ตอนที่ 1870 การผ่าตัดสำเร็จลุล่วง
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนฟาดฝ่ามือลงบนตัวเธอไปทีหนึ่ง ก่นด่าว่า “ฉันส่งซิกให้เธออยู่ตั้งนาน เธอยังทำหน้าซื่อบื้อตาบอดมองไม่เห็นอีก ร้องไห้ตอนนี้ให้มันได้อะไร รีบเรียกรถพยาบาลมาเร็ว!”
เหมยเหมยวิ่งออกมาจากตู้โทรศัพท์ หายใจหอบพลางพูดว่า “ฉันเรียกรถพยาบาลมาแล้ว อีกเดี๋ยวก็มาถึงพวกเธอห้ามแตะต้องเขานะ”
ตอนนี้ยังไม่รู้สาเหตุที่พ่อสวีล้มสลบไป ถ้าหากเกิดเลือดออกในสมองกะทันหันอะไรทำนองนั้นขึ้นมา คนที่ไม่ใช่มืออาชีพอย่างพวกเธอคงไม่กล้าที่จะแตะต้อง
รถพยาบาลมาได้ทันเวลามากแบกพ่อสวีไปอย่างรวดเร็ว พวกเหมยเหมยจึงตามไปด้วย พอมาถึงโรงพยาบาลก็ส่งเข้าห้องผ่าตัดเพื่อช่วยชีวิตทันที ทั้งสามคนต่างก็งงเป็นไก่ตาแตก
“ต้องผ่าตัดเหรอ? พ่อสวีคงไม่ตายหรอกใช่ไหม…ฉัน…ฉันคงไม่ต้องเข้าคุกใช่ไหม?” ฉีฉีเก๋อเห็นแสงไฟสีแดงที่กะพริบอยู่หน้าห้องผ่าตัดก็แทบทรงตัวยืนไม่อยู่ หน้าขาวราวกับกระดาษ ร้อนใจหวาดกลัวไปหมด
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเองก็ร้อนใจจนหัวหมุน พอได้ยินสิ่งที่เธอพูดก็ยกฝ่ามือตบหัวฉีฉีเก๋อไปทีหนึ่ง สบถด่าว่า “ร้องไห้แล้วได้อะไร บอกเธอตั้งแต่แรกแล้วว่าอย่าพูดเธอก็รั้นจะพูดอยู่ได้ ถ้าหากว่าพ่อสวีเป็นอะไรไป เธอ…”
ฉีฉีเก๋อกลัวเอามาก ๆ เหมยเหมยใช้แรงพอควรกว่าจะพยุงเธอไว้ได้ พูดขัดเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนว่า “เรื่องมันเกิดไปแล้ว มาพูดเอาตอนนี้ให้มันได้อะไร รอฟังผลจากหมอจะดีกว่านะ”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนจ้องฉีฉีเก๋อที่หน้าซีดขาวตาเขม็ง เห็นท่าทีน่าสงสารของเธอก็รู้สึกใจอ่อน พูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “วางใจเถอะ ต่อให้เกิดเรื่องขึ้นจริง ๆเธอก็ไม่ต้องติดคุกหรอก เธอจะกระวนกระวายไปทำไม!”
ฉีฉีเก๋อสะอึกสะอื้นพลางใช้มือปาดน้ำตาออกอย่างรวดเร็ว ถามออกไปอย่างไม่เชื่อนักว่า “ไม่ต้องเข้าคุกจริง ๆเหรอ?”
“ถ้าเธออยากไปก็ไปสิ เลี้ยวซ้ายตรงประตูโรงพยาบาลไปห้าสิบเมตร นั่งรถสาย 21 ไปจนสุดสาย ที่นั่นพร้อมจะเปิดประตูต้อนรับเธอทุกเมื่อ!”
“ที่นั่นคือที่ไหนเหรอ?” ฉีฉีเก๋อถามเสียงสะอื้น
“เรือนจำหญิงของเมืองหลวง เธออยากไปไม่ใช่เหรอ?” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนแดกดันด้วยความโกรธ เธอไม่อยากสนใจยัยโง่เง่านี่อีกจึงหันหน้ากลับไปมองประตูห้องผ่าตัดแทน ภาวนาในใจขออย่าให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพ่อสวีเลย ไม่เช่นนั้นต่อให้พวกเธอทั้งสามคนมีปากก็ใช้พูดลบล้างมลทินไม่ได้
เฮ้อ ปีนี้จะทำตัวเป็นคนดีหน่อยไม่ได้เลย!
ประตูห้องผ่าตัดเปิดออก หมอคนหนึ่งสวมหน้ากากอนามัยเดินออกมา พลางดึงหน้ากากลงและถามว่า “ใครคือญาติของคนไข้?”
พวกเธอทั้งสามคนต่างมองหน้ากัน พลางส่ายหน้าพร้อมกัน เหมยเหมยอธิบายออกไปว่า “เขาเป็นพ่อของเพื่อนร่วมชั้นของพวกเราค่ะ คุณพ่อเขามาตามหาเพื่อนพวกเราที่เมืองหลวง แล้วเกิดอาการป่วยกำเริบระหว่างทาง”
คุณหมอมองเด็กทั้งสามคนอย่างชื่นชม ผู้ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดในสมองแตกอาการเข้าขั้นวิกฤต โชคดีที่ช่วยชีวิตไว้ได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นผลที่ตามมาคงไม่อาจคาดเดาได้ และที่สำคัญที่สุดคือทั้งสามคนไม่ได้แตะต้องผู้ป่วยซี้ซั้ว เมื่อก่อนมีผู้ป่วยหลายรายที่มีอาการเลือดออกในสมอง เดิมทีไม่ได้มีอาการรุนแรงแต่อย่างใด แต่เพราะคนในครอบครัวไม่เข้าใจจึงทำการเคลื่อนย้ายตัวผู้ป่วยจนอาการแย่ลง กระทั่งอันตรายถึงชีวิต
“การผ่าตัดสำเร็จลุล่วงด้วยดีแต่ต้องอยู่นอนที่โรงพยาบาลก่อน พวกเธอรีบไปแจ้งข่าวให้เพื่อนรู้เถอะ แล้วให้เพื่อนมาจัดการเรื่องนอนโรงพยาบาล” คุณหมอพูดบอก
พวกเหมยเหมยพรูลมหายใจยาวโล่งอก โบกมือลาคุณหมออย่างพร้อมเพรียง ขอบคุณพระเจ้า!
“คุณหมอคะ คนไข้จะมีอาการภาวะแทรกซ้อนไหมคะ? แล้วรุนแรงไหมคะ?” เหมยเหมยเป็นกังวล
“เรื่องภาวะแทรกซ้อนมีแน่แต่พูดตอนนี้คงไม่เหมาะ ต้องดูจากการพักฟื้นอีกที” คุณหมอพูดออกมาอย่างคลุมเครือ และเร่งให้พวกเธอไปติดต่อญาติให้มาทำเรื่องนอนโรงพยาบาล
“งั้นจะไปตามหาสวีจื่อเซวียนจากที่ไหนล่ะ?” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเกาหัวอย่างนึกรำคาญใจแต่ก็ไม่ได้ร้อนใจนัก ในเมื่อไม่ถึงแก่ชีวิตงั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตแล้วล่ะ
“ไปติดต่อทำเรื่องนอนโรงพยาบาลก่อนดีกว่านะ ฉันมีเงินติดตัวแค่สองร้อยหยวน พวกเธอเอาเงินทั้งหมดมารวมกันสิ”
เหมยเหมยพูดอย่างไม่สบอารมณ์พลางควักเงินออกมาจากกระเป๋า ฉีฉีเก๋อและเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนก็พากันควักเงินออกมา เงินของพวกเขาทั้งสามรวมกันได้ราว ๆเจ็ดถึงแปดร้อยหยวน ฝืนใจทำเรื่องนอนโรงพยาบาลให้แล้วเสร็จ จากนั้นก็ย้ายพ่อสวีไปห้องไอซียูเพื่อเฝ้าดูอาการ หมอบอกว่าอีกสองวันก็ดีขึ้นแล้วจากนั้นจะย้ายไปห้องพักผู้ป่วยทั่วไป
………………………………………………………
ตอนที่ 1871 เลี้ยงมื้อดึก
พอทั้งสามคนออกจากโรงพยาบาลท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว พวกเธอถึงเพิ่งรู้ว่าอยู่โรงพยาบาลมาตลอดช่วงบ่าย เหมยเหมยรีบค้นเอาเพจเจอร์ออกมาจากกระเป๋า ก่อนจะเห็นว่ามีข้อความนับสิบข้อความส่งมาจากเหยียนหมิงซุ่น เธอตกใจรีบวิ่งไปตู้โทรศัพท์สาธารณะที่ใกล้ที่สุด
“พี่…ฉันเอง ไม่เป็นไร…ฉันอยู่โรงพยาบาล”
เสียงรอสายโทรศัพท์เพิ่งดังได้กริ๊กเดียวเหยียนหมิงซุ่นก็รับสายทันที ในขณะนี้เขาเตรียมเรียกรวมพลเพื่อตามหาเหมยเหมยทั่วทั้งเมืองแล้ว พอได้ยินเสียงเหมยเหมยเขาถึงโล่งอกและเตรียมจะสั่งสอนยัยตัวแสบสักหน่อย แต่พอได้ยินเธอบอกว่าอยู่โรงพยาบาลเหยียนหมิงซุ่นก็เริ่มร้อนใจขึ้นอีกครั้ง
“ทำไมถึงไปโรงพยาบาลล่ะ? เธอไม่สบายตรงไหน? พี่จะไปเดี๋ยวนี้แหละเธออย่าไปไหนซี้ซั้วนะ”
“ฉันไม่ได้ป่วย…แต่เป็นพ่อของสวีจื่อเซวียนป่วยต่างหาก…”
เหมยเหมยรู้สึกอุ่นวาบไปทั้งใจและเล่าเรื่องราวคร่าว ๆไป เหยียนหมิงซุ่นถึงสบายใจ
“ฉันไปรับเธอเอง เธอรออยู่หน้าประตูนะ”
เหมยเหมยเหนื่อยแล้วจริง ๆถึงรออย่างเชื่อฟัง ไม่นานเหยียนหมิงซุ่นก็มาถึงพลางเรียกพวกเธอทั้งสามให้ขึ้นรถ
“พี่ ไปหาสวีจื่อเซวียนตอนนี้ดีไหม?” เหมยเหมยถาม
“รีบอะไรกันเล่า รีบหามาให้พ่อเขาเส้นเลือดในสมองแตกอีกรอบเหรอ? ไว้ค่อยว่ากันพรุ่งนี้เถอะ!” เหยียนหมิงซุ่นเอ่ยอย่างไม่พอใจ ภรรยาตนชอบยุ่งเรื่องคนอื่นเสียจริง นับว่าโชคดีที่คุณพ่อสวีไม่ได้เสียชีวิต
เหมยเหมยคิดแล้วก็เห็นด้วยว่าตอนนี้คุณพ่อสวีจะมีเรื่องให้สะเทือนใจอีกไม่ได้แล้ว หากลูกสาวอกตัญญูอย่างสวีจื่อเซวียนพูดอะไรไม่น่าฟังเข้าอีก บางทีคุณพ่อสวีอาจมีอันเป็นไปก็ได้
ส่งเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกับฉีฉีเก๋อกลับหอพักเสร็จพวกเขาถึงกลับบ้าน กับข้าวเย็นชืดไปทั้งโต๊ะแล้ว เหยียนหมิงซุ่นจึงนำไปอุ่นรอให้เหมยเหมยอาบน้ำเสร็จจะได้ทานพร้อมกัน
เขาฟังเหมยเหมยเล่าว่าเหตุผลที่สวีจื่อเซวียนลาออกเพราะจะแต่งงานเลยหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “เจียงจื้อหรู่ไม่แต่งงานกับหล่อนหรอก คิดว่าอีกไม่นานเขาก็จะกลับไปคืนดีกับภรรยาเก่าแล้ว”
แม้เหมยเหมยพอจะเดาได้แต่ก็ตกใจยกใหญ่ นี่มันเร็วเกินไปหรือเปล่า?
“เจียงจื้อหรู่ไม่ชอบภรรยาคนก่อนไม่ใช่เหรอ? เขาจะยอมเหรอ?”
เหยียนหมิงซุ่นแกะกุ้งหนึ่งตัวแล้วจิ้มจิ๊กโฉ่วป้อนเหมยเหมยพลางเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “กินอิ่มนอนหลับสิถึงจะเกิดกิเลสตัณหาได้ เมื่อก่อนมีคุณนายเจียงคอยดูแลทุกอย่างให้เจียงจื้อหรู่ มีทั้งรถยนต์นำเข้าให้ขับ สวมเสื้อผ้าแบรนด์เนม อยู่บ้านหลังใหญ่โต อยากซื้ออะไรก็ซื้อ ไม่เคยต้องกังวลว่ากระเป๋าจะไม่มีเงินเขาถึงได้มีเวลาไปหาเมียน้อยไง ตอนนี้พอไม่มีคุณนายเจียงคอยดูแลเขาย่อมต้องเจอเรื่องลำบากอยู่แล้ว”
คู่สามีภรรยาที่ยากจนข้นแค้นมักมีเรื่องบาดหมางกันเสมอ!
ความรักที่แท้จริงก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับความยากจน!
เจียงจื้อหรู่อาจมีความจริงใจให้สวีจื่อเซวียน แต่ผู้ชายคนนี้เคยชินกับการใช้ชีวิตอู้ฟู่ ตอนนี้จะให้เขาใช้ชีวิตลำบากต้องรัดเข็มขัดตลอดแล้วยังต้องหาเวลามาดูแลพิพิธภัณฑ์ศิลปะกับเมียน้อยที่ไม่รู้ความอะไร คาดว่าเขาคงเหนื่อยใจตั้งนานแล้ว
ขอเพียงคุณนายเจียงยื่นข้อเสนอให้กลับมาคืนดีกัน เจียงจื้อหรู่คงไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
เหมยเหมยปากเคี้ยวกุ้งไป เธอไม่ชอบเจียงจื้อหรู่เลยสักนิดและนึกสงสารคุณนายเจียงเสียจริง
“คุณนายเจียงก็ไม่นึกรังเกียจแตงกวาที่เคยผ่านมือผู้หญิงคนอื่นมาก่อนเลยเนอะ ถ้าเป็นฉันไม่มีวันเอาคืนแน่ ไสหัวไปได้ไกลแค่ไหนยิ่งดี!” เหมยเหมยพูดเสียงแค้นใจแล้วยังตวัดตามองเหยียนหมิงซุ่นเป็นการเตือนอีกด้วย
ผู้ชายต้องให้เตือนสติอยู่เป็นครั้งคราวเพื่อให้พวกเขารู้จักสำรวมตัวเองสักหน่อย!
เหยียนหมิงซุ่นเห็นแล้วก็นึกขำเลยแกะกุ้งอีกตัวยัดใส่ปากเหมยเหมยแล้วกล่าวด้วยเสียงติดตลกว่า “ดูเหมือนเหมยเหมยจะชอบทานแตงกวามากนะ? ทานตอนนี้ดีไหม หืม?”
เสียงหืมตอนท้ายถูกลากเสียงยาวคล้ายจะพูดเล่นแต่ก็คล้ายจะพูดจริง ทำเอาบรรยากาศดูคลุมเครือขึ้นมาทันตา
เหมยเหมยหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอายในฉับพลัน เมื่อกี้พูดเร็วเกินไปถึงได้หลุดคำว่าแตงกวาออกมา น่าอายชะมัด!
“ฉันไม่ชอบทานแตงกวา แต่ฉันชอบทานแตงโม” เหมยเหมยกะพริบตาปริบ ๆแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องแล้วก็ร้องโวยอยากทานแตงโม
เหยียนหมิงซุ่นมองเธอด้วยความเฉยชาแวบหนึ่งโดยไม่พูดอะไร พอทานมื้อเย็นเสร็จเขาก็ใช้แขนยาวโอบอุ้มสาวงามไปกินแตงกวาแล้ว…
“เดี๋ยวเลี้ยงมื้อดึกเหมยเหมยแล้วกัน…แตงกวากับนม…กินได้ไม่อั้นเลย รับรองว่าอิ่มแปร้แน่!”
เหมยเหมย ‘…เธออยากตาย!’
…………………………………….