ส่วนลึกกลางป่าหม่อน ตำหนักเก่าแก่ที่ตั้งตระหง่านกลางฟ้าดินแผ่กลิ่นอายไพศาล ประหนึ่งสง่างามเป็นอมตะ สูงส่งหนึ่งเดียวอย่างไรอย่างนั้น

บันไดหินสีเขียวเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าขั้นดุจดั่งบันไดสวรรค์มหามรรค เริ่มจากพื้นดินยืดขยายขึ้นไปสู่หน้าประตูใหญ่ของตำหนักเก่าแก่แห่งนั้น

บนเวิ้งฟ้าละอองแสงมงคลมงคลพร่างพรม ส่องสะท้อนจนตำหนักนี้เป็นเหมือนวิมานสถานแห่งปวงเทพ!

เพียงแต่เวลานี้เบื้องหน้าบันได้หินนั้นกลับมีการต่อสู้ดุเดือดปะทุขึ้น

ตูม!

กฎเกณฑ์มหามรรคน่าสะพรึงประหนึ่งรุ้งเทพคดเคี้ยว กึกก้องไม่หยุด สะเทือนเก้าสวรรค์

จ้าวหยวนจี๋ จักรพรรดินี จ้าวไท่ไหล เจ้าสำนักสำนักมฤคมรกตกำลังประสบกับการบุกโจมตีที่หลั่งไหลมาจากสี่ทิศแปดทาง

คู่ต่อสู้ของพวกเขาคือผู้แข็งแกร่งค่ายพ่อมดเถื่อนซึ่งนำโดย ‘อูจิ่วฉง’ และผู้แข็งแกร่งพันธมิตรหมื่นเผ่าที่นำโดย ‘จวี้เทียนสิง’

ยิ่งกว่านั้นยังมีบรรดาสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงซึ่งปักหลักจำศีลอยู่กลางป่าต้นหม่อน อย่างเช่นเจียวหลงที่ลำตัวสีเขียวมรกตเหมือนหยกตัวหนึ่ง มดสำริดที่ตัวใหญ่เหมือนลูกวัว…

แต่ละตัวล้วนมีพลังต่อสู้น่าสะพรึงระดับกึ่งจักรพรรดิทั้งสิ้น!

หรือกล่าวได้ว่า หากไม่มีอานุภาพระดับกึ่งจักรพรรดิก็ไม่มีทางเข้าร่วมการรบราฆ่าฟันที่เรียกได้ว่าสะเทือนฟ้าดินนี้ได้เลย

พรวด!

ในการต่อสู้ ดวงหน้างดงามของจักรพรรดินีซีดขาว ริมฝีปากกระอักเลือดออกมา เงาร่างเพรียวยาวสั่นเล็กน้อยระลอกหนึ่ง

ไกลออกไปอูจิ่วฉงสีหน้าเลือดเย็น “จ้าวหยวนจี๋ เจ้ายังจะดึงดันสู้อยู่อีกหรือ ผู้หญิงของเจ้าใกล้จะตายแล้ว!”

เสียงดั่งฟ้าร้อง ทำให้ห้วงอากาศแหวกเปิด

อูจิ่วฉงสวมชุดหนังสัตว์ ผมเผ้าหนวดรกรุงรัง ผิวกายสีทองแดง ทุกอณูผิวหนังล้วนประทับลวดลายมหามรรคลึกลับ กลิ่นอายเทียมฟ้าน่าสะพรึง

เขากุมทวนศึกกระดูกขาวเล่มหนึ่ง พลังโจมตีรุนแรงดุดัน แค่โจมตีลวกๆ ก็มีพลานุภาพน่าสะพรึงเผาผลาญนิรันดร์กาล ดับมอดจักรวาล

ก่อนหน้านี้จักรพรรดินีเพิ่งถูกเขาโจมตีบาดเจ็บ!

“เฮอะ ใครจะตายยังไม่รู้ชัด!”

จักรพรรดินีแค่นเสียงเย็น

“น่าขัน จนป่านนี้แล้วยังไม่รู้จักถอย เช่นนั้นก็จะให้พวกเจ้าได้สมใจ!”

อีกด้านหนึ่งจวี้เทียนสิงทะยานอากาศเข้ามา เขาสวมชุดคลุมเขียว โครงหน้าหล่อเหลาสง่างามราวกับชายหนุ่ม แต่นัยน์ตากลับมีลำแสงเทพที่ชวนสยองหาใดเปรียบไหลเวียน

พร้อมๆ กับการก้าวย่างของเขา ห้วงอากาศพังครืนแหวกออก พลังกฎเกณฑ์สายแล้วสายเล่าหลอมรวมเป็นบัวเขียว แผ่ครอบรอบกายเขา โปรยละอองดุจเทพเซียน

แต่พลังโจมตีของเขากลับน่ากลัวหาใดเปรียบ ทุกครั้งที่โจมตีล้วนมีละอองแสงเต็มฟ้าโปรยปรายกลายเป็นปราณดาบพันฉื่อ ฟาดฟันลงมามากมายหนาแน่น

การโจมตีระดับนั้นเพียงพอจะกวาดล้างอริยะคนหนึ่งได้เลยทีเดียว!

จ้าวไท่ไหลฝืนต้านสุดกำลัง กลับถูกซัดจนเลือดลมตีกลับ ส่งเสียงอึดอัดในลำคอ สีหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาว

“พวกเจ้าไม่รู้สึกอับอายบ้างหรือ”

เจ้าสำนักมฤคมรกตที่อยู่ใกล้ๆ เข้ามาช่วยเหลือ สีหน้าเขียวคล้ำ ส่งเสียงคำรามยาว อาภรณ์โบกสะบัด เงาร่างซูบผอมแผ่กลิ่นอายไพศาลทะยานฟ้าออกมา อานุภาพสุดหยั่ง

“ล้วนทำไปเพื่อแย่งชิงจุดเปลี่ยนใหญ่ครานี้ทั้งนั้น ยังจะพูดถึงเรื่องอับอายอะไรกัน ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรจ้าวหยวนจี๋ก็ต้องตาย!”

อูจิ่วฉงสีหน้าเลือดเย็น

ยามสนทนาพวกเขาก็รบราดุเดือด ไล่ต้อนจ้าวหยวนจี๋และจักรพรรดิเข้าไปในวงล้อม

“พูดพล่ามให้น้อยๆ หน่อย รีบฆ่าเขาเร็ว!”

เจียวหลงสีเขียวมรกตตัวนั้นส่งเสียงเยียบเย็น ร่างกายของมันกลายเป็นมังกรเขียวยาวสิบกว่าจั้งเหมือนในตำนาน บุกโจมตีลวกๆ ก็สามารถจมภูผาธารา บดขยี้กวาดล้าง น่ากลัวถึงที่สุด

ส่วนอีกด้านมดสำริดตัวใหญ่เท่าลูกวัวกวัดแกว่งขาหน้าที่คมกริบเหมือบดาบ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่พูดไม่จา แต่พลังโจมตีของมันดุดันกร้าวแกร่ง อำมหิตโหดเหี้ยมเป็นที่สุด

“พวกต่ำช้า อาศัยแค่พวกเจ้ายังคิดเพ้อพกจะบรรลุจักรพรรดิรึ ไม่มีวันซะหรอก!”

จ้าวไท่ไหลโมโหจนสบถด่ายกใหญ่

แต่จริงๆ แล้วในใจกลับวิตกกังวลหาใดเปรียบ

พวกเขาต่างได้รับบาดเจ็บกันหมด ตกอยู่ในสภาพคับขันอันตราย หากสู้ต่อไปเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะบรรลัยวายวอดที่นี่กันหมด

“ไท่ไหล ไม่ต้องเปลืองน้ำลายกับพวกเขา สู้เถิด แม้ว่าผลสุดท้ายจะต้องตาย แต่ก็ต้องลากพวกมันสองสามคนร่วมชะตาไปด้วย”

อาภรณ์สีม่วงของจ้าวหยวนจี๋โบกสะพัด สีหน้าเยือกเย็น อานุภาพที่แผ่จากทั่วร่างสะท้านชั้นฟ้า แข็งแกร่งอย่างที่สุด

ลัญจกรสีทองทรงสี่เหลี่ยมชิ้นหนึ่งถูกเขาเรียกออกมา แผ่อานุภาพประหนึ่งสยบทั่วหล้า กำราบสิบทิศ

พลังโจมตีของเขาสงบเยือกเย็น ดูคล้ายไม่กร้าวแกร่ง แต่เขาคนเดียวกลับต้านการบุกของกึ่งจักรพรรดิหลายคนได้!

ได้ยินคำพูดของจ้าวหยวนจี๋ พวกอูจิ่วฉง จวี้เทียนสิงไม่มีใครไม่หนาวเยือกในใจ หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย จากนั้นพวกเขาก็แค่นเสียงเย็นออกมา สีหน้ายิ่งเยียบเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ

พลังโจมตีก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ

ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ต้องฆ่าจ้าวหยวนจี๋ให้ได้!

ตูมโครมๆ!

การต่อสู้น่าสะพรึงขึ้นทุกขณะ

ตะวันจันทรา ณ ที่นี้ดับแสง ฟ้าดินมืดหมอง พลังมหามรรคน่าสะพรึงประหนึ่งธารดาราเก้าสวรรค์ หอบม้วนแผ่กว้างทั่วลาน

การรบพุ่งระดับนี้ถือว่ายังดีที่เกิดใกล้ๆ กับตำหนักเก่าแก่แห่งนี้ หากเกิดที่โลกภายนอก ผลลัพธ์ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นย่อมไม่อาจจินตนาการได้

อย่างไรเสียกึ่งจักรพรรดิก็อยู่เหนือราชันอริยะ!

บุคคลน่าสะพรึงระดับนี้แค่ดีดนิ้วก็ทำลายภูผาธารา ซัดจักรวาลสะเทือน ตัวคนเดียวสามารถเหยียบโลกฝั่งหนึ่งให้แบนราบ!

และตอนนี้กึ่งจักรพรรดิกลุ่มหนึ่งกำลังประมือกัน!

กล่าวอย่างไม่เกินจริง เวลานี้แม้จะเป็นอริยะ มหาอริยะปรากฏตัวขึ้นที่นี่ หากถูกควันหลงการต่อสู้กวาดผ่าน ก็ย่อมไม่มีทางรอดชีวิตกลับไปอย่างแน่นอน

ส่วนราชันอริยะก็ต้องบาดเจ็บจนถอยหนี!

พรวด!

ไม่ทันไรแม้แต่จ้าวหยวนจี๋ที่มีพลังกล้าแกร่งก็ยังอดกระอักเลือดไม่ได้ เลือดเปื้อนอาภรณ์

เพียงแต่สีหน้าเขายังคงราบเรียบ

มีเพียงในใจเขาเท่านั้นที่อดทอดถอนใจเบาๆ ออกมาไม่ได้

แรกเริ่มขบวนของพวกเขามาถึงที่นี่ เดิมทีไม่ได้มีความขัดแย้งใดๆ กับผู้แข็งแกร่งคนอื่น แต่ตอนที่เตรียมตัวจะปีนบันไดหินขึ้นไปสู่ตำหนักก็เกิดเหตุสุดวิสัยขึ้น

ตอนนั้นเขาลองใช้พลังมหามรรคของตนสื่อสารกับตำหนักเก่าแก่แห่งนี้ที่ซุกซ่อนจุดเปลี่ยนใหญ่เอาไว้ ใครเลยจะคาดคิดว่าจะถึงขั้นดลให้เกิดลักษณ์ประหลาดสะท้านโลกอย่างหนึ่งขึ้นเสียได้

ตำหนักเก่าแก่แห่งนี้มีเสียงระฆังดังกระหึ่ม สั่นสะเทือนเก้าสวรรค์สิบแผ่นดิน แผ่กลิ่นอายเป็นระลอก ถึงกับเกิดการประสานแสนอัศจรรย์อย่างหนึ่งกับตัวเขา

สิ่งนี้ทำให้จ้าวหยวนจี๋ยังรู้สึกแปลกใจยากจะเชื่อ ภายในใจฮึกเหิม ตระหนักได้ว่าตนอาจมีหวังอย่างยิ่งว่าจะชิงจุดเปลี่ยนใหญ่ครั้งนี้มาได้

แต่ก็เพราะเป็นเช่นนี้ ถึงได้ชักนำไอสังหารและการตั้งตนเป็นศัตรูจากผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ!

ไม่ว่าจะเป็นค่ายพ่อมดเถื่อนที่เป็นตัวแทนของพ่อมดเก้าสาย หรือจะเป็นจวี้เทียนสิงที่เป็นตัวแทนพันธมิตรหมื่นเผ่า กระทั่งสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงที่จำศีลอยู่ในป่าต้นหม่อนพวกนั้นยังพากันหันปลายหอกมาทางพวกเขาทันใด

ว่ากันตามจริงจ้าวหยวนจี๋ชักนำให้เกิดลักษณ์ประหลาดครั้งนี้ แต่ขณะเดียวกันก็เพราะลักษณ์นี้ด้วยเช่นกันที่นำพาเคราะห์สังหารครั้งนี้มาสู่พวกเขา

ไม่ว่าใครย่อมไม่ยอมให้จุดเปลี่ยนใหญ่ครั้งนี้ตกถึงมือจ้าวหยวนจี๋เป็นอันขาด!

ดังนั้นยังไม่ทันเหยียบตำหนักเก่าแก่หลังนั้น การต่อสู้ครั้งนี้ก็ปะทุขึ้นแล้ว

อนิจจัง แม้แต่จ้าวหยวนจี๋ก็ยากจะคาดเดาว่าจะเป็นเช่นนี้

จนกระทั่งตอนนี้จ้าวหยวนจี๋เลิกฝันเฟื่องว่าจะได้รับจุดเปลี่ยนใหญ่ครั้งนี้แล้ว ในใจตัดสินใจแน่วแน่ว่าต่อให้ต้องสู้จนตัวตาย ก็ต้องฆ่าอย่างสะใจ ลากอีกสองสามคนร่วมชะตากรรมด้วย!

สิ่งเดียวที่ทำให้เขานึกเสียใจคือ ครั้งนี้เป็นเพราะเขา ถึงได้พลอยทำให้จักรพรรดินี จ้าวไท่ไหล่ เจ้าสำนักมฤคมรกตติดร่างแห ตกระกำลำบากพร้อมกับเขาด้วย

สิ่งนี้ทำให้ในใจจ้าวหยวนจี๋เองก็ละอายใจไม่หายอย่างห้ามไม่อยู่

“หยวนจี๋ ไม่ต้องรู้สึกละอายใจ พวกเรามาคราวนี้เดิมทีก็ละทิ้งความเป็นความตายแล้ว สถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว ไม่สู้เรียกพลังคึกๆ หน่อย ฆ่าพวกนี้ให้พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินไปเลยดีกว่า!”

จักรพรรดินีกล่าวราวกับอ่านความคิดของจ้าวหยวนจี๋ทะลุปรุโปร่ง

“ฮ่าๆๆ ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว!”

จ้าวไท่ไหลหัวเราะลั่น

“เดิมก็ควรเป็นเช่นนี้”

เจ้าสำนักมฤคมรกตระเบิดหัวเราะเสียงกังวาน

สู้!

เวลานี้จิตต่อสู้ของพวกเขาราวกับบ้าคลั่ง!

จ้าวหยวนจี๋เองก็ยิ้มเช่นกัน นัยน์ตาผุดประกายบ้าคลั่ง กล่าวว่า “เช่นนี้ก็สู้ร่วมกันเถิด หลายปีมาแล้วพวกเราจำศีลอยู่ในจักรวรรดิ ไม่เคยได้ต่อสู้ให้สะใจเช่นนี้มานานมากแล้ว!”

เขาปลดปล่อยอย่างสิ้นเชิง ไม่หวาดหวั่นและกังวลสิ่งใดอีก

ไม่ว่าจะเป็นจ้าวหยวนจี๋ หรือจะพวกจักรพรรดินีต่างรู้ดีว่าเบื้องหน้าก็คือทางตัน ต่อให้ฆ่าผู้แข็งแกร่งตรงหน้าได้ทั้งหมดก็ไม่มีประโยชน์

เพราะในความมืดไกลออกไป ยังมีสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงตัวแล้วตัวเล่าที่จับจ้องการต่อสู้ด้วยสายตาเยียบเย็นอยู่

พวกที่ดูเหมือนวางตัวไม่อินังขังขอบพวกนี้ หากพบว่าพวกเขาฆ่าจนเปิดทางรอดสายหนึ่งออกมาได้ มีหรือจะยังกอดอกยืนชมอยู่ข้างๆ ได้

เมื่อรู้ว่าต้องตาย กลับมองทุกอย่างได้แจ้งใจ ย่อมไม่กลัวความเป็นความตายใดๆ แล้ว!

“เร็วเข้า ต้องงัดพลังทั้งหมดออกมา!”

เวลานี้ผู้แข็งแกร่งกึ่งจักรพรรดิอย่างพวกอูจิ่วฉง จวี้เทียนสิงต่างสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา ไม่กล้าชะล่าใจ

ในฐานะกึ่งจักรพรรดิ พวกเขารู้ดียิ่งกว่าใครว่าเมื่อกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งสู้ไม่คิดชีวิต การลงมือก่อนตายนั้นน่ากลัวปานใด!

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคนที่จะสู้ไม่คิดชีวิตตรงหน้านี้ ไม่ได้มีแค่กึ่งจักรพรรดิคนเดียว

สิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงไกลออกไปที่ชมอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาเยียบเย็นก็เริ่มตื่นตัวขึ้นมาในเวลานี้ ตระหนักได้ว่าการเข่นฆ่าสะเทือนโลกเช่นนี้จวนจะเข้าสู่ขั้นตัดสินเป็นตาย!

ปึง!

ไม่ทันไรมดสำริดมหึมาตัวนั้นก็ถูกจ้าวหยวนจี๋ตบลอยคว้างด้วยผ่ามือเดียว ร่างกายยุบเป็นรอยฝ่ามือ ส่งเสียงร้องลั่นอย่างเจ็บปวด

แต่พร้อมกันนั้นจ้าวหยวนจี๋ก็ถูกการปิดล้อมของผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ซัดบาดเจ็บด้วยเช่นกัน ร่างกายซวนเซ เลือดไหลออกจากริมฝีปาก

“พวกต่ำช้าอย่างพวกเจ้า ไปตายกันซะให้หมด!”

อีกด้านหนึ่งจ้าวไท่ไหลอาการดุจมารคลั่ง เขาผมเผ้าแผ่สยาย ตามตัวมีบาดแผลเหวอะหวะ เลือดไหลไม่หยุด ดูสยดสยองน่าสะพรึงอย่างที่สุด

แต่เขากลับไม่รู้สึกรู้สาสักนิด ท่าทางเหมือนสละชีพลุยสังหาร

จักรพรรดินี เจ้าสำนักมฤคมรกตก็เป็นเช่นเดียวกัน ต่างได้รับบาดเจ็บในการต่อสู้ไม่หยุด แต่ไม่มีใครถอยหนีหลบเลี่ยง

การต่อสู้ดุเดือดระดับนั้นทำให้ฟ้าดินร้องครวญ หวาดเสียวเขย่าขวัญ สะท้านสะเทือนโลก

แต่ว่าภายใต้การเข่นฆ่าไม่คิดชีวิตเช่นนี้ ผู้แข็งแกร่งกึ่งจักรพรรดิฝ่ายอูจิ่วฉงก็บาดเจ็บกันไม่น้อย สิ่งนี้ทำเอาพวกเขาเดือดดาล สีหน้ามืดทะมึน เริ่มระวังตัวขึ้นมามากขึ้น

ด้วยกลัวว่าการทุ่มสุดตัวก่อนตายของพวกจ้าวหยวนจี๋จะตกบนตัวพวกเขา ผลที่ตามมานั้นขนาดพวกเขายังเกรงกลัวหาใดเปรียบ

“หยวนจี๋ ข้า… ข้า… ต้องล่วงหน้าไปก่อนแล้ว”

ทันใดนั้นจักรพรรดินีเอ่ยปาก สีหน้านางซีดเผือด ร่างกายโงนเงน เสื้อผ้าสีพื้นล้วนถูกเลือดย้อมเป็นสีแดงฉาน

จ้าวหยวนจี๋ตัวแข็งทื่อไปทั้งร่าง ภายในใจเต็มไปด้วยความเดือดดาลทะลักล้นอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาแทบถลน ขยับตัวไปขวางอยู่เบื้องหน้าจักรพรรดินีทันควัน กล่าวว่า “จะไปก็ต้องไปด้วยกัน!”

“ใช่ ไปด้วยกัน!”

จ้าวไท่ไหลท่าทางคลุ้มคลั่ง ส่งเสียงคำรามสนั่นปานสัตว์ป่าดุร้าย สีหน้าเด็ดเดี่ยว ดวงตาแดงก่ำ

เจ้าสำนักมฤคมรกตยิ้มบางๆ กล่าวว่า “การได้ร่วมตายพร้อมกับท่านทั้งหลาย เป็นสุขปานใดหนอ”

เวลานี้พวกเขาต่างสบสายตากันและกัน ล้วนระเบิดหัวเราะขึ้นมา เสียงก้องสวรรค์ชั้นฟ้า

พวกอูจิ่วฉงสีหน้าเยียบเย็น พลังโจมตียิ่งน่าสะพรึงขึ้นเรื่อยๆ หาได้ยั้งมือสักนิด ไม่ว่าใครต่างรู้ดีว่าการเข่นฆ่าก่อนตัดสินเป็นตายต่างหากที่น่ากลัวที่สุด

ถึงแม้ในใจพวกเขาจะดูหมิ่นเหยียดหยันพวกจ้าวหยวนจี๋ แต่กลับไม่กล้าชะล่าใจสักนิด

ทว่าเวลานี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากไกลๆ “ผู้อาวุโสทุกท่าน! ข้าหลินสวินมาช่วยพวกท่านต่อสู้ด้วยคน!”

…………..