WSSTH ตอนที่ 3,028 : ออกมากันแล้ว!
ถึงแม้การลงมือของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก่อนหน้าจะก่อให้เกิดเสียงรบกวนมากแค่ไหน แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย
กล่าวอีกอย่าง ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ยินเลยด้วยซ้ำ
ตอนนี้นอกเหนือจากสำนึกเทวะส่วนหนึ่งที่แผ่ออกไประวังภัยให้สามารถตื่นขึ้นยามมีจิตมุ่งร้ายแล้ว เขาได้ปิดโสตสัมผัสลงอย่างสมบูรณ์ เรียกว่าทุ่มความสนใจไปกับการสัมผัสพลังอำนาจของความลึกซึ้ง ‘ความหมายแห่งเวลา’ อย่างเดียว
ตอนนี้หากนับรวมต้วนหลิงเทียนแล้ว ผู้คนที่กำลังจมสู่ภวังค์สัมผัสความหมายแห่งเวลาบนแท่นศิลาที่ลอยล่องเหนือหุบเขากาลเวลา ก็มีอยู่ 40 กว่าคน เรียกว่าทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งระดับแนวหน้าในบรรดาผู้ที่เข้ามาแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ
สำหรับคนอื่นๆนั้น ยังคงต่อสู้ช่วงชิงอยู่ด้านนอกวังจอมราชันอมตะ เพื่อรอเวลาที่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำจะเปิดออกอีกครั้ง จะได้กลับออกไปจากสถานที่ฆ่าฟันแห่งนี้เสียที
และในระหว่างรอคอยเวลา ก็ไม่มีใครผ่อนคลายความระวัง เพราะรู้ตัวดีว่าอาจถูกผู้อื่นเข่นฆ่าเอาได้ทุกเมื่อ ถึงตอนนั้นหนึ่งชีวิตและคะแนนสะสมที่เหน็ดเหนื่อยได้มา ก็กลายเป็นความสำเร็จของผู้อื่นแล้ว
“เฮ่อ…ไม่รู้ว่าน้องต้วนกับน้องเล็กเป็นอย่างไรกันบ้าง”
ณ เชิงภูเขาไฟที่ระอุแห่งหนึ่ง ปรากฏร่างที่กำลังเหินข้ามธารลาวาเดือดพล่านพึมพำกับตัวเองเบาๆ
เป็นชายหนุ่มรูปงาม ถือหอกยาว 7 ฉื่อในมือ ดูจากสภาพมอมแมมทั้งอิดโรยของมันแล้ว บ่งบอกให้รู้ว่ามันเหน็ดเหนื่อยและอ่อนเพลียไม่น้อย
หากต้วนหลิงเทียนมาอยู่ที่นี่ ก็สมควรจำคนผู้นี้ได้ทันที เพราะมันไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นหวงเจียหลงนั่นเอง!
อีกฝ่ายยังกล่าวได้ว่าเป็นสหายคนแรกของต้วนหลิงเทียน หลังจากที่เขาเดินทางออกจากพื้นที่ชายแดนมายังภาคกลาง
และมองจากชุดคลุมที่ขาดแหว่งทั้งมีรอยเลือดสดๆ ก็บ่งบอกให้รู้ว่ามันสมควรพึ่งผ่านการต่อสู้อันดุเดือดมาเป็นแน่ อย่างไรก็ตามมองจากคนที่ยังมีลมหายใจอยู่ ก็บอกให้รู้ว่ามันเป็นฝ่ายได้ชัย!
“ในที่สุดก็เกินสิบแต้มซะที…”
หวงเจียหลงที่หยิบป้ายหยกสะสมคะแนนขึ้นมาตรวจสอบ พอพบว่าในป้ายมีคะแนนสะสมถึง 11 แต้มแล้ว ใบหน้ามอมแมมของมันก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มสดใสออกมา
อย่างไรก็ตามถึงแม้หวงเจียหลงจะสะสมคะแนนได้เกิน 10 แต้มแล้ว กลับไม่ถูกเรียกหาโดยยวังจอมราชันอมตะ
จากจุดนี้จึงเห็นได้ชัดว่า ความเร็วในการสะสมแต้มของหวงเจียหลง มันช้ากว่าที่วังจอมราชันอมตะกำหนดไว้
และในปัจจุบันนอกจากหวงเจียหลง ก็มีคนอีกไม่น้อยที่มีคะแนนเกิน 10 แต้ม แต่ไม่ได้ไปวังจอมราชันอมตะ
เป็นธรรมดาว่าผู้คนที่ไม่ได้ไปวังจอมราชันอมตะ ก็ไม่ได้รู้เรื่องราวอะไร และยังคงเข่นฆ่าผู้อื่นไม่หยุดยั้งปานเพลิงโหมกระหน่ำ
พวกมันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในแดนสวรรค์ใต้โบราณแห่งนี้ มีสิ่งที่เรียกว่าวังจอมราชันอมตะดำรงอยู่ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นคือสถานที่แห่งโอกาสที่มีค่าที่สุด
โอกาสที่ดีที่สุดในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำแห่งนี้ ก็ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากโอกาสในการทำความเข้าใจความหมายแห่งเวลา ความลึกซึ้งของกฏแห่งเวลาอันเป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุดที่ยากจะพานพบ ซึ่งจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ตั้งใจทิ้งไว้ให้ชนรุ่นหลัง!
เป็นธรรมดาว่าผู้ที่มีโอกาส ก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจความลึกซึ้งอย่างความหมายแห่งเวลาได้เสมอไป เรียกว่าแค่มีโอกาสเท่านั้น
นอกจากนั้นก็ยังมีคนบางส่วนที่ยังนั่งบ่มเพาะพลังอย่างสงบในห้องหับเล็กๆของวังจอมราชันอมตะไม่กล้าออกไปไหน หลีกหนีไฟสงครามและการเข่นฆ่าได้อย่างสมบูรณ์
ในบรรดากลุ่มคนดังกล่าว 1 ในนั้นก็คือหวงเจียเชา!
เหตุไฉนที่คนเหล่านี้ไม่กล้าออกจากห้องหับเล็กๆ ก็ด้วยสำเหนียกถึงพลังฝีมือของตัวเองดี และที่พวกมันมาถึงที่นี่ได้ ก็ด้วยมีคนให้ความช่วยเหลือในการเก็บคะแนนเสียเป็นส่วนใหญ่
ดุจเดียวกับหวงเจียเชา
เหตุไฉนที่ในป้ายหยกสะสมคะแนนของมันถึงมีคะแนนสะสมเกิน 10 แต้มได้ ล้วนเป็นเพราะความช่วยเหลือจากต้วนหลิงเทียนทั้งสิ้น ไม่ใช่ได้มาด้วยพลังฝีมือของตัวเอง
และภายในวังจอมราชันอมตะ สิ่งนี้ถือว่าเป็นการ โกง!
‘ไม่รู้ว่าตอนนี้น้องต้วนเป็นอย่างไรแล้ว…สมควรออกจากห้องหับเล็กๆนี่ไปแสวงหาโอกาสในวังจอมราชันอมตะแล้วกระมัง…’
หวงเจียเชาลอบกล่าวในใจ ‘อย่างไรเสียด้วยพลังฝีมือของน้องต้วน เรื่องเอาตัวรอดคงไม่ยากเย็นอะไร’
คิดถึงจุดนี้ หวงเจียเชาก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ตอนนี้หวงเจียเชาก็ไม่ได้รู้เลย
ว่าต้วนหลิงเทียนที่เข้าไปช่วงชิงโอกาสในวังงจอมราชันอมตะนั้น กล่าวไปยังได้สิ่งดีๆไปมากกว่าใคร…
…
ณ น่านฟ้าเหนือบริเวณใจกลางทะเลสาบอวิ๋นเยียน ใกล้ๆกับบริเวณที่ปรากฏประตูทางเข้าออกกแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ
“หย่งเอ๋อ!!”
เสียงร้องโหยหวนหนึ่งดังขึ้น ดึงดูดความสนใจคนบางส่วนเล็กน้อย เพราะหลายๆคนเริ่มชินชากับเสียงร้องโหยหวนด้วยความโศกเศร้าแล้ว
เพราะคนที่เข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำนั้น เรียกว่าทยอยกันตายตกเรื่อยๆ ผู้ที่เผชิญกับบความสูญเสียยังมีมากกว่าครึ่งเสียอีก
ที่สำคัญผู้ที่ตายตกไป ก็ล้วนมีฐานะความเป็นมาไม่เลวทั้งสิ้น
หูหลินอี้ ฮ่องเต้ฝูชิวพยามกวาดตามองรายชื่อในตารางจัดอันดับ ตั้งแต่รายชื่อแรกจนถึงรายชื่อสุดท้ายอีกครั้ง ราวกับเป็นความพยายามครั้งสุดท้ายที่จะเห็นชื่อลูกชายของมันบนนั้น
อย่างไรก็ตามมันที่ไล่ดูชื่อจนจบอีกรอบ ก็ไม่พบว่าจะมีชื่อหูจี้หย่งอยู่ที่ใดเลย เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายได้ตายตกไปในแดนสววรค์ใต้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
จะอย่างไรหูจี้หย่งก็คือบุตรชายที่โดดเด่นที่สุดของมัน การตายของอีกฝ่ายย่อมทำให้มันเศร้าโศกเสียใจไม่น้อย แต่อย่างไรก็ตามพอได้ยินเสียงอุทานหนึ่ง มันก็ดึงสติกลับมาจากความเศร้าทันที
“อันดับแรก เปลี่ยนคนแล้ว!!”
และทันทีที่เสียงอุทานดังกล่าวดังขึ้น ทุกคนก็หันขวับไปจับจ้องรายชื่อบนสุดของตารางจัดอันดับอย่างพร้อมเพรียง
กระทั่งหูหลินอี้ที่เศร้าโศกกับการตายของบุตรชายอยู่ ก็ยังเผลอหันไปมองโดยไม่รู้ตัว
“หลิงเจวี๋ยอวิ๋น!?”
หลังจากที่เห็นว่าอันดับ 1 อย่างมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวถูกหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแทนที่ ร่างหูหลินอี้ก็สะท้านไปเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มกวาดตามองอันดับถัดมาทันที
อันดับที่ 2 นั้นแต่เดิมเป็นของต้วนหลิงเทียน
ทว่าตอนนี้อยู่ดีๆหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่รั้งอยู่ในอันดับ 3 มานานกลับกลายไปเป็นที่ 1 ซึ่งแซงอีก 2 คนไปในคราวเดียว ทำให้ต้วนหลิงเทียนแต่เดิมอยู่ในอันดับ 2 ก็ตกไปอยู่อันดับที่ 3 ทันที!
เห็นความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว สีหน้าหูหลินอี้ยิ่งกลายเป็นอัปลักษณ์ดูไม่ได้!
ลูกชายประเสริฐของมันพึ่งตกตายไปได้ไม่ทันไร…
มาตอนนี้อันดับของตัวความหวังอย่างต้วนหลิงเทียน ยังตกจากที่ 2 ไปอยู่ที่ 3 อีก! เรียกว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัดมันโดยแท้!!
“หือ?”
อย่างไรก็ตามในขณะที่ใจหูหลินอี้ดิ่งลง และกำลังจะสายตาออกจากตารางจัดอันดับโดยไม่รู้ตัว มันก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่ารายชื่ออันดับที่ 2 กับ 3 บังเกิดความเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
ต้วนหลิงเทียนนั้น ไต่กลับมาอยู่ในอันดับที่ 2 อีกรอบ! ส่วนมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ร่วงตกจากที่ 2 มาเป็นที่ 3 แทน!!
“เป็นไปได้อย่างไรกัน!?”
นอกจากยอดเซียนอมตะอย่างมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวที่เข้าสู่แดนนสวรรค์ใต้โบราณ คนของตระกูลมู่หรงที่มาก็มีผู้อาวุโสอีก 2 คน พอพวกมันเห็นว่าอันดับของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวตกจากที่ 1 ไปอยู่ที่ 3 ในพริบตาเดียว สีหน้าก็บิดเบี้ยวไปทันที คล้ายไม่อยากจะยอมรับผลลัพธ์ดังกล่าว
“3 อันดับแรกไร้ความเปลี่ยนแปลงมานาน…ไม่คิดเลยว่าพอบังเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมา จะพลิกผันกลับกลายครั้งใหญ่ มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวคนนั้นร่วงจากอันดับที่ 1 ไปยังอันดับที่ 3 เฉยเลย!”
“หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับต้วนหลิงเทียนนั่นมิใช่ผู้ฝึกตนอิสระจากดินแดนพันประเทศหรือไร…ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ผู้ฝึกตนอิสระจากดินแดนพันประเทศร้ายกาจขนาดนี้?”
“นั่นสิ ผู้ฝึกตนอิสระสองคนนี้นับว่าผิดปกติยิ่ง…ในอดีตไม่ว่าแดนสวรรค์ใต้โบราณเปิดออกกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก็ไม่เคยมีผู้ฝึกตนอิสระทำผลงานได้ยอดเยี่ยมเท่าพวกมันมาก่อน”
“มิผิด ไม่เคยมีผู้ฝึกตนอิสระคนใดทำผลงานได้ดีขนาดนี้มาก่อนเลย แต่คราวนี้นับว่าผู้ฝึกตนอิสระได้สร้างผลงานที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ขึ้นมาแล้ว!”
……
เนื่องเพราะอยู่ๆมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ร่วงจากอันดับ 1 มาอยู่ที่ 3 ผู้คนที่ลอยเหนือทะเลสาบอวิ๋นเยียนก็เริ่มฮือฮาขึ้นมาไม่น้อย
ราวๆครึ่งเดือนต่อมา
ความว่างเปล่าเหนือบริเวณใจกลางทะเลสาบอวิ๋นเยียน อยู่ๆก็เริ่มบังเกิดการสั่นสะเทือน จากนั้นก็เริ่มปรากฏประตูบานหนึ่งผุดโผล่ออกมาจากความว่างเปล่าอย่างอัศจรรย์ เป็นประตูบานเดียวกันกับที่เปิดออกให้ผู้คนเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ!
“ทุกคนกำลังจะกลับออกมาแล้ว!”
“ในที่สุดทางออกแดนสวรรค์ใต้โบราณก็เปิดออกเสียที”
“ดูเหมือนว่าในที่สุดจำนวนคนที่เข้าไปด้านในก็เหลือแค่ 3 ส่วน…นับว่าการเปิดออกของแดนสวรรค์ใต้โบราณครานี้ มีผู้คนตายตกไปมากกว่าครั้งก่อนจริงๆ”
…
เมื่อเห็นประตูที่อยู่ๆก็ผุดโผล่ขึ้นมาจากความว่างเปล่า เหล่าคนของขุมกำลังต่างๆที่ลอยล่องอยู่บนฟ้าเหนือใจกลางทะเลสาบอวิ๋นเยียน ก็ตระหนักว่าแดนสวรรค์ใต้โบราณกำลังจะเปิดออกให้ผู้คนด้านในกลับออกมาแล้ว
“แดนสวรรค์ใต้โบราณเปิดออกคราวนี้ มิคิดเลยว่าจะมีคนที่เข้าใจความลึกซึ้งแห่งกฏ 2 ประการตกตายไปถึง 4 คน…ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เรื่องพรรค์นี้ไม่เคยมีมาก่อนจริงๆ”
“นั่นสิ สุมาฉุน ตงฟางจิ่นหลุน หลี่หยวน อวิ๋นจ้าน…ทั้ง 4 ล้วนเป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดระดับแนวหน้าในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวเรา แต่ไม่คิดเลยว่าทั้งหมดกลับต้องเอาชีวิตไปทิ้งในแดนสวรรค์ใต้โบราณ…”
“ข้าไม่ทราบจริงๆว่าใครเป็นคนสังหารพวกมันกันแน่…หลิงเจวี๋ยอวิ๋น? ต้วนหลิงเทียน? มู่หรงเซี่ยวเซี่ยว หรือที่แท้มีคนกลุ้มรุมสังหารพวกมัน”
“ข้าเองก็เดาไม่ออกจริงๆ…คนที่ได้ 3 อันดับแรกอย่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียน และมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว นับว่าคะแนนไม่หนีกันเลย ถึงคะแนนมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวจะน้อยกว่าอันดับที่ 2 อย่างต้วนหลิงเทียน แต่ก็น้อยกว่ากันแค่ 12 แต้มเท่านั้น”
“อีกทั้งอันดับที่ 4 ลงไป คะแนนก็แทบจะไล่เลี่ยกันเลย…ยากจะบอกได้จริงๆว่าเป็นผู้ใดเข่นฆ่าสุมาฉุนกับคนอื่นๆกันแน่”
…
การเปิดออกของแดนสวรรค์ใต้โบราณรอบนี้ การตายที่ทำให้ผู้คนสนใจมากที่สุดก็คือการตายของคนสี่คน สุมาฉุน ตงฟางจิ่นหลุน หลี่หยวน และอวิ๋นจ้าน
ในบรรดา 4 คนที่ว่า
สุมาฉุนกับตงฟางจิ่นหลุนนั้นเป็นอัจฉริยะของตระกูลระดับ 7 อย่างตระกูลสุมาและตระกูลตงฟาง เรียกว่าเป็นอัจฉริยะในรอบหลายพันปีด้วยซ้ำ
หลี่หยวนเองก็เป็นอัจฉริยะอันดับ 1 ในรอบหลายพันปีของขุมกำลังระดับ 8
สำหรับอวิ๋นจ้านนั้น ค่อนข้างพิเศษหน่อยเพราะมันเป็นถึงผู้อาวุโสคนหนึ่งของขุมกำลังระดับ 8 และที่สำคัญมีอายุเป็นพันปีแล้ว เรียกว่ามันจงใจระงับด่านพลังฝึกปรือเพื่อเข้าไปแสวงหาโอกาสในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำโดยเฉพาะ!
ทั้ง 4 คนไม่ว่าใครก็เข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 2 ประการทั้งสิ้น พลังฝีมือเรียกว่าร้ายกาจอย่างหาตัวจับยากในบรรดาขอบเขตยอดเซียนอมตะ!
โดยปกติแล้ว ด้วยพลังฝีมือของทั้ง 4 การเข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ก็เสมือนการเข้าไปเดินเล่นชมสวน สมควรไร้อันตรายใดๆทั้งสิ้น และเรื่องจะติดอยู่ใน 10 อันดับแรกก็แทบจะเป็นเรื่องที่นอนมา…
ทว่าตอนนี้ไม่เพียงแต่ทุกคนจะล้มเหลวในการติด 10 อันดับแรก กระทั่งยังเอาชีวิตไปทิ้งในแดนสวรรค์ใต้โบราณอีกด้วย!
“อาจมีคนกลุ้มรุมฆ่าพวกมันจริงๆ…หรือไม่แน่ก็อาจมีโชควาสนาอันใดในแดนสวรรค์ใต้ที่มีอันตรายใหญ่หลวง สุดท้ายไม่เพียงจะพลาดสมบัติ แต่ยังถึงขั้นตกตาย”
“มิผิด ไม่อาจตัดความเป็นไปได้ 2 ประการดังกล่าว”
…
ในขณะที่ทุกคนกำลังถกกันถึงเรื่องความตายของทั้ง 4 ประตูบานใหญ่ที่ผุดโผล่ออกมาท่ามกลางความว่างเปล่า ก็เริ่มเปิดออก
ขณะเดียวกันยอดฝีมือบางคนก็สัมผัสได้ถึงพลังลี้ลับทรงอำนาจหนึ่ง ที่กำลังส่งตัวผู้คนด้านในออกมา
“เอ๋? ที่นี่มันที่ไหนกัน?”
“ที่นี่มัน…ข้าออกมาแล้วเหรอ มิใช่ว่าเมื่อครู่ข้ายังอยู่ในหุบเขาหิมะรึไง?”
“นี่มันอะไรกัน ข้าออกมาแล้ววเหรอ…แต่ไฉนข้ารู้สึกเสมือนมีอะไรบางอย่างขาดหาย…ราวกับข้าหลงลืมอะไรไป”
“ข้าออกมาที่นี่ได้ยังไงกัน…เท่าที่ข้าจำได้ ข้าไม่เคยหมดสติอะไรเลยนี่นา?”
…
กลุ่มคนที่อยู่ๆก็ถูกส่งตัวออกมา สิ่งแรกที่กระทำคือหันรีหันขวางด้วยสีหน้างุนงง แต่ละคนคล้ายสูญเสียความทรงจำไป และไม่รู้ตัวแม่แต่น้อยว่าไฉนถึงกลับออกมาได้
และกลุ่มคนที่ถูกส่งตัวออกมากลุ่มแรกสุดเหล่านี้ ก็คือผู้ที่อยู่ในวังจอมราชันอมตะนั่นเอง
“เจียเชา?”
ต้วนหลิงเทียนที่หันรีหันขวางด้วยความงุนงงสงสัย ไม่นานก็พบเห็นหวงเจียเชายืนงงอยู่ท่ามกลางฝูงชนเหมือนกัน