บทที่ 700.3 อันดับหนึ่งในใต้หล้า

กระบี่จงมา! Sword of Coming

นักพรตซุนหัวเราะเสียงดังพลางยกชายแขนเสื้อขึ้น ต่อให้แค่แสร้งทำท่าทีก็ถือว่าชนะเจ้าลู่เฉินแล้วครั้งหนึ่ง พอย้อนกลับไปที่อารามเสวียนตูก็จะเล่าให้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดฟัง แล้วยังต้อง ‘กำชับ’ พวกเขาอีกว่าอย่าเอาเรื่องเล็กๆ แบบนี้ไปบ่นให้พวกศิษย์หลานฟัง

ลู่เฉินกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ใต้หล้าแห่งนี้เปิดประตู ใต้หล้าห้าแห่งก็เชื่อมโยงถึงกันหมดแล้ว”

ใต้หล้าไพศาล ใต้หล้ามืดสลัวและใต้หล้าบงกช ล้วนต้องเปิดประตูใหญ่เชื่อมโยงกับใต้หล้าแห่งนี้ ส่วนใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็เปิดประตูเชื่อมกับใต้หล้าไพศาล

นักพรตซุนหุบยิ้ม พยักหน้าเอ่ย “คำนวณหนึ่งนั้นยากที่สุด”

คนทั้งสองเงียบงันกันไป

บวกกับนักพรตเซาฮว่ออีกคนที่ได้ฟังมรรคกถาแล้วก็เหมือนไม่ได้ฟัง

ลู่เฉินเอ่ยชวนคุยว่า “น่าเสียดายที่ไม่อาจไปพบเจอคู่รักของสหายนักพรตซวงเจี้ยงได้ ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ไม่เล็กเลยจริงๆ”

“อย่างมากสุดก็เป็นได้แค่คู่รักครึ่งตัวของสหายนักพรตซวงเจี้ยงเท่านั้น”

นักพรตซุนถอนหายใจ “คนบนโลกมีแต่จะถูกความรักพันธนาการ แต่สหายซวงเจี้ยงกลับตรงกันข้าม ใช้สิ่งนี้มาพันธนาการคนในใจแทน ลุ่มหลงในรักทั้งยังอำมหิต คนนอกย่อมไม่มีสิทธิ์มาบอกว่าเขาทำถูกหรือทำผิด”

ยักษ์ใหญ่ด้านการฝึกตนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำหนักสุ้ยฉู เจ้าตำหนักอู๋ซวงเจี้ยงแทบจะใช้กำลังของคนคนเดียวยกระดับสำนักระดับรองแห่งหนึ่งให้กลายมาเป็นสำนักใหญ่ที่อยู่อันดับสูงสุดของใต้หล้ามืดสลัวได้

หลังจากที่เขาหยัดยืนอย่างมั่นคงแล้วถึงได้มีลูกรักแห่งสวรรค์กลุ่มใหญ่ซึ่งรวมถึงโซ่วสุ้ยเหรินเป็นหนึ่งในนั้นพากันลุกผงาด

ส่วนตัวของอู๋ซวงเจี้ยงเองก็เคยอยู่ในอันดับสิบคนของใต้หล้ามืดสลัว แม้ว่าลำดับขั้นจะไม่สูง แต่ติดสิบอันดับแรกของตลอดทั้งใต้หล้าก็นับว่าพอจะมีความสามารถอยู่บ้าง

เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้สามารถฝ่าทะลุคอขวดบินทะยาน แต่กลับยังคงปิดด่านไม่ออกมา

เพราะอู๋ซวงเจี้ยงไม่ได้ปรากฏตัวมานานมากแล้วจริงๆ ดังนั้นเมื่อหลายร้อยปีก่อนจึงหลุดจากอันดับสิบคน

นักพรตน้อยให้ความสนใจเรื่องวงในบนยอดเขาประเภทนี้เป็นที่สุด จึงถามอย่างใคร่รู้ว่า “อู๋ซวงเจี้ยงผู้นั้น หากแสดงฝีไม้ลายมือต่อสู้อย่างเต็มที่ ใช้ทุกเวทคาถาที่มี จะเอาชนะพวกเจ้าสองคนได้ไหม?”

ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ฝึกวิชาคาถาก็ไม่ใช่เพื่อไม่ต้องต่อสู้หรอกหรือ?”

นักพรตซุนพยักหน้ายิ้มรับ “ไม่ควรจะแค่เพื่อต่อสู้เท่านั้น”

นักพรตน้อยแค่นเสียงออกจมูก นักพรตป๋ายอวี้จิงกับสายเซียนกระบี่อารามเสวียนตู คนสองกลุ่มนี้เวลานี้กำลังทำอะไรกันอยู่เล่า?

ลู่เฉินเขย่งปลายเท้ามองการโคจรของลมปราณในฟ้าดินแห่งนี้ แล้วอยู่ดีๆ ก็เอ่ยว่า “อันดับแรกไร้ความหวังแล้วหรือ?”

นักพรตซุนเอ่ย “เจ้าควรรู้สึกโชคดีที่สหายนักพรตเฉินไม่ได้มาที่นี่ ไม่อย่างนั้นในอนาคตเมื่อต้องถามกระบี่กันก็มีความเป็นไปได้ว่าฟ้าดินสองแห่งอาจกระทบชนกัน”

ลู่เฉินยิ้มกล่าว “ผิดแล้ว หากเขามาที่นี่มีแต่จะยิ่งเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า มหามรรคาได้แต่หยุดอยู่ตรงนั้น”

นักพรตซุนพยักหน้าพลางลูบหนวด “ก็จริงนะ”

นักพรตน้อยบ่นเบาๆ “พวกเจ้าสองคนช่วยคุยกันเรื่องที่ข้าเข้าใจไม่ได้หรือไง”

ลู่เฉินกล่าว “ยาก”

นักพรตซุนเอ่ย “ยากมาก”

พื้นที่ตรงกลางของใต้หล้าแห่งนี้ อริยะลัทธิขงจื๊อสองท่านที่เฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้า ท่านหนึ่งมาจากสถานศึกษาหลี่จี้สายของหลี่เซิ่ง ส่วนอีกท่านหนึ่งมาจากสำนักศึกษาเหอซ่างสายของหย่าเซิ่ง ล้วนมีเทวรูปอยู่ในศาลบุ๋น

คนผู้หนึ่งจดบันทึกทุกสิ่งที่ได้เห็นและได้ยิน อีกคนหนึ่งคอยจับตามองประตูใหญ่ทางทิศตะวันตกและทิศตะวันออก ป้องกันไม่ให้มีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนแทรกซึมเข้ามายังที่แห่งนี้ ไม่อนุญาตให้ประตูเหนือและใต้มีผู้ฝึกตนก่อกำเนิดบุกเข้ามา

อริยะทั้งสองท่านต่างก็พาลูกศิษย์สายของตัวเองมาด้วยหนึ่งคน ล้วนมีสถานะเป็นวิญญูชนของสำนักศึกษาและสถานศึกษาทั้งสิ้น

วิญญูชนคนหนึ่งในนั้นพกกระบี่ยาวที่ชื่อว่า ‘ฮ่าวหรันชี่’ ในอดีตเคยไปท่องหาประสบการณ์ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ สหายเป็นผู้มอบให้

เนื่องจากความสัมพันธ์ของอริยะ วิญญูชนทั้งสองท่านจึงสามารถนั่งมองขุนเขาสายน้ำ กวาดตามองเห็นไปทั่วใต้หล้า เรื่องประหลาดและคนน่าสนใจมีมากมาย

ยกตัวอย่างเช่นในบรรดานักพรตสามพันคน สำนักใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในปฐมสำนักพรรคมหายันต์ ผู้นำคือขอบเขตก่อกำเนิด นามว่าหนันซาน

ฝั่งของภูเขาไฉ่โซวที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตก็มีผู้นำเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดเช่นเดียวกัน สตรีมีนามว่าโยวหราน

ชายหญิงคู่นี้ไม่เพียงแต่เกิดเดือนเดียวปีเดียวกัน แม้แต่ช่วงเวลายามเกิดก็ยังเหมือนกัน ไม่ต่างกันแม้แต่น้อย

นอกจากนี้วิญญูชนทั้งสองท่านก็ยังรู้เรื่องราวมากมายเกี่ยวกับใต้หล้ามืดสลัว

ในอดีตอริยะปราชญ์ไม่สามารถบันทึกเรื่องพวกนี้ลงในตำราได้

ใต้หล้าไพศาลมีผู้ฝึกตนอิสระอยู่สิบประเภท คนเย็บผ้า ตู๋ฉีหลางแห่งทะเลทักษิณเป็นหนึ่งในนั้น ล้วนถูกให้คำจำกัดความว่าเป็นพวกนอกรีตที่สมควรถูกประหาร

ส่วนใต้หล้ามืดสลัวก็มีผู้ฝึกตนสิบประเภทที่ไม่เป็นที่ยอมรับเหมือนกัน เพียงแต่ว่าไม่ถึงขั้นเหมือนหนูที่วิ่งผ่านถนน แต่ก็ไม่มีทางกล้าขยับเข้าใกล้อาณาเขตของป๋ายอวี้จิงแน่นอน

แบ่งออกเป็นโจรข้าวสาร เซียนสละศพ มือเรียวแดงม้วนม่าน คนหาบของ คนยกโลงศพ ทูตตระเวนภูเขา หญิงนักแต่งตัว คนจับมีด อาจารย์คำเดียว ทาเหลี่ยวฮั่น

ครั้งนี้นักพรตสามพันคนเข้ามาในฟ้าดินใหม่เอี่ยม นอกจากจำนวนรายชื่อของสำนักใหญ่แล้ว ยังมี ‘ผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขา’ ของใต้หล้ามืดสลัวอีกหลายร้อยคนที่เนื่องด้วยโชควาสนานำพา มีบุญบารมีหนาหนัก ต่างคนจึงต่างได้รับป้ายหยกผ่านด่านที่ป๋ายอวี้จิงแจกจ่ายให้

ส่วนผู้ฝึกกระบี่นอกเหนือจากในนครแห่งนั้น หลังจากที่หนิงเหยาเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบแล้ว ต่อให้หนิงเหยาจะจงใจออกห่างจากนคร ไปเดินทางท่องเที่ยวเพียงลำพัง ก็ยังทำให้ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดของกำแพงเมืองปราณกระบี่บางส่วนซึ่งรวมถึงฉีโซ่วเป็นหนึ่งในนั้นถูกมหามรรคาแห่งฟ้าดินสยบกำราบเอาไว้อยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉีโซ่ว ในฐานะผู้ฝึกกระบี่คอขวดก่อกำเนิดที่มีหวังว่าจะฝ่าทะลุขอบเขตตามหลังหนิงเหยาได้มากที่สุด เนื่องจากหนิงเหยาไม่เพียงแต่ฝ่าทะลุขอบเขต อีกทั้งยังพัฒนารุดหน้าไปบนขอบเขตหยกดิบอย่างรวดเร็ว เป็นเหตุให้การฝ่าขอบเขตของฉีโซ่วกลับกลายเป็นว่าช้ากว่าพวกลูกรักแห่งสวรรค์อย่างซานชิง ชาวพุทธแห่งตะวันตกและนักพรตหญิงของอารามเสวียนตูอยู่มาก

ช่วงแรกเริ่มที่ฟ้าดินเปิดออก มหามรรคามากมายพากันแสดงตัว จึงส่งผลกระทบที่ค่อนข้างจะลึกล้ำ อีกทั้งยังแสดงออกอย่างชัดเจน ทว่าหลังจากนี้กลับมีแต่จะยิ่งพร่าเลือนมากขึ้นเรื่อยๆ

แต่ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นของฉีโซ่ว รวมถึงสิ่งที่ได้รับแฝงมาจากฐานะผู้นำของสายสิงกวาน ก็ต้องได้กลายเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบกลุ่มที่สองภายในสิบปีแรกอย่างแน่นอน

ส่วนกลุ่มแรกนั้น อันที่จริงก็มีเพียงหนิงเหยาคนเดียว

หลังจากนี้คนกลุ่มที่สองซึ่งมีซานชิง ชาวพุทธแห่งตะวันตก ฉีโซ่วเป็นหนึ่งในนั้น จำนวนคนจะไม่มีทางมากได้แน่ อย่างมากสุดก็แค่สิบคน

ต่อจากนั้นผู้ฝึกตนแต่ละฝ่ายที่เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนภายในเก้าสิบปีก็คือกลุ่มที่สาม

ผู้ฝึกตนของใบถงทวีปและฝูเหยาทวีปไม่มีทางมากไปได้แน่ เพราะเมื่อเทียบกับประตูใหญ่สองบานทางทิศตะวันออกกับทิศตะวันตกแล้ว ผู้ฝึกตนของสองทวีปที่เข้าจากทิศเหนือและทิศใต้มายังใต้หล้าแห่งที่ห้านี้ นอกจากผู้ฝึกตนก่อกำเนิดไม่กี่คนที่มีเพียงหยิบมือแล้ว ก็จะไม่มีทางปล่อยก่อกำเนิดที่มากกว่านั้นเข้ามายังใต้หล้าแห่งใหม่ ส่วนผู้ฝึกตนก่อกำเนิดส่วนน้อยนั้น การที่พวกเขาเป็นข้อยกเว้นได้ แน่นอนว่าเป็นเพราะคุณความชอบของสำนักที่พวกเขาอยู่ รวมไปถึงนิสัยใจคอของตัวผู้ฝึกตนเองที่ต่างก็ได้รับการยอมรับจากศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง ยกตัวอย่างเช่นนักพรตหญิงภูเขาไท่ผิง ผู้ฝึกกระบี่หวงถิง ทุกคนซึ่งแม้แต่ตัวนางเองต่างก็ถูกทางสำนักบังคับขับไล่ให้มายังที่แห่งนี้ อีกทั้งแน่นอนว่าสำนักของพวกเขาย่อมเตรียมพร้อมสำหรับการที่ทุกคนในสำนักล้วนรบตาย ทั้งสำนักล่มสลาย ได้แต่อาศัยคนคนเดียวให้มาสืบทอดควันธูปของศาลบรรพจารย์เอาไว้แล้ว

ตอนนี้เป็นช่วงเวลาปลายปีของปีที่ห้ารัชศกเจียชุนแล้ว

ก่อนหน้านี้ชื่อรัชศกจะใช้เจียชุน หรือว่าใช้ชื่อที่ทางศาลบุ๋นเสนอแนะก็มีการทะเลาะโต้เถียงที่ไม่เล็กเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง สุดท้ายเลือกปีรัชศกเจียชุน อันที่จริงไม่นานมานี้เพิ่งจะมีการยืนยันแน่นอน ดังนั้นช่วงก่อนหน้านั้นจึงใช้คำกล่าวสองอย่างพร้อมกันมาโดยตลอด ซิ่วไฉเฒ่าใช้อันหนึ่ง ศาลบุ๋นใช้อีกอันหนึ่ง ไม่ว่าใครก็ไม่ยอมแพ้ให้ใคร แน่นอนว่าหากใช้คำกล่าวของซิ่วไฉเฒ่าก็คือหาได้ยากที่พี่น้องป๋ายเหย่ไม่ทำตัวเป็นคนใบ้ ยอมเปิดปากที่กลัวดอกพิกุลจะร่วงเอ่ยออกมา ป๋ายเหย่บอกว่าเขารู้สึกว่าสองคำว่าเจียชุนนี้งดงามอย่างถึงที่สุดแล้ว ความหมายแฝงก็ยิ่งดีงาม ทุกวันคอยเอากระบี่มาวางพาดคอตน ซิ่วไฉตกอับคนหนึ่งมิกล้าไม่ยอมทำตาม

นอกจากนี้แล้วเรื่องที่ว่าสรุปแล้วปีแรกควรจะเป็นปีใดกันแน่ ควรจะเป็นปีที่ซิ่วไฉเฒ่าและป๋ายเหย่เข้ามาในใต้หล้าใหม่เอี่ยมด้วยกัน หรือตั้งช่วงเวลาที่นครของกำแพงเมืองปราณกระบี่หล่นลงบนพื้นเป็นปีแรก ก็ทำให้ทะเลาะกันอีกครั้ง

แน่นอนว่ายังเป็นซิ่วไฉเฒ่าคนเดียวที่ทะเลาะกับคนของศาลบุ๋นทั้งกลุ่ม

สุดท้ายเป็นซิ่วไฉเฒ่าที่เถียงชนะทั้งสองครั้ง เรื่องของรัชศกเจียชุน คุณความชอบที่ป๋ายเหย่ใช้กระบี่เปิดทางก่อน จากนั้นยังใช้กระบี่เปิดฟ้าดิน ถือว่าใหญ่หลวงอย่างยิ่ง ในช่วงเวลาระหว่างนี้แน่นอนว่าซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้อยู่นิ่งเฉย เรียกได้ว่าเหนื่อยยากโดยไม่ปริปากบ่น ทำเรื่องมากมายได้สำเร็จ ยกตัวอย่างเช่นกำหนดขุนเขาสายน้ำ ดังนั้นจึงถือว่าศาลบุ๋นตอบตกลงกับซิ่วไฉเฒ่าในข้อที่ว่า ‘จะดีจะชั่วพวกเราก็ควรเห็นแก่หน้าป๋ายเหย่หน่อย’ แต่แท้จริงแล้วขนาดคนโง่ก็ยังรู้ว่า บัณฑิตที่ถูกขนานนามว่าเป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดบนโลกมนุษย์ผู้นั้น ไหนเลยจะเคยมาจุ้นจ้านกับเรื่องของชื่อศักราช แล้วยังเอากระบี่พาดคอซิ่วไฉเฒ่าด้วย? ใครเอากระบี่พาดคอใครก็ยังไม่แน่เลย

ส่วนปีแรกของศักราชเจียชุน สุดท้ายกำหนดให้เป็นช่วงเวลาที่นครหล่นลงพื้น ก็เป็นเรื่องที่เพิ่งมากำหนดได้ภายหลังหลังจากผ่านการโต้เถียงกันไม่หยุดย่อน นั่นเป็นเพราะซิ่วไฉเฒ่าออกจากใต้หล้าแห่งที่ห้าไปได้ไม่นานก็ไปที่ศาลบุ๋นอย่างลำพองใจ ยามเดินต้องเรียกว่าเชิดรูจมูกขึ้นฟ้า ท่วงท่าฮึกเหิมทะนงตน ชายแขนเสื้อใหญ่ทั้งสองข้างสะบัดปลิวไสว ที่แท้ซิ่วไฉเฒ่าก็ไปขโมยภาพบรรพบุรุษของภาพค้นภูเขาแห่งใต้หล้าจากป๋ายเจ๋อมาได้ อันที่จริงตอนแรกศาลบุ๋นยังหวังให้กำหนดปีแรกของรัชศกเจียชุนเป็นช่วงที่ซิ่วไฉเฒ่ากับป๋ายเหย่เพิ่งเข้ามาในใต้หล้าแห่งใหม่ครั้งแรก แต่ซิ่วไฉเฒ่ายอมตัดใจทิ้งคุณความชอบทั้งหมดของตัวเอง แต่ก็ต้องแลกเปลี่ยนมาด้วยการปกป้องคุ้มกันจากโชคชะตามหามรรคาส่วนหนึ่งให้กับนครแห่งนั้น บวกกับที่ภาพค้นภูเขานั้น ซิ่วไฉเฒ่าเองก็ไม่ยอมเก็บเอาไว้ แต่จะมอบให้กับทักษินาตยทวีป ศาลบุ๋นถึงพูดอะไรไม่ได้

ตอนนั้นศาลบุ๋นปิดประตูลง อันดับแรกก็เป็นซิ่วไฉเฒ่าที่ทะเลาะกับรองเจ้าลัทธิศาลบุ๋น ผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาและเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแผ่นดินกลางกลุ่มนั้นใหญ่โตก่อนรอบหนึ่ง

ภายหลังหย่าเซิ่งมาถึง กระทั่งหลี่เซิ่งก็มาด้วย

ซิ่วไฉเฒ่าถึงพูดตามตรงว่าบัณฑิตอย่างพวกเราไม่เพียงแต่ต้องปิดประตูบ้านถกเถียงกัน ยังต้องปิดประตูห้องหนังสือด้วย ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่กลัวว่าจะเสียภาพลักษณ์ แต่ทุกท่านกลับเป็นเจ้าสำนักที่สุภาพอ่อนโยน มีภาพลักษณ์สง่างามกันมากเกินไป จะทำให้พวกผู้น้อยเห็นเรื่องตลกเอาได้ ดังนั้นสุดท้ายนอกจากคนทั้งสามแล้ว ทุกคนต่างก็ต้องออกไปจากประตูใหญ่ศาลบุ๋น ยืนรอฟังข่าวอยู่บนลานด้านนอกแต่โดยดี

สรุปก็คือถึงท้ายที่สุด รองเจ้าลัทธิสองท่าน ผู้อำนวยการใหญ่สามท่านและเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาอีกหลายท่านต่างก็ได้เห็นภาพนั้น อริยะสามท่านจับมือกันเดินออกมาจากศาลบุ๋น ที่แท้ซิ่วไฉเฒ่ากับหย่าเซิ่งเดินขนาบข้างของหลี่เซิ่ง คิดไม่ถึงว่าซิ่วไฉเฒ่าจะชะลอฝีเท้าด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ เบียดหย่าเซิ่งออก ตัวเองมาเดินอาดๆ อยู่ตรงกลาง โชคดีที่หลี่เซิ่งแค่ยิ้มบางๆ หย่าเซิ่งไม่ประหลาดใจ ปล่อยให้ซิ่วไฉเฒ่าละเมิดกฎครั้งหนึ่งทั้งอย่างนี้

แต่ซิ่วไฉเฒ่าก็ยังคงเป็นซิ่วไฉเฒ่า ไม่ได้ฟื้นคืนสถานะเหวินเซิ่ง เทวรูปยิ่งไม่ได้ถูกย้ายกลับเข้ามาในศาล ไม่ได้อยู่เคียงข้างปรมาจารย์มหาปราชญ์

สุดท้ายทุกคนก็แยกย้ายจากไป

มีเพียงซิ่วไฉเฒ่าที่นั่งอยู่บนขั้นบันไดคนเดียว คล้ายกำลังบ่นเรื่องสัพเพเหระให้ใครบางคนฟัง

ยามซิ่วไฉเฒ่าระบายความทุกข์ให้คนอื่นฟัง ไม่เคยมีสีหน้ากลัดกลุ้มให้เห็น

แล้วนับประสาอะไรกับที่วันนี้ซิ่วไฉเฒ่าระบายความอัดอั้นไปไม่น้อย แต่โอ้อวดตัวกลับมากยิ่งกว่า

ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ถูกบูชาเป็นปรมาจารย์มหาปราชญ์นั่งอยู่ข้างซิ่วไฉเฒ่า

ผู้เฒ่าอยากจะไปทำธุระของตัวเอง เพียงแต่ซิ่วไฉเฒ่ากลับขยุ้มชายแขนเสื้อของเขาเอาไว้แน่น จึงไม่อาจจากไปได้

ผู้เฒ่าจึงได้แต่กระตุกชายแขนเสื้อเบาๆ บอกเป็นนัยว่าแค่พอสมควรก็พอแล้ว

ซิ่วไฉเฒ่าเลยขยับตัวนั่งหันข้าง เปลี่ยนจากมือข้างเดียวเป็นมือสองข้างที่รั้งชายแขนเสื้อเขาไว้เสียเลย “คุยกันอีกหน่อย คุยกันอีกสักหน่อย! นี่เพิ่งคุยกันได้ถึงไหนเอง ลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้าไปหาภรรยาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อย่างไรยังไม่ได้เล่าให้ฟังเลยนะ ตาเฒ่า เจ้าไม่รู้หรอกว่าลูกศิษย์คนสุดท้ายคนนี้ของข้าคือผู้ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ด้านความรู้ของสายข้า เรื่องหาภรรยาก็ยิ่งเก่งกาจล้ำหน้าอาจารย์และศิษย์พี่!”

ผู้เฒ่าเอ่ยอย่างระอาใจ “กระบี่นั้นของป๋ายเหย่นับว่าค่อนข้างเกรงใจแล้ว”

……

ในประตูใหญ่ที่อยู่ทางทิศใต้สุด ลัทธิขงจื๊อร่ายตราผนึกขุนเขาสายน้ำไว้สองชั้น เมื่อเข้ามาในใต้หล้าแห่งที่ห้า รวมถึงข้ามอาณาเขตเส้นที่สองมาแล้วก็ได้แต่ออกไป ไม่อาจหวนกลับคืนได้อีก

หนิงเหยาขี่กระบี่ลอยตัวกลางอากาศมาหยุดอยู่ห่างไปพันลี้ ทอดสายตามองประตูใหญ่ที่ตั้งตระหง่านระหว่างฟ้าดินบานนั้นอยู่ไกลๆ

ขอแค่ใช้กระบี่ทำลายตราผนึกก็จะสามารถข้ามประตูใหญ่ไปที่ใบถงทวีปได้แล้ว

แต่สุดท้ายหนิงเหยาก็ยังหมุนตัวจากไป

ทว่าท้ายที่สุดก็เปลี่ยนใจอีก สอดกระบี่เก็บใส่ฝัก สะพายไว้ด้านหลัง พลิ้วกายลงบนพื้น

นางสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ สะพายกระบี่เจี้ยนเซียน

หนิงเหยาคิดว่าจะหาผู้ฝึกตนของใบถงทวีปสักสองสามคนมาถามถึงสถานการณ์ล่าสุดของที่นั่น

——