อวี๋ซินเงยหน้าขึ้นมองทะเลเมฆแล้วถามเบาๆ ว่า “เพราะอาจารย์จั่วทั้งไม่อาจไปจากที่นี่ แล้วก็ทั้งอยากกลับคืนไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็เลย…ลำบากใจมากมาโดยตลอดใช่หรือไม่?”
หวังซือจื่อพยักหน้า ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ศิษย์น้องเล็กของผู้อาวุโส ใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเราท่านนั้น ดูเหมือนว่าจะอยู่ที่นั่นเพียงคนเดียว ดังนั้นผู้อาวุโสจั่วโย่วจึงอยากไปที่นั่นมาก เพียงแต่ทุกวันนี้ใบถงทวีปมีสภาพเช่นนี้ ก็ยากจริงๆ ที่ผู้อาวุโสจั่วจะจากไปได้”
อวี๋ซินพึมพำว่า “เวทกระบี่ของเขาสูงส่งถึงเพียงนั้น แต่กลับต้องลำบากใจเช่นนี้หรือ?”
จั่วโย่วลำบากใจ เพราะไม่รู้ว่าตนจะได้ไปรับศิษย์น้องเล็กกลับมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่เมื่อไหร่
อวี๋ซินสงสาร นางไม่ต้องการให้วันใดวันหนึ่งในสายตาของตนไม่ได้เห็นเงาร่างเปลี่ยวเหงาที่ราวกับจะต้องอยู่เดียวดายไปตลอดกาลนั้นอีก นางทำใจไม่ได้หากวันใดเขาจากไปแล้วไม่หวนกลับคืนมา
บนโลกมนุษย์ควรจะมีจั่วโย่วที่ไม่ต้องลำบากใจ
ซิ่วไฉเฒ่าคนหนึ่งพุ่งมายังทะเลเมฆด้วยความเดือดดาล มาถึงด้านหลังของจั่วโย่วที่กำลังนั่งอยู่ จั่วโย่วกำลังจะลุกขึ้นยืน ซิ่วไฉเฒ่าไม่ต้องกระโดดก็เงื้อมือตบลงบนหัวของเขาได้อย่างเหมาะเหม็ง “เจ้าโง่หรือไง?! อาจารย์ไม่เคยสอนเจ้าว่าควรหาภรรยาอย่างไร แต่อาจารย์ก็ไม่เคยสอนเจ้าให้ทำตัวเป็นชายโสดขึ้นคานอย่างเอาจริงเอาจังสักหน่อย!”
จั่วโย่วโดนอาจารย์ตบอีกรอบ เขายังฉงนไม่เข้าใจ แต่ชินแล้วก็ดีไปเอง
……
เจิ้งต้าเฟิงจากบ้านเกิดมานานแล้ว จุดหมายปลายทางก็ชัดเจนอย่างมาก แต่กลับรอกระทั่งถึงปีศักราชเจียชุนที่ห้า เขาถึงได้ทำตามคำสั่งของอาจารย์ ไม่ไปเยือนพื้นที่มงคลรากบัวอีก แต่เดินเข้าไปในใต้หล้าแห่งที่ห้าอย่างเนิบช้า
การออกจากบ้านเกิดเดินทางไกลข้ามทวีปมาอย่างเงียบเชียบครานี้ เจิ้งต้าเฟิงทำตามคำสั่งของตาเฒ่า เส้นทางที่ใช้แปลกประหลาดอย่างยิ่ง อันดับแรกไปเยือนอุตรกุรุทวีปก่อน ไปหาศิษย์พี่และพี่สะใภ้ที่เมืองเล็กตีนเขาของยอดเขาสิงโต ขออาหารอร่อยๆ เหล้ารสเลิศดื่มอยู่หลายวัน พี่สะใภ้ไม่ด่าคนอย่างที่หาได้ยาก ยังถึงขั้นพูดจากับเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ทำให้เจิ้งต้าเฟิงเวทนาตัวเองยิ่งนัก เมื่อก่อนเจิ้งต้าเฟิงไม่ได้รู้สึกอะไรจริงๆ แต่พอเห็นพี่สะใภ้เป็นแบบนั้นแล้ว เขาถึงได้รู้สึกว่าหรือตนจะน่าสงสารขนาดนั้นจริงๆ?
เพียงแต่เมื่อเจิ้งต้าเฟิงกินดื่มอิ่มหนำแล้วก็ชำเลืองตามองไปยังลานบ้านนอกห้องที่ว่างเปล่า แล้วถามพี่สะใภ้ด้วยความหวังดีว่าจะให้ตนไปตัดไม้ไผ่บนภูเขามาสักสองสามลำ ช่วยทำราวตากผ้าที่แข็งแรงไว้ให้หลายๆ อันดีหรือไม่ จะได้เอาไว้ตากเสื้อผ้า
ตอนนั้นหลี่เอ้อง่วนอยู่กับการเก็บชามและตะเกียบ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินประโยคนี้ วันใดไม่หาเรื่องชวนด่า ก็ไม่ใช่ศิษย์น้องของเขาแล้ว
เดิมทีสตรีอยากจะด่าเขาให้หูชา แต่พอชำเลืองตามองเห็นบุรุษหลังค่อมหนวดเครารุงรังที่ดูเหมือนว่าร่างจะเตี้ยจากเดิมไปเกินหนึ่งช่วงศีรษะ นางกลับทำตัวผิดปกติ ไม่ด่าคน บอกว่าไม่ต้องหรอก แล้วก้มหน้าก้าวเร็วๆ เดินออกจากห้องไป
นี่ทำให้เจิ้งต้าเฟิงทอดถอนใจดังเฮือกๆ ได้แต่ถามศิษย์พี่เบาๆ ว่า เป็นเพราะพี่สะใภ้มาอยู่ที่นี่แล้วถูกคนนอกรังแกใช่หรือไม่ ถึงได้ไม่มีความห้าวหาญอย่างตอนที่อยู่บ้านเกิดเหลือเลย
หลี่เอ้อเพิ่งจะเก็บจานชามเสร็จ คิดไม่ถึงว่าภรรยาที่เดินออกไปแล้วจะกลับมาพร้อมเหล้าสองกา กับแกล้มอีกสามสี่จาน บอกว่าให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องอย่างพวกเขาสองคนได้พูดคุยกันดีๆ ไม่ได้เจอหน้ากันมานานมากแล้ว อีกเดี๋ยวก็จะต้องแยกจากกันอีก ดื่มมากหน่อยก็ไม่เป็นไร จนกระทั่งบัดนี้สตรีถึงได้กลับมามีมาดอย่างในอดีต นางชี้หน้าด่าเจิ้งต้าเฟิงว่า ไม่ยอมอยู่เฝ้าประตูใหญ่ที่บ้านเกิดดีๆ ต่อให้จะได้เงินมาไม่มาก แต่จะดีจะชั่วก็เป็นอาชีพที่มั่นคง ข้างนอกมีอะไรให้น่าไปอยู่กัน หน้าตาขี้ริ้วเพียงนี้ ตอนกลางคืนยืนอยู่หน้าประตูก็สามารถขจัดสิ่งชั่วร้ายได้ ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าเทพทวารบาลเสียอีก ความสามารถเท่าก้นยังไม่มีเลย หากยังไม่หัดเก็บสะสมเงินไว้ในกระเป๋าอีก แต่ละวันรู้จักแต่สอดส่ายสายตาสุนัขมองพวกสตรีที่เดินผ่านไปผ่านมา พวกนางจะช่วยเจ้าคลอดลูกหมาได้หรือ?
พอสตรีด่าเช่นนี้ เจิ้งต้าเฟิงก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันใด รีบเรียกให้พี่สะใภ้มานั่งลงดื่มเหล้าด้วยกัน ตบอกรับรองว่าวันนี้ตนจะดื่มเหล้าให้มากหน่อย จะเมาหลับพับให้หนักว่าผีขี้เหล้าเมาเหล้าตายเสียอีก ต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่มีทางได้ยิน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนอนละเมอเดินลงมาคลานสี่ขาเลย
ทำเอานางโมโหไม่น้อย พอออกจากห้องมาแล้วก็ลังเลเล็กน้อย สุดท้ายแม้แต่ร้านก็ไม่เฝ้าแล้ว ไปหาพวกสตรีออกเรือนแล้วสองสามคนที่สนิทสนมกันดี หวังไปสืบข่าว ดูสิว่ามีสตรีตาบอดที่พอจะเหมาะสมกันคนใดรู้สึกว่าศิษย์น้องของบุรุษตนพอจะเข้าท่าเข้าทีบ้างหรือไม่ บางทีอาจจะมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้
ในอดีตยามที่เจิ้งต้าเฟิงเฝ้าประตูใหญ่หรือไม่ก็ดื่มเหล้าอยู่ริมถนน เขาชอบทำท่าเปรียบเทียบรูปร่างเล็กใหญ่ของสตรีที่หน้าตาดี ตอนแรกก็วัดหน้าอกก่อน แล้วค่อยวัดสะโพก สายตาไม่เคยหยุดอยู่เฉย มือก็ไม่อยู่ว่าง ปากยิ่งไม่นิ่ง บอกว่าเขาทำวิญญาณหล่นไปในสาบเสื้อของพวกนาง ขอให้พี่ใหญ่ต้าเฟิงได้หาดีๆ เสียหน่อย หากหาเจอย่อมดีที่สุด หาไม่เจอก็ไม่กล่าวโทษกัน…
คนไม่เอาถ่านที่เฝ้าปากประตูแต่ปากตัวเองกลับไม่อยู่สุขผู้นี้ หากสามารถหลอกสตรีกลับไปเป็นภรรยาที่บ้านได้ก็ยังพอว่า แต่น่าเสียดายที่หนุ่มเทื้อโสดหื่นกามมีใจเป็นโจร แต่ดันไม่มีดีสุนัข ถึงท้ายที่สุดก็ยังหาสตรีดีๆ มาเป็นภรรยาไม่ได้ ก็จริงนะ ด้วยสารรูปเช่นนั้นของเขา แถมยังไม่เอาไหน จะมีสตรีดีๆ คนใดบ้างที่ยินดีลำบากตรากตรำร่วมกับเขา ในอดีตนางด่าก็ส่วนด่า ในทางส่วนตัวกลับยังเคยเกลี้ยกล่อมบุรุษของตัวเองอยู่หลายครั้ง บอกว่าหากไม่ได้จริงๆ ก็ให้ช่วยพูดแทนศิษย์น้องของเจ้า ให้ไปของานทำที่ร้านตระกูลหยางหรือไม่ก็ที่เตาเผามังกร แล้วค่อยหาสตรีบ้านใกล้เรือนเคียงที่ยังไม่ได้แต่งงาน แต่นิสัยไม่เลวร้ายสักคนมาอยู่กินกัน ต่อให้ต้องเป็นเขยที่แต่งเข้าก็ยังดี ขอแค่ปากของเจิ้งต้าเฟิงไม่พร่ำคำพูดสัปดน ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้างร้าน เป็นชาวไร่ชาวนา หรือเป็นคนตัดฟืน คนขนดิน คนเผาเครื่องกระเบื้อง ไม่ว่าอย่างไรก็สามารถสร้างครอบครัวเล็กๆ เป็นของตัวเองได้แล้ว
พอสตรีจากไป
หลี่เอ้อก็เริ่มพูดเรื่องเป็นการเป็นงานกับศิษย์น้อง “ทนไปก่อน รอให้ไปถึงที่นั่นก่อนแล้วค่อยฝ่าทะลุขอบเขต การกะหนักเบาในเรื่องนี้เจ้าต้องตัดสินใจเอาเอง ในเมื่ออาจารย์คืนจิตวิญญาณที่เหลืออยู่มาให้เจ้า ก็อย่าได้ย่ำยีให้มันเสียเปล่า หากระหว่างการเดินทางหาประสบการณ์ต่อจากนี้ไม่ทันระวังฝ่าทะลุขอบเขตเข้า จะเป็นปัญหายุ่งยากมาก ฝูเหยาทวีปอยู่ห่างจากแจกันสมบัติทวีปมากเกินไป อาจารย์เองก็ช่วยหาเส้นสายแนวทางให้เจ้าได้ลำบาก แล้วก็ไม่เหมาะจะให้อาจารย์ออกหน้าด้วย”
บนยอดเขาสิงโต หลี่เอ้อช่วยป้อนหมัดให้เจิ้งต้าเฟิงไปรอบหนึ่ง ในที่สุดเขาก็กลับมาเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกอีกครั้ง แม้จะอยู่ห่างจากขอบเขตยอดเขาบนวิถีวรยุทธในอดีตอีกค่อนข้างไกล แต่ปัญหาก็ไม่ใหญ่แล้ว อีกอย่างเจิ้งต้าเฟิงได้สร้างดวงจิตวีรบุรุษของผู้ฝึกยุทธขึ้นมาใหม่ดวงหนึ่ง ระดับขั้นไม่ต่ำ เพราะถึงอย่างไรก็เคยเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่แข็งแกร่งที่สดุมาก่อน หลังจากเจอกับความยากลำบาก กุญแจสำคัญคือกำลังใจไม่ถดถอย นี่ก็คือการขัดเกลาที่ดีที่สุดของโชคที่มาพร้อมกับเคราะห์
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว วิชาหมัดมีสูงต่ำ ก็ต้องดูที่ว่าแรงเฮือกหนึ่งในใจนั้นสั้นหรือยาว
ก่อนจะปล่อยหมัดหนึ่งออกไปจะต้องมีความหมายโดยรวมว่าจะทำให้ฟ้าสูงดินยุบอย่างละสามฉื่อ
เจิ้งต้าเฟิงยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบบนม้านั่งยาว จิบเหล้าคำเล็ก พยักหน้ารับ “ข้ารู้ว่าต้องทำเช่นไร”
รอกระทั่งสตรีกลับมาบ้าน คิดจะบอกข่าวดีแก่บุรุษ ส่วนเรื่องที่ว่าข่าวดีจะสำเร็จได้หรือไม่ก็ต้องดูที่โชควาสนาของเจิ้งต้าเฟิงเองแล้ว แต่สตรีกลับค้นพบว่าเจิ้งต้าเฟิงไม่ได้อยู่ในบ้านแล้ว ระหว่างทางที่เดินกลับมาบ้านก็ไม่เห็นเขาเลยนะ บนโต๊ะเหล้าเหลือแค่กาเหล้าว่างเปล่าสองกา กับแกล้มสองสามจานนั้นก็กินหมดแล้ว
สตรีจึงเอ่ยอย่างสงสัย “จากไปทั้งอย่างนี้น่ะหรือ?”
หลี่เอ้ออืมรับหนึ่งที
สตรีทอดถอนใจ พอนั่งลงแล้วก็มองไปนอกห้อง “ไม่รู้จริงๆ ว่าบุรุษอย่างพวกเจ้าคิดอะไรกันอยู่ ไม่รู้ด้วยว่าในยุทธภพมีอะไรให้พวกเจ้าชื่นชอบนักหนา”
ทั้งพูดถึงเจิ้งต้าเฟิงที่ทำตัวไม่เป็นโล้ไม่เป็นพายตลอดทั้งปี แล้วก็พูดถึงคนหนุ่มที่นางชื่นชอบจากใจจริงอย่างเฉินผิงอันซึ่งนางมองเขาเป็นลูกเขยครึ่งตัวแล้ว
หลี่เอ้อไม่ได้เอ่ยอะไร แค่ลุกขึ้นแล้วเก็บกวาดโต๊ะอีกครั้ง ค้อมเอวเอื้อมไปหยิบกาเหล้าของเจิ้งต้าเฟิง พอแกว่งเบาๆ ก็รู้ว่าไม่มีเหล้าเหลือเลยสักนิดจริงๆ
สตรีชำเลืองตามาเห็นภาพนี้ก็ด่าขำๆ ว่า “ดูความไม่เอาไหนของเจ้านี่สิ”
หลี่เอ้อทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด สีหน้ากระอักกระอ่วน
นอกประตูมีแขกมาเยือนอีกแล้ว
สตรีจึงถามหยั่งเชิง “ทำไม คงไม่ใช่ว่าเจ้าเองก็ต้องออกเดินทางไกลเหมือนกันหรอกนะ?”
หลี่เอ้อเกาหัว
เขาคิดจะไปที่ชายหาดโครงกระดูกสักรอบจริงๆ ทุกวันนี้บุตรสาวยังอยู่ที่นั่น หลี่เอ้อไม่ค่อยวางใจ แล้วนับประสาอะไรกับที่ตามเหตุตามผลแล้วตนก็ควรจะออกแรงบ้าง
หากไม่เป็นเพราะบุตรชายหลี่ไหวและศิษย์น้องเจิ้งต้าเฟิงทยอยกันมาถึงที่นี่ อันที่จริงหลี่เอ้อคงพูดกับภรรยานานแล้ว นอกจากนี้ยังเป็นเพราะก่อนหน้านี้ไม่นานมีคนมาเป็นแขกที่ยอดเขาสิงโต คิดจะไปที่มหาสมุทรทางทิศใต้ของชายหาดโครงกระดูกด้วยกัน คนหนึ่งคือเซียนกระบี่ที่เคยช่วยฉีจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยถามกระบี่ครั้งที่สอง อีกคนหนึ่งคือผู้ฝึกยุทธเฒ่าที่ไม่ง่ายเลยกว่าสมองจะมีกลับมามีสติแจ่มชัด ทั้งยังได้อิสระกลับคืนมา
ตอนนี้คนทั้งสองกำลังรอข่าวจากหลี่เอ้ออยู่นอกประตู
คนหนึ่งคือเซียนกระบี่ของอุตรกุรุทวีปที่มีชื่อเสียงมานานแล้ว คนหนึ่งคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบที่เคยก่อเรื่องเรียกให้เซียนกระบี่หลายท่านมารุมซ้อม
พวกเขามารอหลี่เอ้ออยู่อย่างนี้ หรือควรจะพูดให้ถูกก็คือ รอให้หลี่เอ้อพูดเกลี้ยกล่อมภรรยาอนุญาตให้เขาออกจากบ้านเดินทางไกลได้
พวกเขาไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเท่าใดนัก เพราะถึงอย่างไรบุรุษทั้งบนและล่างภูเขาของอุตรกุรุทวีปก็ขึ้นชื่อว่าฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง กลัวแค่สตรีของบ้านตัวเองในอุตรกุรุทวีปเท่านั้น
สตรีตบโต๊ะเอ่ยอย่างเดือดดาล “เป็นเพราะดื่มเยี่ยวม้ากับเจิ้งต้าเฟิงไปไม่กี่คำ ฟังคำพูดหยาบโลนไปไม่กี่ประโยค จิตใจก็เตลิดแล้วใช่ไหม?!”
แล้วสตรีก็แผดเสียงร้องคร่ำครวญ “ข้าช่างมีชะตาชีวิตรันทดนัก ลูกชายกตัญญูที่สุดรู้ความที่สุด แต่กลับไม่เคยได้อยู่ข้างกาย ลูกสาวเป็นเด็กดื้อรั้นหัวแข็ง รูปร่างเหมือนแม่ แต่นิสัยดันเหมือนพ่อ ผลคือไปๆ มาๆ กลับต้องกลายเป็นสาวแก่ ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมออกเรือน…ต้องโทษข้า จะโทษใครได้อีกเล่า ในอดีตไม่ควรเลอะเลือนแต่งกับบุรุษไร้ประโยชน์ ไม่มีความสามารถอะไรสักอย่าง พอเหล้าเข้าปาก แม้แต่ความซื่อสัตย์น้อยนิดก็ไม่เหลืออยู่แล้ว สุดท้ายก็ยังเป็นผู้ชายใจดำเนรคุณอยู่ดี วันๆ เอาแต่คิดถึงสตรีสาวนอกบ้านที่ดีแต่จะส่ายนมบิดก้น ข้าไม่โทษตัวเองแล้วจะโทษใครได้เล่า…”
หลี่เอ้อไม่พูดไม่จา ไม่กล้าต่อคำ
สตรีเช็ดหัวตา “มองภายนอกก็เหมือนน้ำเต้าตันซื่อสัตย์อยู่หรอก แต่ภายในกลับบรรจุเต็มไปด้วยกลอุบายความคิดชั่วร้าย นี่ข้าไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้หนอ ถึงได้หาบุรุษแบบนี้มาเป็นเสาคานของบ้าน…”
หลี่เอ้อชำเลืองมองไปนอกห้อง เซียนกระบี่ที่ชมเรื่องสนุกอยู่นอกประตูเอ่ยสัพยอกในใจคำหนึ่ง ผู้ฝึกยุทธเฒ่าก็พูดเออออคำหนึ่ง
หลี่เอ้อไม่ได้สนใจ บอกพวกเขาว่าให้ล่วงหน้าไปก่อน ตนไม่มีทางไปถึงชายหาดโครงกระดูกช้ากว่าพวกเขาแน่
เซียนกระบี่ท่านนั้นหมุนตัวกลับ ผู้ฝึกยุทธเฒ่ากลับหัวเราะพูดอีกสองประโยค เซียนกระบี่เลยรับคำพูดต่อ ท่าทางสนุกสนานยิ่งนัก
เจ้าสองคนนี้อยากโดนซ้อมหรือไร?
หางตาสตรีเหลือบไปเห็นว่าหลี่เอ้อขมวดคิ้ว นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นางยิ่งเสียใจหนักกว่าเดิม ฟุบตัวลงบนโต๊ะ ก่อนหน้านี้แค่แสร้งทำไปอย่างนั้นเอง ทว่าเวลานี้สตรีกลับตระหนกลน อีกทั้งยังเสียใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว จึงพูดด้วยเสียงสะอื้นที่เบาลงจากเดิมเล็กน้อย “ตอนนี้ถึงขั้นกล้าชักสีหน้าใส่ข้าแล้ว ยังจะใช้ชีวิตต่ออย่างไร ปากไม่พูด แต่ในใจคงตำหนิว่าข้าเป็นสตรีหน้าเหี่ยวไร้เหตุผล…”
หลี่เอ้อมานั่งลงข้างกายสตรี ตบหลังมือของนางเบาๆ อธิบายเสียงแผ่วว่า “ทุกวันนี้หลิ่วเอ๋อร์ระหกระเหินอยู่ข้างนอกเพียงลำพัง ข้าอยากจะไปดูนางสักหน่อย ไม่นานก็กลับมาบ้านแล้ว”
สตรีเงยหน้าขึ้น “คิดจะช่วยหลี่ไหวหลี่หลิ่วหานังจิ้งจอกมาเป็นแม่รองด้วยหรือไม่เล่า?”
หลี่เอ้อส่ายหน้า “เจ้าก็รู้ ข้าไม่มีทางทำเรื่องเลวร้ายพรรค์นั้นได้”
ชายฉกรรจ์ตัดใจตำหนิภรรยาที่พูดจาร้ายกาจหาเรื่องตนไม่ลงด้วยซ้ำ
สตรีมองสีหน้าของหลี่เอ้อแล้วเอ่ยเสียงเบา “อันที่จริงหลี่ไหวเหมือนนัดหมายกับต้าเฟิงอย่างไรอย่างนั้น ต่างก็มาแล้วจากไป เจ้าเองก็เหม่อลอยอยู่บ่อยๆ ข้ารู้ว่าความคิดของเจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่ ไปเถอะ เดินทางระวังด้วย ต่อให้จะทำตัวบ้ากามเหมือนต้าเฟิง แต่ก็อย่าปล่อยให้คนนอกรังแกเหมือนต้าเฟิง แน่นอนว่าทางที่ดีที่สุดคือไม่ต้องเอาอย่างเขาสักเรื่อง”
หลี่เอ้อพยักหน้ารับ ช่วยเช็ดน้ำตาให้ภรรยา สตรีถามว่าจะไปเมื่อไหร่ หลี่เอ้อตอบว่าต้องเดินทางวันนี้ จะได้รีบไปรีบกลับ สตรีจึงไปช่วยเก็บสัมภาระให้เขา
ตาเฒ่าที่อยู่ข้างนอกผู้นั้นพร่ำพูดไม่แล้วไม่เลิก เริ่มจะพูดจาทะลึ่งสัปดนอีกแล้ว หลี่เอ้อที่เดิมทีนั่งยองอยู่หน้าธรณีประตูรอสัมภาระอย่างอดทนพลันลุกขึ้นยืน ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า สตรีได้ยินความเคลื่อนไหว นางที่เดิมทียังเก็บสัมภาระอย่างอิดออดรีบถามหลี่เอ้อว่าออกไปทำอะไรมา หลี่เอ้อจจึงตอบว่ามีหมาเห่าอยู่นอกบ้าน