บทที่ 698.2 ถึงขนาดนั้นแหละ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันพยักหน้า ยกมือขึ้นโบกเบาๆ “ดูท่าพี่เฝ่ยหรานคงพอจะมีความรู้อยู่บ้าง ถูกต้องแล้ว ถูกเจ้าจับได้ซะแล้ว บนโลกนี้มีคำโคลงรวมตัวอักษร แล้วก็มีกลอนรวมประโยค บทกลอนเซียนท่องเที่ยวบทนี้ของข้าก็เหมือนวิชาอสนีกลางฝ่ามือของข้าที่ถูกรวบรวมมา”

เฝ่ยหรานขี่กระบี่จากไปไกล

เฉินผิงอันฟุบตัวอยู่บนหัวกำแพงเมือง เปิดอ่านบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มนั้นต่ออีกครั้ง คราวนั้นพอโยนมันทิ้งจากหัวกำแพงเมืองไปแล้ว เขาก็รู้สึกเสียใจภายหลังทันที ต้องรีบร่ายวิชาหดย่อพื้นที่ไปยังขีดตัวอักษรใหญ่บนผนังกำแพง คว้าเอาหนังสือที่ปลิวไปตามลมเล่มนั้นกลับมา หนังสือทั้งเล่มถูกเขาเปิดอ่านจนจำได้หมด ต่อให้ท่องมาจากด้านหลังก็ยังไม่เป็นปัญหาสำหรับเฉินผิงอัน

เพราะว่าวัตถุจื่อชื่อถือเป็นของนอกกายสำหรับกำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งนี้ ดังนั้นขอแค่เฉินผิงอันกล้าหยิบออกมา ต่อให้อยู่ตรงหัวกำแพงเมืองอีกฝั่งหนึ่งที่ห่างจากหลงจวินมากที่สุด ก็ยังจะชักนำกระบี่ของอีกฝ่ายมาได้อยู่ดี ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่มีกระดาษและพู่กัน คิดจะเขียนข้อสรุปคำอธิบายไว้บนหนังสือจึงได้แต่ใช้ปราณกระบี่เล็กบางกลุ่มหนึ่งต่างพู่กัน แล้ว ‘เขียนตัวอักษร’ ลงบนจุดที่ว่างเปล่าเบาๆ ต่อให้ไม่มีตบะขอบเขตหยกดิบอะไร แต่ด้วยความสามารถในการมองเห็นของเฉินผิงอัน ตัวอักษรเหล่านั้นก็ล้วนมองเห็นได้อย่างชัดเจน

ทุกครั้งที่เปิดอ่านหน้าหนึ่ง ก็จะต้องเปลี่ยนสถานที่ไปอ่านจุดอื่น ไม่ก็ไปนั่งอยู่ในตัวอักษรใหญ่บนผนัง บ้างก็เดินไปบนหัวกำแพงเมือง หรือไม่ก็เดินกลับหัวอยู่บนทางเดินม้า มีบางครั้งจะทะยานลมไปตรงม่านฟ้าเหนือหัวกำแพงเมืองในเสี้ยววินาที เพียงแต่ว่าทุกวันนี้ม่านฟ้าไม่สูงเลยจริงๆ ห่างจากหัวกำแพงเมืองมาแค่ห้าร้อยจั้งเท่านั้น หากขยับขึ้นไปด้านบน พอหลงจวินปล่อยกระบี่ออกมาแล้ว ปราณกระบี่ที่กระบี่บินทิ้งไว้ก็จะสามารถทำร้ายร่างกายของเฉินผิงอันได้อย่างแท้จริง

ไม่รู้ว่าเหตุใด หลงจวินถึงได้ไม่สนใจหนังสือที่เป็นของนอกกายเช่นเดียวกับวัตถุจื่อชื่อเล่มนี้ ปล่อยให้เฉินผิงอันอ่านหนังสือแก้เบื่อได้ตามใจ ไม่เคยปล่อยแสงกระบี่เข้าใส่

เฉินผิงอันจึงทำพิธีกรรมในเปลือกหอย (เปรียบเปรยว่าทำเรื่องใหญ่ในสถานที่คับแคบ) แอบทำเรื่องเล็กๆ อย่างหนึ่ง นั่นคือเอาตัวอักษรทุกตัวตั้งแต่ในหนังสือไปจนถึงนอกหนังสือมาหลอมเล็กอย่างระมัดระวังก่อน จากนั้นก็เก็บเอาไว้ในชายแขนเสื้อ ดังนั้นวันนี้เมื่อเฉินผิงอันเปิดตำราเล่มนี้อ่านอีกครั้ง อันที่จริงตัวอักษรที่ใช้ในชีวิตประจำวันสองพันกว่าตัวบนหน้าหนังสือล้วนถูกดึงออกไปหมดแล้ว เป็นเหตุให้เนื้อหาในหน้าหนังสือมีจุดที่ว่างเปล่าค่อนข้างเยอะ ขาดๆ หายๆ คล้ายเจ้าตัวน้อยแต่ละตัวที่ถูกบีบให้ต้องย้ายบ้าน ถูกเฉินผิงอันลากคอเสื้อจึงร้องไห้สะอึกสะอื้นออกเดินทางจากบ้านเกิดไปเยือนสถานที่ห่างไกล

ตัวอักษรอ่านยากบางตัวที่เหลือโดดเดี่ยวเพียงลำพัง ส่วนใหญ่มักจะปรากฏตัวกันอยู่เป็นคู่ ตอนนี้ยังไม่ได้ถูกเฉินผิงอันไล่ให้ย้ายบ้าน

น่าเสียดายที่ไม่อาจรวบรวมเป็นแซ่ร้อยตระกูลเล่มหนึ่งได้ แล้วก็ไม่สามารถนำมารวมกันเป็นบทความพันตัวอักษรบทหนึ่งได้

การหลอมเล็กให้ตัวอักษรเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่ได้มีประโยชน์ที่แท้จริงอะไร

ต่อให้ตัวอักษรสามแสนตัวในบันทึกทั้งเล่มจะถูกเฉินผิงอันหลอมเล็กทั้งหมด เป็นเหตุให้หนังสือทั้งเล่มเหลือเพียงกระดาษขาว ก็หนีไม่พ้นว่าในจักรวาลชายแขนเสื้อมีเจ้าตัวน้อยคร่ำครึที่ไร้ชีวิตชีวาโผล่มาเพิ่มเท่านั้น ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็เลียนแบบเผยเฉียนกับหลี่ไหวที่จะให้พูดว่าพวกมันคือกองทัพม้าสามแสนนายใต้บังคับบัญชาตัวเองไม่ได้ แต่พอเบื่อมากเข้าจริงๆ เฉินผิงอันก็จะเอาตัวอักษรที่ผ่านการหลอมเล็กมาแล้วพวกนั้นมาจัดเรียงเป็นขบวนรบ สะบัดออกมาจากชายแขนเสื้อให้หล่นลงบนหัวกำแพงเมือง แบ่งออกเป็นสองฝั่ง ตัวอักษรไม่มาก ‘ทหารม้า’ จึงมีน้อย ทุกครั้งอย่างมากสุดก็แค่ยี่สิบสามสิบตัวเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นตัวอักษรที่ใช้ในชีวิตประจำวันซึ่งปรากฏอยู่ในหน้าหนังสืออีกหลายจุดด้วย หลีกเลี่ยงไม่ให้วันใดน้ำเข้าสมองหลงจวินแล้วปล่อยกระบี่มาทำลายทุกอย่างของเขาพังหมด

เฉินผิงอันจะให้เจ้าตัวน้อยที่เหมือนสวมชุดสีดำเหล่านั้นหล่นลงบนหัวกำแพงเมือง เรือนกายส่ายไปส่ายมา ฝีเท้าเนิบช้า เหมือนเด็กเกเรสองกลุ่มในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดที่มะรุมมะตุ้มตีกันด้วยเรี่ยวแรงไม่มาก

วันนี้เฉินผิงอันรู้สึกกระตือรือร้นในการหลอมตัวอักษรมาก เอาคำว่า ‘เฉินผิงอัน’ ในตำรามาหลอมพร้อมกันให้เสร็จรวดเดียว หลอมไปมากถึงหลายร้อยตัวอักษร แล้วเอาตัวอักษรที่หลอมเล็กได้หนึ่งพันห้าร้อยตัวมาหลอมรวมกันเป็นตัวอักษรเดียว

จากนั้นเฉินผิงอันก็สะบัดตัวอักษรสองตัวออกมาจากชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง

แล้วค่อยสั่งพวก ‘เฉินผิงอัน’ ออกมา พวกมันรวมตัวอยู่ด้วยกันอย่างหนาแน่น ทุกสามตัวอักษรจะยืนเคียงไหล่กัน จึงกลายเป็นเฉินผิงอันคนหนึ่ง

ดังนั้นจึงมีตัวอักษรสองตัว ตัวหนึ่งคือหนิง ตัวหนึ่งคือเหยา

คือหนิงเหยา

คล้ายว่ามีนางคนเดียวที่กำลังคุมเชิงกับพวกเฉินผิงอันที่ไม่ใช่เฉินผิงอัน (เฉินผิงอันสองชื่อนี้เขียนคนละแบบ อ่านเหมือนกัน)

จากนั้น ‘หนิงเหยา’ ก็เดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เฉินผิงอันห้าร้อยตัวก็เริ่มร่างสายโงนเงน สุดท้ายคล้ายเมาเหล้าจึงยืนไม่ไหว พากันล้มกองอยู่บนพื้น

เฉินผิงอันนั่งยองอยู่บนหัวกำแพงเมือง เอามือสองข้างสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ เห็นภาพนี้แล้วก็คลี่ยิ้มกว้างสดใส

ชุดคลุมสีแดงสดแผ่ปูอยู่บนพื้น

อิ่นกวานหนุ่มในวันนี้ไม่รู้สึกเหงามากมายเหมือนเดิมแล้ว

และก็เป็นครั้งแรกที่เขาไม่รู้สึกว่าแม่น้ำแห่งกาลเวลาไหลรินช้าเกินไป

บนหัวกำแพงเมืองอีกฝั่งหนึ่ง หลงจวินเรียกกระบี่หนึ่งออกมา และกระบี่นี้ไม่ได้หยุดแค่พอสมควรเหมือนอย่างที่เคย แต่พลังอำนาจยิ่งใหญ่อย่างมาก

ต่อให้แสงกระบี่นั้นจะพุ่งมาบนหัวกำแพงเมืองที่ตนอยู่ได้หลายสิบลี้ในชั่วเสี้ยววินาที

ปณิธานกระบี่เข้มข้นมาก ปราณกระบี่ยาวมาก ทิ้งเส้นยาวตั้งแต่หน้าผาจุดที่หลงจวินเรียกกระบี่ลามมาถึงตรงนี้

เฉินผิงอันก็ยังแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

รอกระทั่งแสงกระบี่พุ่งมาได้ครึ่งทาง เฉินผิงอันถึงลุกขึ้นยืนแล้วเริ่มใช้ขอบเขตเก้าของผู้ฝึกยุทธมาถามหมัดกับกระบี่

เรือนกายแหลกสลายครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วก็มารวมตัวกันใหม่อีกครั้งตรงหน้าแสงกระบี่ที่พุ่งเข้าหาตัวอักษรเล็กครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะออกหมัดอีกครั้ง

สุดท้ายเฉินผิงอันใช้ขอบเขตยอดเขาของผู้ฝึกยุทธ ใช้สองมือเปล่าต่อยให้แสงกระบี่เส้นนั้นแหลกสลายไปอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งยังมาที่ริมหน้าผา กระทืบสองเท้าลงบนพื้นหนักๆ ร่ายกายธรรมเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่ใหญ่โตดุจขุนเขารวมรวบปราณวิญญาณฟ้าดินรอบด้านมาทำเป็นกระบี่ สองมือถือกระบี่ฟันเข้าใส่ชุดคลุมสีเทาที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของหน้าผา

กายธรรมใหญ่ยักษ์ที่มีดวงตาทั้งคู่เป็นสีทองพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังกังวาน “ช่วยเพิ่มปณิธานหมัดให้แก่ข้า ขอบคุณหลงจวิน!”

หลงจวินโบกมือ ผลักหญิงสาวที่กำลังบำรุงปณิธานกระบี่ สร้างความมั่นคงให้จิตกระบี่อยู่ด้านข้างถอยห่างออกไปร้อยกว่าจั้ง ตัวเองมาหยุดอยู่ตรงริมหน้าผา ไม่เห็นว่าเรียกกระบี่ออกมา แล้วก็ไม่เห็นทีท่าว่าจะลงมือ

กระบี่ยาวในมือของกายธรรมฝั่งตรงข้ามปริแตกไปแล้ว กายธรรมก็ล้มครืนตามกันไปด้วย

กายธรรมเซียนกระบี่กลับปรากฏตัวอีกครั้ง กระบี่ยาวก็ฟันเข้าแสกหน้าหลงจวินอีกครั้ง

เวลาหนึ่งก้านธูปเต็มๆ หลงจวินยืนนิ่งไม่ขยับ กระบี่ยาวของกายธรรมล้วนไม่อาจเข้าใกล้ชุดสีเทานั้นได้

ย่อมต้องมีปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนจากฟ้าดินที่มาคุมเชิงรับมือกับคนหนุ่มผู้นั้นเอง

สุดท้ายเมื่อกายธรรมปริแตก ในที่สุดเฉินผิงอันก็หยุดการออกกระบี่ที่ไร้ความหมาย พุ่งตัววูบกลับไปตำแหน่งเดิม เก็บเอาตัวอักษรที่ผ่านการหลอมเล็กเหล่านั้นมา

หลิวป๋ายมายืนอยู่ข้างกายหลงจวินริมหน้าผาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ถามเสียงเบาว่า “ปณิธานหมัดของเขาเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วนแล้วจริงหรือ?”

ความต่างระหว่างผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขากับผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ ก็เหมือนความต่างระหว่างเซียนกระบี่ใหญ่อย่างพวกน่าหลันเซาเหว่ย เยว่ชิง หมี่ฮู่กับพวกเซียนกระบี่ผู้เฒ่าขอบเขตบินทะยานทั้งหลายของกำแพงเมืองปราณกระบี่

“เขาพูดให้พวกผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจใต้ฝ่าเท้าฟัง ปณิธานหมัดไม่ได้เพิ่มขึ้นแม้แต่น้อย พูดจาเหลวไหลส่งเดช จงใจทำให้ข้าสะอิดสะเอียนเท่านั้น”

แล้วหลงจวินก็รู้สึกระอาใจอย่างยิ่ง ก่อนจะเอ่ยอธิบายให้แม่นางน้อยที่แท้จริงแล้วฉลาดมาก มีเพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเฉินผิงอันเท่านั้นที่จะคิดอะไรไม่ออกฟังอย่างอดทน “บนระดับความสูงของผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขานี้ สภาพจิตใจของผู้ฝึกยุทธล้วนไม่แย่ โดยเฉพาะหมาบ้าที่ชอบถามใจตัวเองที่สุดอย่างเขา หากกระบี่ของข้าทำลายเรื่องดีๆ ของเขา ไฟโทสะของเขาเป็นเรื่องจริง ทว่าความฮึกเหิมของผู้ฝึกยุทธกลับยากที่จะยกระดับไปถึงจุดสูง ไหนเลยจะพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้นได้ง่ายดายเพียงนี้ หลังจากเป็นอิ่นกวาน เคยเห็นสนามรบใหญ่กับตาตัวเองมาก่อน เดิมทีนั่นก็คือกรงขังแห่งวิถีวรยุทธของเขา เพราะยากที่จะมีความยินดีที่ยิ่งใหญ่หรือความเสียใจที่ยิ่งใหญ่อะไรอีก ดังนั้นอันที่จริงเส้นทางหัวใจของเขาได้เดินขยับไปใกล้ปลายทางของเส้นทางหัวขาดนำหน้าขอบเขตและร่างกายไปก่อนแล้ว มีเพียงศึกตัดสินเป็นตายเท่านั้นที่ถึงพอจะเอามาขัดเกลาเรือนกายได้”

หลิวป๋ายพยักหน้ารับเบาๆ อย่างเห็นด้วย

ชุดแดงสดพลันมาโผล่ริมหน้าผาอีกครั้งอย่างไม่มีลางบอกเหตุ คราวนี้เอาดาบแคบพิฆาตมาด้วย สองมือกดลงบนด้ามดาบเบาๆ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “แม่นางหลิวป๋าย เจ้าคิดว่าผู้อาวุโสหลงจวินของพวกเราท่านนี้เป็นคนที่ชอบพูดมากนักหรือ? ในเมื่อไม่ใช่ เหตุใดถึงพร่ำพูดมากมายเพียงนี้? ความหมายลึกซึ้งของเขา เจ้าต้องไตร่ตรองดูให้ดีนะ ฝึกกระบี่ไม่ฝึกจิตใจ ขอบเขตจะถดถอยเอาได้”

หลิวป๋ายหลุดหัวเราะพรืด “เจ้ากลับไม่พูดมากเลยแม้แต่น้อย”

เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ก็เป็นเพราะข้ากลัวว่าแม่นางหลิวป๋ายฟังคำอธิบายของผู้อาวุโสหลงจวินที่ยิ่งปิดยิ่งฉาวโฉ่แล้ว แม้ปากจะรับอ้อๆๆ สีหน้าอืมๆๆ แต่แท้จริงแล้วในใจกลับด่าว่ามารดาเจ้าเถอะเจ้าโจรเฒ่าหลงจวินหน่ะสิ”

เฉินผิงอันส่ายหน้าพูดกับตัวเอง “เทพเซียนบนภูเขา ขอแค่มีใจกึ่งเชื่อกึ่งกังขา การคาดเดาบังเกิด ก็เหมือนผีที่ถือกำเนิดขึ้นมาอย่างลับๆ นี่ข้าก็ช่วยผู้อาวุโสหลงจวินกำจัดข้อกังขาไม่ใช่หรือ แค่นี้ยังไม่เข้าใจอีกหรือไร? แม่นางหลิวป๋าย ข้าไม่ได้ตำหนิเจ้าจริงๆ นะ แต่หากพวกเราประลองบุ๋นกัน ข้ายังกลัวว่าจะตบหัวเจ้าให้เละ หักคอเจ้าให้หัก แล้วผู้อาวุโสหลงจวินจะขวางก็ขวางไม่อยู่ วันนี้เรื่องที่หลงจวินช่วยเพิ่มปณิธานหมัดให้แก่ข้า ยอมไว้หน้าข้า เจ้าก็อย่าปากมากเอาไปเล่าให้พี่โจวมี่ฟังเล่า”

สายตาของหลิวป๋ายเริ่มค่อยๆ เด็ดเดี่ยว นางถึงขั้นเดินออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว เดินเลยชุดคลุมสีเทานั้นมา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่ว่าเจ้าพูดอะไร ทำอะไร แค่ไม่ต้องมีความคิดอะไรเกิดขึ้น ไม่ต้องถือสาอะไรเจ้าก็พอแล้ว เจ้าไม่ต้องขอบคุณที่หลงจวินช่วยเพิ่มปณิธานหมัด หรือหากจะขอบคุณจากใจจริงก็ได้เหมือนกัน แต่ข้ากลับต้องขอบคุณที่เจ้าชวยซ่อมแซมจิตแห่งกระบี่ของข้า ขอบคุณจากใจจริง!”

หลงจวินพยักหน้าเบาๆ ควรจะเป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว

เฉินผิงอันเงียบไปพักใหญ่

อันที่จริงหลิวป๋ายมีความคิดเช่นนี้ก็ถูกต้องแล้ว

แต่ว่ามีประโยชน์หรือ?

สำหรับนางแล้วอาจไม่มีประโยชน์เสมอไป แต่กับเฉินผิงอันกลับกลายเป็นว่ามีประโยชน์จริงๆ

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า จิตมารได้ถือกำเนิดขึ้นเพราะข้า จิตแห่งกระบี่ก็ถูกข้าซ่อมแซมให้อีกหลายส่วน นี่ก็คือจิตมารใหม่อีกอย่างหนึ่งแล้ว ถึงขั้นที่ว่าจุดบกพร่องในจิตมารยังน้อยลงกว่าเดิม เชื่อเรื่องนี้หรือไม่ จะถามหลงจวินหรือไม่ ก็แล้วแต่เจ้า”

หลงจวินถอนหายใจหนึ่งที “หลิวป๋าย เปลี่ยนสถานที่ฝึกกระบี่เถอะ เขากำลังใช้เจ้ามาพินิจมรรคาทำความเข้าใจกับจิตมาร”

มิน่าเล่าทั้งๆ ที่คนผู้นี้ไม่เห็นหลิวป๋ายอยู่ในสายตา ไม่เคยเห็นนางเป็นศัตรู แต่กลับจงใจมาที่นี่ครั้งแล้วครั้งเล่าก็เพื่อทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้ในใจนาง

เฉินผิงอันชำเลืองตามองชุดคลุมสีเทา มีปีศาจใหญ่บนบัลลังก์มากมายขนาดนั้น แต่กลับทิ้งหลงจวินผู้นี้ไว้บนหัวกำแพงเมือง

หลงจวินยิ้มกล่าว “หมาบ้าจะกัดคนอีกแล้วหรือ?”

หลิวป๋ายจากไปอย่างหม่นหมอง นางไม่ได้ขี่กระบี่ เพียงเดินไปบนหัวกำแพงเมือง

เฉินผิงอันกลับนั่งลงบนหน้าผา หลุบตาลงมองกระแสกองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจใต้ฝ่าเท้าที่อยู่ห่างไปไกล จากนั้นก็ถอนสายตากลับ ทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง ใช้ดาบแคบพิฆาตต่างหมอน พึมพำกับตัวเองว่า “อดจินตนาการยามถึงบ้านไม่ได้ เด็กน้อยจับชายเสื้อของข้า ยิ้มรอจนข้าผมขาวโพลน”

หลงจวินยิ้มกล่าว “ข้าไม่มีความกลัดกลุ้มนี้ เจ้าเองก็ยิ่งไม่อาจกลับคืนบ้านเกิดได้”

เฉินผิงอันร้องเอ๊ะหนึ่งที รีบลุกขึ้นนั่ง ถามอย่างสงสัย “ทำไมเจ้าฟังภาษาคนรู้เรื่องด้วยเล่า?”

หลงจวินไม่ถือสา ย้อนถามว่า “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดถึงไม่สกัดกั้นการมองเห็นของที่แห่งนี้?”

เฉินผิงอันพยักหน้า “ก็เหมือนกับหิมะใหญ่สองครั้งที่ทยอยกันตกมาก่อนหน้านี้ จากคนประหยัดกลายเป็นคนฟุ่มเฟือยได้ง่าย แต่จากคนฟุ่มเฟือยจะเป็นคนประหยัดกลับยาก อันที่จริงข้ารอเจ้ามานานมากแล้ว”

หลงจวินพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “งั้นก็รอต่อไปเถอะ อย่างมากสุดครึ่งปี ไม่เพียงแต่แม้ดวงตะวันจันทราก็ล้วนมองเห็นอย่างชัดเจน อีกไม่นานการออกหมัดออกกระบี่ของเจ้า ข้าก็จะไม่ขัดขวางแล้ว พอเป็นแบบนี้อันที่จริงเจ้าน่าสังเวชยิ่งกว่าเฉินชิงตูเสียอีก”

ที่แท้เฉินผิงอันก็ไม่สามารถมองเห็นชุดคลุมสีเทาของหลงจวินได้อีกแล้ว ในความเป็นจริงแล้วภาพเหตุการณ์ทั้งหมดของหัวกำแพงเมืองฝั่งตรงข้ามล้วนเลือนหายไปจากการมองเห็นของเขา

ก้มหน้ามองไป เผ่าปีศาจที่พากันกรูไปยังใต้หล้าไพศาลก็มองไม่เห็นแล้วเหมือนกัน

เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง จุดที่ห่างไปไกลมีหิมะหล่นลงมาช้าๆ ยังพอจะมองเห็นได้อย่างเลือนราง

ต่อให้วันหน้าจะมองไม่เห็นแล้ว แต่จะเป็นอะไรไปเล่า

ความกลัดกลุ้มเล็กๆ ใหญ่แค่เมล็ดข้าวสาร

แล้วนับประสาอะไรกับที่พบเจอกันในยุทธภพคุยโวโอ้อวดกัน พบเจอกันอีกครั้งในยุทธภพเอ่ยคำว่าลำบากแล้ว เส้นทางยุทธภพยาวไกล ต้องมีสักวันที่ได้พบกันใหม่ ต้องมีคนพูดว่าอาจารย์พ่อท่านลำบากแล้ว อาจารย์ท่านลำบากแล้ว อาจารย์อาน้อยลำบากแล้ว เฉินผิงอันลำบากแล้ว

เฉินผิงอันทะยานร่างจากไป ชายแขนเสื้อใหญ่โบกสะบัด พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “เจ้าโง่หรือไง ลำบากกะผีอะไรกัน”

เฝ่ยหรานกับหลีเจินมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายหลงจวิน หลีเจินถาม “เขาเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ หรือเปล่า?”

หลงจวินย้อนถาม “ถามตัวเจ้าเองหรือ?”

เฝ่ยหรานยิ้มเอ่ย “เฉาสือผู้นั้นถึงขนาดเอาชนะเขาได้สามครั้งติดเชียวหรือ?”

หลงจวินพยักหน้า “ถึงขนาดนั้นแหละ

——