพริบตาก็เปลี่ยนเป็นชายหนุ่มรูปลักษณ์งดงาม สีหน้าอ่อนโยน

เขาสวมเสื้อผ้าป่าน เปลือยเท้าเปล่า ผมปักปิ่นไม้อันหนึ่ง ให้ความรู้สึกเหนือโลกีย์ไร้มลทินไปทั่วทั้งตัว

เขาดูอ่อนเยาว์มาก ดวงตากระจ่างใสราวกับเด็กทารก แต่กลับให้ความรู้สึกอิสระเสรี เฉลียวฉลาดเฉียบแหลมแก่ผู้คน

เหมือนก้อนเมฆที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า จันทราในบ่อน้ำ เงียบสงบและสันติสุข ทว่ากลับสามารถบดบังแสงฟ้า สะท้อนสรรพสิ่ง

“เจ้า…”

จักจั่นขาวตกใจ อึ้งงันอยู่ตรงนั้น

ตลอดเวลาที่ผ่านมาจักจั่นทองไม่เคยแปลงร่าง หมอบฟุบอยู่บนใบไม้มาโดยตลอด เข้าฌานที่ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด

แต่ตอนนี้จักจั่นทองกลับเผยรูปธรรมที่แท้จริงของตนแล้ว!

“หากไม่ให้เจ้าดูสักหน่อยเจ้าจะต้องไม่จำยอมแน่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจะพาเจ้าไปดู”

ชายหนุ่มชุดผ้าป่านเท้าเปล่ายิ้ม รอยยิ้มที่อ่อนโยนนั่นสลายไอสังหารในระยะพันลี้ สรรพสิ่งล้วนได้รับอิทธิพลจนเปลี่ยนไป

พืชพรรณมากมายเติบโตขึ้น ส่ายเอนไปตามกระแสลมอย่างมีความสุข

“ในที่สุดเจ้าก็รับปากแล้ว ในที่สุดเจ้าก็รับปากแล้ว…”

จักจั่นขาวคล้ายตื่นเต้นมาก ตะโกนออกมา จากนั้นจู่ๆ เงาร่างก็พริบไหว เปลี่ยนเป็นเด็กสาวร่างเล็กคนหนึ่ง

เด็กสาวอยู่ในชุดกระโปรงสีขาว ผิวนุ่มนวลเกลี้ยงเกลาราวกับหยกขาวที่แวววาวบริสุทธิ์ที่สุดในโลก ผมยาวมัดไว้ตรงท้ายทอย เผยใบหน้าสวยสง่า คิ้วประหนึ่งจันทร์เสี้ยว ดวงตาดุจดั่งหยดหมึก น่ารักอย่างที่สุด

หากไม่เห็นกับตา ใครก็ไม่กล้าเชื่อว่าจักจั่นขาวที่ก่อนหน้านี้เยียบเย็น ฉุนเฉียว และน่ากลัวอย่างที่สุด ดันแปลงร่างออกมาเป็นเด็กสาวชุดขาวที่ดูเหมือนอายุเพียงสิบกว่าปี และรูปลักษณ์ยังน่ารักถึงเพียงนี้”

เด็กสาวมาอยู่ข้างกายชายหนุ่มแล้วเผยรอยยิ้มดีใจ “เจ้าพูดเองนะ ไปๆๆ พวกเราไปกันตอนนี้เลย”

เสียงเปลี่ยนเป็นสดใสและไพเราะเสนาะหู เหมือนกระดิ่งที่แกว่งไกวไปมาอย่างไรอย่างนั้น

“อาไป๋ นี่ถึงจะเหมือนเจ้า”

ชายหนุ่มกล่าวทอดถอนใจประโยคหนึ่ง จากนั้นมองท้องฟ้าพร้อมพูดว่า “เสียงระฆังก็คือสรรพชีวิต กาลเวลาอันไร้สิ้สุดที่ผ่านมา ในที่สุดระฆังนี้ก็ดังขึ้น แต่กลับไม่มีใครฟัง จะเงียบเหงาเพียงใด”

เด็กสาวที่เรียกตัวเองว่าจักรพรรดิขาว แต่กลับถูกเรียกว่าอาไป๋หาวคราหนึ่ง จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

นางรู้ว่าในใจของชายหนุ่มคนนี้มีความปรารถนาอันใหญ่หลวงหนึ่งมาโดยตลอด ปรารถนาให้วันหนึ่งทุกคนบนโลกล้วนสามารถบรรลุอริยะ!

แต่นางเองก็รู้ว่าความปรารถนายิ่งใหญ่นี้เหลวไหลถึงขีดสุด หากต้องการให้เป็นจริง เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!

ดังนั้นนางจึงไม่สนใจอย่างยิ่ง

ชายหนุ่มมองนางแวบหนึ่งแล้วอดส่ายหน้าไม่ได้ กล่าวว่า “ตอนนั้นเคยมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งหลงเข้ามาที่นี่ ข้าเคยพูดคุยกับเขา เจ้าจำได้หรือไม่”

เด็กสาวชะงัก ขมวดคิ้วพูด “เจ้าตัวน้อยที่อยู่ในห้าระดับล่างคนหนึ่ง ข้าคร้านจะจำ”

ชายหนุ่มยิ้มพูด “คุยกับเขาสนุกมาก ตอนนี้คิดๆ แล้ว จู่ๆ ข้าก็นึกถึงใครคนหนึ่ง”

“ใครหรือ” เด็กสาวถามอย่างแปลกใจ

ชายหนุ่มพูด “คนผู้นั้นมาจากคีรีดวงกมล จะว่าไปเด็กหนุ่มคนนั้นก็นับว่าเป็นศิษย์น้องของเขา”

เด็กสาวเหมือนไม่อยากใช้สมองอย่างมาก พูดลวกๆ ว่า “คีรีดวงกมลมีลูกศิษย์หลายสิบคน ทุกคนล้วนแตกต่างกัน ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าหมายถึงใคร”

ชายหนุ่มยิ้มพูด “เจ้ารู้ เพียงแต่เจ้าไม่อยากพูดถึงเขา”

คิ้วคู่ที่ดำราวกับหมึกของเด็กสาวขมวดปม ในสายตาปรากฏไอชิงชัง “เขาหรือ เจ้าสารเลวที่ต่อสู้จนคลั่งนั่นหรือ”

ชายหนุ่มส่ายหน้า “ไม่พูดถึงเขาแล้วกัน บนคีรีดวงกมลมีลูกศิษย์ห้าสิบสี่คน บวกเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นห้าสิบห้าพอดี มหามรรคห้าสิบ อุบัติฟ้าสี่สิบเก้า เจ้าไม่รู้สึกว่าน่าสนใจมากหรือ”

เด็กสาวอึ้งไป

ชายหนุ่มก้าวเท้าออกไปแล้ว ในปากพึมพำเบาๆ “สรรพชีวิตไม่ทุกข์ นรกว่างเปล่า สรรพชีวิตบรรลุอริยะ ปวงสวรรค์กำหนดได้ มรรคนี้ไม่เคยมีมาก่อน ข้าปรารถนาเพียงสิ่งเดียวชั่วชีวิต…”

เสียงเบาแผ่ว ค่อยๆ เลือนรางไป

เด็กสาวยู่ปากพึมพำ “จักจั่นทองนะจักจั่นทอง เจ้าน่าโมโหจริงๆ”

ว่าแล้วนางเองก็รีบตามไป

ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็งที่ยืนตระหง่านราวกับค้ำจุนฟ้า พลันเปลี่ยนเป็นใบไม้หิมะน้ำแข็ง ร่วงลงบนไหล่ของชายหนุ่ม

……

ตูม!

ยอดเขาพินิจมรรค อสนีเคราะห์กึกก้อง ถึงช่วงเวลาสุดท้ายแล้ว

หลินสวินนิ่งไม่ขยับ แต่ร่างกายได้รับบาดเจ็บไม่เหลือสภาพ มีเพียงสารกาย พลังชีวิต และจิตวิญญาณที่ยังคงหนักแน่น นิ่งสงบใจเย็น

ไม่นานเมฆจางสายฟ้าหยุด พิบัติเคราะห์สลาย ฟ้าดินกลับสู่ความสดใสเหมือนอย่างก่อนหน้านี้

บนอากาศร่างกายที่บาดเจ็บของหลินสวินถูกอาบด้วยประกายสายฟ้าสว่างไสว บาดแผลรอบตัวกำลังฟื้นตัวด้วยความเร็วน่าตกใจ

ห่างออกไปจ้าวซิงเย่ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ความสะท้านสะเทือนที่หว่างคิ้วค่อยๆ หาย ถูกการทอดถอนใจเข้าแทนที่

หากไม่ได้เห็นกับตา นางไม่กล้าเชื่อแน่ว่ามีคนสามารถก้าวข้ามมหาเคราะห์ที่เรียกได้ว่าพลิกฟ้า ด้วยวิธีที่นิ่งสงบและใจเย็นขนาดนี้

“ผู้อาวุโส ไปได้แล้วขอรับ”

ไม่นานเสียงของหลินสวินก็ดังขึ้น

จ้าวซิงเย่เงยหน้ามองไปก็เห็นว่าร่างกายของหลินสวินหายเป็นปกติแล้ว ไม่มีอาการบาดเจ็บแม้แต่น้อย อีกทั้งกลิ่นอายทั่วตัวยังเก็บงำและราบเรียบกว่าก่อนหน้านี้

แต่หากสัมผัสอย่างละเอียดก็จะพบว่า ภายใต้ความราบเรียบนี้ พลังที่ซ่อนเร้นอยู่น่ากลัวเพียงใด

นี่ก็คือระดับอมตะเคราะห์ด่านเก้าบนมกุฎมรรคา

ไม่เพียงเท่านี้ จ้าวซิงเย่ยังสังเกตเห็นว่า แม้แต่พลังกายของหลินสวินยังเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจอย่างยิ่ง

“ก่อนหน้านี้เจ้า… ใช้อสนีเคราะห์หลอมกายหรือ” จ้าวซิงเย่อดถามไม่ได้

หลินสวินพยักหน้าตามตรง

การหยั่งมรรคตลอดทั้งเดือนที่หน้ากำแพงหินทำให้เขาได้รับประโยชน์ไม่น้อย ไม่มีข้อผูกมัดและความกังวลต่อการข้ามด่านเคราะห์อีกต่อไป

จึงกล้าใช้พลังอสนีเคราะห์ในการหลอมกาย

หากเป็นเมื่อก่อน เขาไม่กล้าทำเช่นนี้แน่

ตอนนี้พลังหลอมปราณและหลอมจิตของเขาถึงระดับอมตะเคราะห์ด่านเก้าแล้ว พลังหลอมกายผ่านการชำระล้างจากอสนีเคราะห์ และยกระดับอย่างมั่นคงแล้ว อีกไม่นานก็สามารถก้าวสู่ระดับอมตะเคราะห์ด่านเก้าด้วยได้

สิ่งที่ควรค่าแก่การพูดถึงคือ พลังหลอมจิตและหลอมปราณเกื้อหนุนกันมาโดยตลอด ถึงขั้นที่พลังจิตวิญญาณของหลินสวินยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งกว่าพลังหลอมปราณแล้ว

ทุกอย่างล้วนมีความเกี่ยวเนื่องกับการที่เขาฝึก ‘เคล็ดเวทบริกรรม’ มาตั้งแต่เด็ก

อีกทั้ง ‘เคล็ดมหาเวทบริกรรม’ ที่ฝึกฝนในแดนมกุฎ ทำให้พลังจิตของหลินสวินแบ่งจากหนึ่งเป็นสาม ควบคุมพลังอดีต ปัจจุบันและอนาคต และทำให้จนตอนนี้พลังหลอมจิตอยู่ในขั้นที่แข็งแกร่งอย่างไม่เคยมาก่อน

แต่บนมรรคาอมตะ ความสำเร็จที่พลังหลอมจิตจะทำได้ก็สิ้นสุดเพียงเท่านี้

หากอยากจะยกระดับไปอีกขั้น มีเพียงการบรรลุอริยะ!

“จะกลับไปเยี่ยมที่ค่ายก่อนหรือไม่”

จ้าวซิงเย่ถาม

หลินสวินชะงักก่อนจะพูดว่า “นั่นย่อมแน่นอน”

……

วันนั้นเมื่อหลินสวินกลับค่ายจักรวรรดิที่ภูเขาเมฆาคราม ก็ได้รับการต้อนรับอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

งานเลี้ยงยิ่งใหญ่เริ่มขึ้นโดยมีจ้าวซิงเย่เป็นเจ้าภาพ ต้อนรับหลินสวินด้วยตัวเอง

ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดนั่งอยู่ในงาน มองไปยังหลินสวินที่นั่งอยู่ข้างๆ จ้าวซิงเย่ ต่างอดนึกถึงเมื่อสองปีก่อนตอนที่หลินสวินเพิ่งมาถึงค่ายไม่ได้

ตอนนั้นจ้าวซิงเย่ก็จัดงานเลี้ยงต้อนรับหลินสวินเช่นกัน เพียงแต่บรรยากาศตอนนั้นไม่คึกคัก ผู้แข็งแกร่งที่เข้าร่วมก็ไม่มาก

และหลังจากงานเลี้ยงครั้งนั้นไม่นาน หลินสวินได้รับการดูแลเป็นพิเศษมากมาย ทำให้หลายคนต่างอิจฉาริษยา

จนตอนหลังยิ่งมองเขาว่าเป็น ‘มอด’

แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว หลินสวินคนเดียวเอาชนะผู้แข็งแกร่งเก้าคนในศึกถกมรรค ทำให้ทั่วหล้าต่างเงียบงัน

ยิ่งเป็นเพราะความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ทำให้ค่ายจักรวรรดิขจัดความโศกเศร้า พลิกสถานการณ์ ทำลายขุมอำนาจของค่ายพ่อมดเถื่อนและพันธมิตรหมื่นเผ่า!

ตอนนี้เมื่อนึกถึงทั้งหมดนี้ ทุกคนต่างรู้สึกมึนงงเหมือนฝันอยู่บ้างอย่างอดไม่ได้

แน่นอนว่าไม่มีใครพูดถึงคำว่า ‘มอด’ อีก

งานเลี้ยงคึกคักมาก ทุกคนต่างมาคารวะสุรากับหลินสวิน หลินสวินก็ไม่ปฏิเสธ แม้จะเป็นฉินเฟยอวี่มาคารวะสุรา เขาก็ไม่ได้เย็นชาหรือปฏิเสธ

นี่ทำให้หลายคนอดทอดถอนใจไม่ได้

หลินสวินไม่เหมือนพวกเขาจริงๆ มรรคาที่เดินก็ต้องไม่เหมือนแน่

บางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้ จึงไม่ได้ติดใจเรื่องความขัดแย้งและบุญคุณความแค้นเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างกระมัง

คืนนั้นหลังจากจบงานเลี้ยง หลินสวินก็รวมตัวกับพวกสืออวี่ หนิงเหมิง เย่เสี่ยวชี กงหมิง หลี่ตู๋สิงอีกครั้ง คุยกันหลายเรื่องและดื่มเหล้าไปไม่น้อย

หลี่ตู๋สิงเองก็เมาแล้ว เขาที่พูดน้อยมาโดยตลอดพูดมากขึ้นมา ลากทุกคนมาพร่ำบ่นเรื่องไร้สาระ

คืนนี้หลินสวินดื่มเหล้า หัวเราะ รับฟังและจดจำทั้งคืน

เขารู้ว่าต่อไปการจะได้พบเจอ รวมตัวและพูดคุยกันอีก… มีแต่จะน้อยลงเรื่อยๆ…

เช้าวันถัดมาหลินสวินจากไปโดยไม่ร่ำลา จากไปพร้อมกับจ้าวซิงเย่เงียบๆ

ไม่ตายจาก ไม่เรียกจากกัน แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องบอกลา หรือไปส่ง

……………….