ตอนที่ซิ่วไฉเฒ่าถูกป๋ายเหย่ใช้หนึ่งกระบี่ส่งออกมาจากใต้หล้าแห่งที่ห้าคือศักราชเจียชุนปีที่สาม
ซิ่วไฉเฒ่าเคยไปเยี่ยมเยือนป๋ายเจ๋อ ตอนที่กลับมายังศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางอีกครั้งคือศักราชเจียชุนปีที่สี่ ส่วนตอนที่ซิ่วไฉเฒ่ามายังเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลีที่ตั้งอยู่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป ได้กลับมาเจอกับอดีตลูกศิษย์คนแรกอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็ไปอยู่ที่ริมตลิ่งท่าเรือฉีตู้ที่มีภาพบรรยากาศแบบใหม่ก็เป็นช่วงเริ่มฤดูใบไม้ผลิของรัชศกเจียชุนปีที่ห้าแล้ว ต้นหลิ่วต้นหยางเคียงคู่ ดอกไม้พืชหญ้าพากันเบ่งบาน นกแมลงบินฉวัดเฉวียนอย่างเริงร่า พวกเด็กๆ ประถมเลิกเรียนเร็วจึงออกมาเล่นว่าวชักสายป่านล้อลมสูง
ภาพบรรยากาศของฤดูใบไม้ผลิอันอับอุ่นเช่นนี้ทำเอาซิ่วไฉเฒ่าที่มองดูอยู่หัวคิ้วคลายออกจากกันได้ ถามชุยฉานที่อยู่ด้านข้างเกี่ยวกับการตั้งชื่อของใต้หล้าแห่งที่ห้าว่าเขามีความคิดอะไรหรือไม่
ชุยฉานบอกว่าไม่มี
ชุยตงซานที่ตามมาด้านหลังของคนทั้งสองกลับพอจะมีความคิดอยู่บ้าง น่าเสียดายที่ซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้ถามเขา บอกเพียงว่าแรกเริ่มทางฝั่งของศาลบุ๋นคิดจะใช้สองคำว่า ‘กฎเกณฑ์’ มาตั้งเป็นชื่อ แต่หลี่เซิ่งไม่ยอมตอบตกลง บอกว่าคำว่ากฎเกณฑ์คือลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดโชยให้ความชุ่มชื้นแก่สรรพสิ่ง ไม่จำเป็นต้องเอามาวางไว้บนหน้ากระดาษ เมธีจากร้อยสำนักก็มีข้อเสนอแตกต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่นบรรพจารย์หลายท่านซึ่งมีสำนักหยินหยาง สำนักกสิกรรมเป็นหนึ่งในนั้นพร้อมใจกันเสนอชื่อ ‘สุขาวดี’ (เถาหยวน หรือสวนดอกท้อ เปรียบเปรยถึงแดนสวรรค์ แดนสุขาวดี) คนที่เห็นด้วยมีค่อนข้างเยอะ นอกจากจะมีความหมายถึงแดนสุขาวดีนอกโลกแล้ว ความหมายแฝงยังงดงาม อีกทั้งยังสามารถทำให้ผู้คนจดจำคุณความชอบยิ่งใหญ่ในการบุกเบิกฟ้าดินแห่งใหม่ของลัทธิขงจื๊อได้ด้วย และทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของใต้หล้าแห่งใหม่ก็มีต้นท้ออยู่ต้นหนึ่งจริงๆ ต้นท้อนั้นค่อนข้างจะประหลาด เพียงแค่ผลิดอกไม่ออกผลมาเนิ่นนาน กระทั่งป๋ายเหย่พกกระบี่เปิดฟ้าดิน มันกลับออกผลทันที แต่หย่าเซิ่งก็ยังปฏิเสธความเห็นข้อนี้
ดังนั้นจนถึงทุกวันนี้ใต้หล้าแห่งที่ห้าก็ยังไม่มีชื่อที่ถูกทำนองคลองธรรม
ชุยตงซานหลุดหัวเราะพรืด “ดินแดนสุขสงบที่หนีพ้นจากหายนะมาได้ก็ถือว่าเป็นแดนสุขาวดีนอกโลกอย่างแท้จริงด้วยหรือ? ข้าไม่เชื่อหรอกว่าใต้หล้าแห่งที่ห้าทุกวันนี้จะมีคนที่จิตใจสงบได้สักกี่คน พอรอดพ้นหายนะมาได้ จิตใจเริ่มจะปลอดโปร่งบ้างแล้วย่อมต้องคิดอยากจะช่วงชิงพื้นที่อิทธิพลมาเป็นของตน ลักชิงปล้นขโมย ตีกันจนน้ำสมองไหลนองเต็มพื้นล่ะสิไม่ว่า รอกระทั่งสถานการณ์พอจะสงบมั่นคงได้แล้ว หยัดยืนได้มั่นคงแล้ว มีชีวิตที่สุขสบายได้สักสองสามวัน พูดถึงแค่คนของใบถงทวีปกลุ่มเดียว พวกเขาก็ต้องคิดชำระบัญชีแค้นย้อนหลังแน่นอน แรกเริ่มก็จะด่าคนกันเองก่อน ด่าว่าสำนักกุยหยก สำนักใบถงล้วนเป็นเศษสวะ ไม่อาจพิทักษ์มาตุภูมิเอาไว้ได้ แล้วค่อยด่าศาลบุ๋นของแผ่นดินกลาง สุดท้ายแม้แต่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ถูกด่าไปด้วย ปากไม่กล้า แต่ในใจไม่ว่าอะไรก็กล้าด่าหมด สถานที่ที่เต็มไปด้วยมลพิษสกปรกแห่งนี้น่ะหรือจะให้ชื่อว่าสุขาวดี”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้า “หย่าเซิ่งก็คงคิดประมาณนี้แหละ”
ชุยตงซานรีบเปลี่ยนคำพูดใหม่ทันที “ถ้าอย่างนั้นก็ชื่อว่าใต้หล้าสุขาวดีแล้วกัน ข้าพร้อมชูสองมือสองเท้าสนับสนุนความคิดนี้ หากยังไม่พอ ข้าจะเอาน้องเกามาร่วมด้วยเลย”
ซิ่วไฉเฒ่าแสร้งฟังคำพูดอีกฝ่ายเป็นลมพัดผ่านข้างหู แปลกใจนัก ตอนนั้นที่ชุยฉานไปร่ำเรียนในตรอกเก่าโทรมแห่งนั้น ดูเหมือนว่านิสัยเขาไม่ได้เป็นแบบนี้นี่นา
ก่อนที่ชุยฉานจะจากไป ซิ่วไฉเฒ่าเอาตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตที่ยืมมาจากผู้อำนวยการใหญ่สถานศึกษาหลี่จี้ชั่วคราวมอบให้แก่ชุยฉาน
ชุยฉานไม่ได้ปฏิเสธ
ซิ่วไฉเฒ่าบอกว่าอักษร ‘ภูเขา’ ตัวนี้ เขาไปยืมคนอื่นมา
ชุยฉานพยักหน้ารับ
ความนัยในคำพูดของซิ่วไฉเฒ่าก็คือ ตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตนี้ คืนหรือไม่คืน คืนเวลาใด จะคืนอย่างไร ล้วนเป็นแค่เรื่องของซิ่วไฉเฒ่า ไม่เกี่ยวอะไรกับชุยฉานและต้าหลี
หลังจากที่ชุยฉานจากไป ชุยตงซานก็เดินอาดๆ มาหยุดอยู่ข้างกายซิ่วไฉเฒ่า ถามเสียงเบาว่า “หากเจ้าตะพาบเฒ่ายังไม่ขึ้นไปบนอักษร ‘ภูเขา’ นั้น เจ้าคิดจะใช้คุณความชอบนั้นมาชดเชยให้สายของหลี่เซิ่งหรือ?”
ชุยตงซานไม่เคยคลางแคลงใจในความสามารถด้านการเก็บกวาดเรื่องเละเทะของซิ่วไฉเฒ่า สายเหวินเซิ่งในอดีต อันที่จริงก็เป็นซิ่วไฉเฒ่าที่คอยซ่อมแซมแก้ไขมาโดยตลอด คอยไปขอโทษคนทั่วสารทิศแทนพวกลูกศิษย์ หรือไม่ก็ไปให้การสนับสนุนด้วยการเขย่งเท้า โบกชายแขนเสื้อสะเปะสะปะอธิบายเหตุผลกับคนอื่น
ในสายตาของเผยเฉียน ศิษย์พี่เล็กเดินเหมือนห่านขาวใหญ่ ชายแขนเสื้อใหญ่สองข้างสะบัดพึ่บพั่บไร้ระเบียบ แรกเริ่มสุดเขาเรียนรู้มาจากใคร คำตอบก็ชัดเจนอย่างมากแล้ว
มีอาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่ง ปีนั้นเหมือนแม่ไก่แก่ที่พร้อมปกป้องลูกๆ ของตัวเองสุดชีวิต
ซิ่วไฉเฒ่าชำเลืองตามองเด็กหนุ่มชุดขาว
เจ้าตะพาบน้อยผู้นี้ ไม่ว่ามองอย่างไรก็ขวางหูขวางตาเสียจริงเชียว
ชุยตงซานหดคอ เอ่ยเรียกคำหนึ่งว่าอาจารย์ปู่แต่โดยดี อาจารย์ของอาจารย์ ลำดับศักดิ์สูงยิ่งกว่าแผ่นฟ้า
ชุยตงซานเบี่ยงตัวเดินหันข้าง ใช้ไม้เท้าเดินป่าในมือทิ่มพื้นเบาๆ บอกเป็นนัยแก่ซิ่วไฉเฒ่าว่าจะดีจะชั่วทุกวันนี้ข้าก็เป็นศิษย์หลานของเจ้า ต่อให้ขยับฝีปากก็ไม่ควรขยับมือไม้ตีกัน สั่งสอนลูกศิษย์เป็นเรื่องของอาจารย์ ยังไม่มาถึงคราวของเจ้าที่เป็นอาจารย์ปู่
ชุยตงซานเอ่ยอย่างแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม “เจ้าชุยฉานผู้นี้ ตั้งแต่ต้นจนจบผายลมแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น ช่างไม่เคารพกันบ้างเลย! วันหน้าข้าจะช่วยอาจารย์ปู่ด่าเขาให้เอง”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยเนิบช้าว่า “ถึงอย่างไรพวกเจ้าก็เป็นคนสองคนแล้ว ต้องรู้จักทะนุถนอมเห็นค่าให้ดี เมื่อก่อนพาพวกเจ้าเดินทางผ่านขุนเขาสายน้ำมากมายขนาดนั้น ก็น่าจะเข้าใจว่า น้ำที่มาจากต้นกำเนิดเดียวกัน หลังจากแยกสาขากันไปแล้ว สายน้ำมากมายนึกจะไม่มีก็ไม่มีแล้ว จะต้องไหลไปให้ไกลกว่าน้ำต้นกำเนิดให้ได้”
ชุยตงซานพยักหน้ารัวๆ ราวไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก “นอกจากเหมือนสายน้ำใหญ่ที่ไหลรินไม่หยุดนิ่ง เหมือนน้ำใสที่ส่องเห็นตัวคนแล้ว เป็นคนยังต้องหัดเรียนรู้เอาอย่างอาจารย์ปู่ที่ค้ำฟ้ายันดิน ไม่ถูกลมมรสุมพัดทำลาย เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้จะยังคงมีความรู้สึกว่า ‘วันเวลาเหมือนสายน้ำที่ไหลหายไป’ ก็ไม่ต้องหวาดเกรงอีกแล้ว ความรู้ในทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นดั่งท่าเรือที่ทำให้คนรุ่นหลังได้พักผ่อนอย่างสบายใจ สามารถออกเดินทางท่องเที่ยวไปไกลแล้วไกลอีกได้อย่างวางใจ”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มอย่างชอบใจ “ลมและน้ำของภูเขาลั่วพั่วถูกเจ้าพาให้บิดเบี้ยวจริงๆ เสียด้วย”
แต่หลังจากที่ ‘น้ำใสส่องเห็นตัวคน’ แล้ว บุคลิกท่าทางต้องสุขุมมั่นคง ความคิดต้องหนักแน่นเยือกเย็น นี่ก็เป็นคำกล่าวที่ดีงามมากจริงๆ ในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอด เสี่ยวฉีกับผิงอันน้อยล้วนคู่ควรกับคำกล่าวนี้
ชุยตงซานเอ่ยอย่างอ่อนระโหยโรยแรง “อาจารย์ก็พูดแบบนี้ อาจารย์ปู่ยังคิดแบบนี้อีก ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้เถอะ”
ซิ่วไฉเฒ่าถามเบาๆ “ทางฝั่งภูเขาลั่วพั่ว หืม?”
คำถามนี้ค่อนข้างจะไม่มีหัวไม่มีท้ายไปสักหน่อย แต่ชุยตงซานกลับเข้าใจได้ทันที วิ่งตุปัดตุเป๋ขยับมาใกล้หลายก้าว ก่อนตอบเบาๆ “เรียนอาจารย์ปู่ ทุกวันนี้ยังคงขาดเงินอยู่เหมือนเดิม แต่รากฐานกลับยิ่งหนาลึกล้ำขึ้นแล้ว ผู้ถวายงานโจวเฝยค่อนข้างมีคุณธรรม ระดับขั้นของพื้นที่มงคลรากบัวไม่เพียงไม่ลดต่ำกลับยังเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งอาจารย์ยังหลอกสหายฉางมิ่งจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มาได้อีกคน คือบรรพบุรุษของเงินเหรียญทองแดงแก่นทองในใต้หล้า เดิมทีตัวนางเองก็คือการแสดงออกของมหามรรคาแห่งโชคลาภอย่างหนึ่ง นางอยู่ที่แจกันสมบัติทวีปของพวกเรา พอไปถึงภูเขาลั่วพั่วก็ยิ่งไปเยือนถูกสถานที่ อีกทั้งในพื้นที่มงคลรากบัวยังมีภูตหญิงคนหนึ่งที่ถือกำเนิดขึ้นจากการรวมตัวกันของปราณบุ๋น ทุกวันนี้ภูเขาลั่วพัวจึงมีครบทั้งปราณบุ๋นและโชคลาภแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่าเชิดปลายคางขึ้น
ชุยตงซานรีบเอ่ยทันทีว่า “พี่น้องต้าเฟิงจากไปแล้ว ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองมิอาจเข้าไปในใต้หล้าแห่งใหม่ กฎข้อนี้ตั้งได้ดีอย่างยิ่ง”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้า “บัณฑิตอย่าอายที่จะพูดเรื่องเงินทอง แล้วก็ไม่ต้องละอายที่จะช่วงชิงผลประโยชน์ ราวกับว่าอาศัยความสามารถของตัวเองหาเงินมาได้จะทำให้เสียภาพลักษณ์ความสุภาพซะอย่างนั้น การแบ่งแยกระหว่างเกียรติยศและความอัปยศ วิญญูชนรักทรัพย์สินเงินทอง พิจารณาถึงคุณธรรมก่อนแล้วค่อยคิดผลประโยชน์คือเกียรติยศ คือวิธีปฏิบัติที่ควรนำไปใช้”
ชุยตงซานถามอย่างใคร่รู้ “ทุกวันนี้ใต้หล้าแห่งที่ห้ามีโชควาสนามากเลยใช่ไหม?”
ซิ่วไฉเฒ่าอืมรับหนึ่งที “อย่างต้นท้อต้นนั้นก็สามารถจัดเป็นหนึ่งในสิบอันดับแรกของโชควาสนายิ่งใหญ่ ป๋ายเหย่เองก็สร้างกระท่อมลวกๆ ไว้ที่นั่นหลังหนึ่ง จากนั้นทิ้งกระบี่เซียนไว้ที่นั่น หมายจะตอบแทนบุญคุณที่นักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูใหญ่ให้ยืมกระบี่ในปีนั้น ป๋ายเหย่ต้องการรอนักพรตบางคนของสายเซียนกระบี่ลัทธิเต๋าอยู่ที่นั่นก่อน หากได้เจอแล้ว คืนกระบี่เซียนแล้ว ป๋ายเหย่ก็จะหวนกลับมายังใต้หล้าไพศาล ดังนั้นกระท่อมแห่งนี้ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าแย่งชิงเอามา”
ชุยตงซานยิ้มหน้าเป็น “นักพรตของป๋ายอวี้จิงจับกลุ่มกันเข้าไปโหม่งชนที่นั่นจึงจะดี”
แน่นอนว่าซิ่วไฉเฒ่าก็เคยไปเป็นแขกที่นั่น ต้นท้อมหัศจรรย์ที่หยั่งรากไกลร้อยพันลี้ ได้รับเงื่อนไขที่ดีเยี่ยมต้นนั้น อันที่จริงมองดูแล้วไม่ได้สะดุดตาเท่าใดนัก แทบไม่ต่างอะไรจากต้นท้อป่า มองปราดๆ ยังไม่มีภาพบรรยากาศของความเป็นมงคลอะไรเลยด้วยซ้ำ
เพียงแต่ว่าแม้แต่ฟ้าดินซิ่วไฉเฒ่ากับป๋ายเหย่ยังเปิดออกได้ สายตาย่อมไม่ใช่สิ่งที่เทพเซียนทั่วไปสามารถทัดเทียมได้ และป๋ายเหย่เองก็มีคุณความชอบใหญ่หลวง อย่าว่าแต่ต้นท้อต้นเดียวนั่นเลย ต่อให้มีสักสิบต้นก็สามารถปล่อยให้เขาย้ายไปปลูกได้ทุกที่ตามใจชอบ
ป๋ายเหย่เก็บกระบี่ สร้างกระท่อมอ่านตำรา ต้นท้อที่อยู่ใกล้กระท่อมเริ่มค่อยๆ ออกผล ต้นท้อผลิดอก ล่างบันใดคือกระบี่เซียน
บางครั้งบัณฑิตก็จะออกเดินทางไกลโดยทิ้งกระบี่ยาวไว้เฝ้าบ้าน
ซิ่วไฉเฒ่าหยิบกลีบดอกท้อกำใหญ่มาจากใต้ต้นท้อ บอกว่าจะเอาไปหมักสุรา แล้วถือโอกาสเชิญให้พื้นที่มงคลกระดาษขาวทำกระดาษจดหมายดอกท้อให้อีกหลายสิบแผ่น แม้แต่ดินข้างต้นท้อซิ่วไฉเฒ่าก็ยังขโมยไปด้วยหลายกำใหญ่ ดินหมื่นปีที่สมชื่ออย่างแท้จริงไม่ได้มีให้พบเห็นบ่อยนัก วันหน้าลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขาต้องได้ใช้ ดังนั้นซิ่วไฉเฒ่าก็เลยเอามามากหน่อย
แน่นอนว่าซิ่วไฉเฒ่าได้บอกกล่าวแก่เจ้าของอย่างป๋ายเหย่ก่อนแล้ว เขาถามเสียงดังกับเจ้าของว่าจะทำแบบนี้ได้หรือไม่ ตอนนั้นคนในกระท่อมไม่เอ่ยอะไร ซิ่วไฉเฒ่าจึงคิดว่าพี่น้องป๋ายเหย่มีคุณธรรม การเงียบคือการยอมรับโดยปริยาย แต่ในความเป็นจริงแล้วกระทั่งซิ่วไฉเฒ่าจากมาได้หลายวันแล้ว ป๋ายเหย่ถึงได้เพิ่งกลับมาจากเดินทางไกล ตอนนั้นบัณฑิตมองใต้ต้นท้อที่สะอาดเกลี้ยงเกลา แล้วเงยหน้ามองไปบนกิ่งท้ออีกที สุดท้ายป๋ายเหย่จึงปล่อยกระบี่ส่งแขกนั้นมา
แน่นอนว่าถ้อยคำที่ซิ่วไฉเฒ่าใช้ตอนอยู่ในศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางก็คือป๋ายเหย่ส่งตนออกมาจากอาณาเขตอย่างมีมารยาท
ฟ้าดินเพิ่งถือกำเนิดใหม่ ขอบเขตหยกดิบคนแรก ขอบเขตเซียนเหรินคนแรก ผู้ฝึกตนคนแรกที่สังหาร ‘ตัวประหลาด’ …จะได้รับความโปรดปรานจากวิถีแห่งสวรรค์
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนแรกที่ฝ่าทะลุขอบเขตอยู่ที่นั่น ผู้ฝึกยุทธที่เลื่อนเป็นขอบเขตเดินทางไกลหรือไม่ก็ขอบเขตยอดเขาอยู่ที่นั่น…จะได้รับการปกป้องจากโชคชะตาบู๊
ภูเขาแห่งแรกที่สร้างศาลบรรพจารย์ จุดธูปกราบไหว้ภาพแขวน อีกทั้งยังแตกกิ่งก้านสาขา ราศวงศ์ในโลกมนุษย์ด้านล่างภูเขาที่เพิ่งก่อตั้งแห่งแรก ทารกคนแรกที่ถือกำเนิดในใต้หล้าใหม่เอี่ยม คู่รักเทพเซียนคู่แรกที่ผูกพันธะสัญญาฟ้าดิน ต่างก็เป็นเทพเซียนขอบเขตกลาง…จะได้รับการประทานพร
สรุปก็คือ โลกอันกว้างใหญ่ไพศาล ฟ้า ดิน มนุษย์ สามสิ่งรวมตัว โชควาสนาย่อมเกิดขึ้นไม่ขาดสาย
ชุยตงซานพลันเอ่ยอย่างเป็นกังวลว่า “เผยเฉียนศิษย์พี่หญิงใหญ่ของข้าฝ่าทะลุขอบเขตหก ขอบเขตเจ็ดเร็วเกินไป ตอนอยู่อุตรุกุรุทวีปก็ดันสละคำว่าแข็งแกร่งที่สุดไปอย่างโง่งม หากเลื่อนเป็นขอบเขตยอดเขาอยู่ที่ธวัลทวีปแต่เนิ่นๆ ถึงเวลานั้นจะต้องไปเยือนฝูเหยาทวีปรอบหนึ่งแน่นอน ที่นั่นเทียบกับใบถงทวีปที่เป็นเหมือนน้ำตายบ่อหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ ต้องวุ่นวายโกลาหลกว่ามาก กลับยิ่งทำให้ข้าเป็นห่วง”
ซิ่วไฉเฒ่ากลับถามว่า “เคยไปใต้หล้ามืดสลัวไหม?”
ทั้งที่รู้ดีก็ยังแกล้งถาม นายท่านอย่างข้าไม่ใช่ขอบเขตบินทะยานสักหน่อย ชุยตงซานจึงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าเคยไปหรือ?”
ต้องโทษเจ้าตะพาบเฒ่านั่นที่ทิ้งวิญญาณร้ายเอาไว้ไม่ยอมไปผุดไปเกิด ทำให้ตนเคยชินกับการโต้เถียงคนอื่น พอตระหนักได้ว่าพูดคุยกับอาจารย์ปู่เช่นนี้ย่อมไม่เป็นผลดีแน่ ชุยตงซานจึงรีบพูดเหมือนล้อมคอกเมื่อวัวหาย “อาจารย์ปู่ไม่เคยไป อาจารย์ก็ไม่เคยไป ข้าจะกล้าไปได้อย่างไร”
ซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้ถือสาท่าทีไม่เคารพยำเกรงของชุยตงซาน อีกทั้งเขายังไม่ใช่คนใจแคบ จดลงบัญชีเอาไว้ก่อนแล้วกัน วันหน้าไปถึงธวัลทวีปแล้วค่อยเอาให้เผยเฉียนอ่าน
ซิ่วไฉเฒ่าแหงนหน้ามองม่านฟ้า อริยะปราชญ์ที่มีเทวรูปตั้งบูชาซึ่งเฝ้าพิทักษ์สถานที่แห่งนี้ตำแหน่งอยู่อันดับสุดท้ายของศาลบุ๋น ดังนั้นปีนั้นถึงได้ถูกลู่เฉินเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงเรียกอย่างล้อเลียนว่า ‘เจ็ดสิบสอง’
ซิ่วไฉเฒ่าเดินไปข้างหน้าเนิบช้า พลางเอ่ยว่า “ไม่ใช่แค่ใต้หล้ามืดสลัวเท่านั้น ใต้หล้าไพศาลของพวกเราก็ไม่ต่างกัน ขอแค่เป็นตำหนักอารามทั้งหลาย ตำหนักใหญ่แห่งแรกล้วนเป็นตำหนักหลิงกวาน ส่วนเทพรูปหลิงกวานใหญ่นั้นก็โอ่อ่ามากบารมีอย่างแท้จริง ปีนั้นข้าออกจากบ้านเดินทางไกลเป็นครั้งแรก ไปเยือนอารามขนาดไม่ใหญ่แห่งหนึ่งของเขตการปกครองในบ้านเกิด จึงมีความทรงจำต่อเรื่องนี้อย่างลึกล้ำ ต่อให้ภายหลังพอจะมีชื่อเสียงบ้างแล้ว แล้วก็ได้เห็นทัศนียภาพอันงดงามอย่างอื่นมาแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้สึกตื่นตะลึงเท่าครั้งนั้นที่ได้เห็นเป็นครั้งแรก”
ชุยตงซานรู้ความคิดของซิ่วไฉเฒ่า จึงเอ่ยว่า “ดังนั้นอาจารย์ปู่จึงให้เผยเฉียนติดตามอยู่ข้างกายอาจารย์ ก็เพราะมีเจตนาเช่นนี้? ให้อาจารย์รู้สึกเหมือนคอยพิศมองอารามเต๋าอยู่ตลอดเวลา ใช้มรรคาพิศมรรคา? ขอแค่มีเผยเฉียนอยู่ข้างกาย เขาก็จะยิ่งขยับเข้าใกล้คำว่าสำรวมตนแม้อยู่ตามลำพังได้อย่างเป็นธรรมชาติดั่งน้ำมาคลองสำเร็จมากขึ้น?”
ใต้หล้ามืดสลัวมีเทียนซือใหญ่อยู่สี่ท่านที่มรรคกถาต่างก็เลิศล้ำค้ำฟ้า วิชาอภินิหารของแต่ละคนมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง แต่ต่างก็ไม่ได้ฝึกตนอยู่ในป๋ายอวี้จิง กลับกันคือคอยไปเฝ้าพิทักษ์สี่ทิศของใต้หล้า คนหนึ่งในนั้นก็คือผู้นำแห่งหลิงกวาน ในอดีตเคยมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเขาแพร่ขานกันไปทั่ว ตามบันทึกในตำราลัทธิเต๋ามากมาย บอกไว้คร่าวๆ ว่าก่อนที่หลิงกวานท่านนั้นจะพิสูจน์มรรคาได้เข่นฆ่าผู้คนไปมากมาย จึงถูกเทียนซือใหญ่ท่านหนึ่งที่ผ่านทางมาใช้กฎลงโทษ หลังจบเรื่องฝ่ายหลังไปตีกลองสวรรค์ เจ้าลัทธิใหญ่ของป๋ายอวี้จิงจึงให้เขาแอบติดตามเทียนซือใหญ่ออกท่องไปทั่วใต้หล้านานถึงสามร้อยปี รับปากว่าขอแค่เทียนซือทำความผิดเพียงครั้งเดียวก็จะให้ทั้งสองฝ่ายเปลี่ยนตำแหน่งกัน ถึงท้ายที่สุด แน่นอนว่าในเวลาสามร้อยปีนั้น เทียนซือใหญ่ท่านนั้นไม่เคยทำความผิดทั้งวาจาและพฤติกรรมเลยแม้แต่ครั้งเดียว
——