มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1456

การเพ็ญตนของสองมหาร่างกลวัฏสงสารนี้แตกต่างจากร่างแท้ของเขา พลังออร่าจึงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว อีกทั้งโฉมหน้าก็แตกต่างจากร่างแท้เช่นกัน จึงไม่มีผู้ใดคาดถึงว่าทั้งสองคนนี้จะเป็นร่างแยกของเขา

ร่างแท้คอยคุ้มกันรักษาอยู่ในตำหนักซิวหลัวและสองมหาร่างกลวัฏสงสารก็จากไปจากตำหนักซิวหลัวภายใต้การกำบังจากค่ายกล ล่องลอยอยู่ในเมืองฟ้าเยือก

หลัวซิวเสาะหาข่าวคราวบางอย่างได้อย่างรวดเร็ว ผู้คนในสมาคมจรัสนภากำลังกว้านซื้อวัตถุดิบล้ำค่าต่าง ๆ ที่ใช้ในการจัดวางค่ายกลและกลั่นธงค่าย ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ประกาศรับสมัครนักค่ายเทพระดับสูงที่อยู่ในเมืองเช่นกัน

นี่จึงทำให้หลัวซิวสัมผัสได้ลาง ๆ ว่าความอันตรายที่อยู่ในเหมืองแก้วเทวชั้นกลาง น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับค่ายกล

การกระทำเหล่านี้ของสมาคมจรัสนภาไม่ได้ทำอย่างเอิกเกริกยิ่งใหญ่แต่อย่างใด เพราะถ้าเกิดดึงดูดความสนใจของกองกำลังต่าง ๆ เข้าละก็ ข่าวคราวของเหมืองแก้วเทวชั้นกลางก็จะแพร่งพรายออกไป สมาคมของพวกเขาไม่อยากแข่งขันกับตำหนักหลักเมืองอื่น ๆ ด้วยซ้ำ

เพราะฉะนั้นสมาคมจรัสนภาจึงระมัดระวังเป็นอย่างมาก ทางตำหนักหลักเมืองก็ไม่มีท่าทีการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อยเลยเช่นกัน ราวกับไม่ทราบเรื่องนี้ยังไงอย่างนั้น

ร่างกลวัฏสงสารที่สองใช้ตัวตนผู้บำเพ็ญตนอิสระคนหนึ่งเข้าสมัครการรับสมัครของสมาคมจรัสนภา แสดงศักยภาพระดับฝีมือของนักค่ายเทพระดับ 5 ออกมา ทำให้ระดับสูงของสมาคมจรัสนภาต่างดีใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากจำนวนนักค่ายเทพระดับ 6 ที่อยู่ในเมืองฟ้าเยือกนั้นมีน้อยมาก ๆ ส่วนมากจะเป็นพวกมีอุปนิสัยชอบสันโดษและเอาแต่ใจ หรือไม่ก็เป็นพวกรับใช้ตำหนักหลักเมือง โอกาสที่ทางสมาคมจรัสนภาจะรับสมัครหรือว่าจ้างนักค่ายเทพระดับนี้ได้นั้นจึงน้อยมาก

หลัวซิวจงใจปกปิดระดับความสามารถด้านค่ายกลที่แท้จริงของร่างกลวัฏสงสารที่สอง ซึ่งเทียบเท่ากับการเก็บกลอุบายลับหนึ่งไว้ในสมาคมจรัสนภา

หลังจากที่เข้าร่วมสมาคมจรัสนภาแล้ว ร่างกลวัฏสงสารที่สองก็ไม่ได้รับข่าวคราวที่เกี่ยวข้องกับเหมืองแก้วเทวชั้นกลางเลย

และในระหว่างนี้ เจิ้นหวางหยูก็เดินทางไปตำหนักซิวหลัวอีกหลายครั้ง เพื่อพูดเกี่ยวกับเรื่องการทำงานร่วมกัน

สุดท้ายหลัวซิวลังเลใจอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เขาจะตอบตกลงฝ่ายตรงข้าม

เมื่อเห็นว่าหลัวซิวตกลงแล้ว เจิ้นหวางหยูก็มีความสุขมาก ๆ“มีการเข้าร่วมของผู้เพื่อนยุทธ์หลัว ทำให้ความมั่นใจของสมาคมจรัสนภาเราก็เพิ่มมากยิ่งขึ้นด้วย ต่อให้ตำหนักหลักเมืองจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ยากที่จะแก่งแย่งกับเราได้”

“ตำหนักหลักเมือง?”หลัวซิวขมวดคิ้วลงเล็กน้อย“ตำหนักหลักเมืองก็ทราบเรื่องเหมืองแก้วเทวแล้วหรือ?”

สำหรับตำหนักหลักเมืองในเมืองฟ้าเยือกนั้น หลัวซิวก็เกรงกลัวเล็กน้อยอยู่ เพราะถึงอย่างไรที่นั่นมีผู้แข็งแกร่งราชาเทพที่แท้จริงคนหนึ่ง

เมื่ออยู่แดนตั้งแต่เทพมารเป็นต้นไป ระยะความต่างของศักยภาพในแต่ละแดนใหญ่นั้นจะห่างกันเยอะมาก ๆ ยกตัวอย่างเช่นระยะความต่างของศักยภาพระหว่างเทพฟ้าและกึ่งเทพฟ้า อาจจะแตกต่างกันถึงสิบเท่าหรือร้อยเท่าเลยก็ว่าได้ ด้วยเหตุนี้ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป ราชาเทพคนหนึ่งจึงสามารถข่มกึ่งเทพฟ้าจำนวนมากได้อย่างง่ายดาย

แต่หลัวซิวกลับสามารถก้าวข้ามแดนใหญ่ท้าประลองกับผู้ที่แดนอยู่เหนือตัวเอง ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเขาแข็งแกร่งกว่านักยุทธ์ในระดับเดียวกันมาก ๆ มากกว่านั้นคือศักยภาพของเขาอยู่เหนือหลักทำนองคลองธรรมไปแล้ว

เจิ้นหวางหยูถอดหายใจเฮือกหนึ่ง“ผู้คนในสมาคมเยอะ ข่าวคราวจึงแพร่งพรายออกไปง่าย มาตรแม้นว่าท่านหัวหน้าแก๊งจะออกคำสั่งปิดข่าวเรื่องนี้ไปแล้ว แต่สุดท้ายมันก็แพร่งพรายไปถึงทางตำหนักหลักเมืองอยู่ดี”

“แต่ทว่าผู้เพื่อนยุทธ์หลัวก็ไม่ต้องกังวลมากนัก เจ้าเมืองจี้เฟิงฝึกตนปิดขังไปนานหลายปีแล้ว เท่าที่เราทราบมาเขายังไม่ออกจากการฝึกตนปิดขัง บัดนี้ผู้ที่ดูแลรับผิดชอบและควบคุมดูแลตำหนักหลักเมืองคือศิษย์ใหญ่ของเจ้าเมืองจี้เฟิง จี้ซิว”

อ้างอิงจากที่เจิ้นหวางหยูกล่าวมา ในเมืองฟ้าเยือกมีเพียงเจ้าเมืองจี้เฟิงเท่านั้นที่เป็นราชาเทพ ศิษย์ที่อยู่ใต้การบังคับบัญชาของเขามีทั้งหมดหกคน ผู้ที่มีผลการฝึกตนสูงที่สุดคือศิษย์ใหญ่จี้ซิว ซึ่งอยู่ในแดนกึ่งราชาเทพ

ถึงแม้ข่าวคราวเรื่องเหมืองแก้วเทวจะแพร่งพรายไปถึงหูตำหนักหลักเมืองแล้ว แต่การปิดข่าวของสมาคมจรัสนภาก็ยังส่งผลดีอยู่บ้าง พวกจี้ซิวไม่ทราบแต่อย่างใดว่าเหมืองแก้วเทวที่สมาคมจรัสนภาค้นพบเป็นเหมืองระดับใด และจำนวนแก้วเทวที่อยู่ภายในสูงระดับใด

อีกทั้งสมาคมจรัสนภายังกุมหมากรุกไว้ในมือหนึ่งหมาก นั่นก็คือพวกเขาทราบเส้นทางถูกต้องที่สามารถนำไปสู่เหมืองแก้วเทวได้

อดีตพวกเขาใช้เวลาไปสิบกว่าปีถึงจะตามหาเหมืองแก้วเทวพบ หากไม่มีการชี้นำจากพวกเขา ผู้คนในตำหนักหลักเมืองก็อย่าคิดที่จะหาสถานที่นั้นเจอเช่นกัน