บทที่ 703.1 อันดับที่สิบเอ็ดในใต้หล้ามากมาย

กระบี่จงมา! Sword of Coming

สตรีผู้นั้นเผยกายท่ามกลางลมหิมะขาวโพลน เรือนกายของนางค่อนข้างผอมบาง ฟ้าดินที่เป็นสีขาวหิมะจึงยิ่งขับให้ผิวที่คล้ำของนางดำเกรียมมากกว่าเดิม

นางมวยผมทรงกลมสูง (หรือทรงดังโงะ) น่ารักน่าเอ็นดูไว้บนศีรษะ เผยให้เห็นหน้าผากนูนสูง ไม่มีไข่มุกเครื่องประดับผมใดๆ

หญิงสาวที่มองดูแล้วอายุไม่มากหยุดยืนนิ่ง อยู่ห่างจากกลุ่มนักล่าที่ยังอกสั่นขวัญผวาไม่คลายประมาณสิบกว่าจั้ง นางควักแผนที่ทางทิศเหนือของอุตรกุรุทวีปที่ยอดเขาสิงโตเก็บไว้ในคลังออกมา มองประเมินอยู่สองสามที ตระกูลเซียนบนภูเขาที่ใกล้กับที่ราบน้ำแข็งมากที่สุดคือภูเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ในอาณาเขตทิศเหนือของธวัลทวีป มีชื่อว่าฉวงฟานเต้าฉ่าง ไม่ใช่ตระกูลเซียนอักษรจง แล้วก็ไม่แก่งแย่งชิงดีกับโลกภายนอก นครด้านล่างภูเขาคือนครโถวหนีของจวนหลินทานแคว้นอวี่กง นางเก็บแผนที่ไว้ในชายแขนเสื้อดังเดิม หันไปกุมหมัดคารวะทุกคนก่อน จากนั้นก็เปิดปากถามด้วยภาษากลางของธวัลทวีปที่สำเนียงชัดเจนถูกต้อง “ไม่ทราบว่าที่นี่อยู่ห่างจากนครโถวหนีอีกไกลแค่ไหน?”

ผู้ฝึกตนเฒ่าคนหนึ่งลุกขึ้นยืนอย่างระมัดระวัง ถามหยั่งเชิงว่า “ผู้อาวุโสใช่ปรมาจารย์ใหญ่หลิ่วหรือไม่?”

นี่คือสถานการณ์ที่ดีที่สุด สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดคือแท้จริงแล้วอีกฝ่ายคือปีศาจใหญ่ที่จำแลงร่างเป็นมนุษย์ จงใจมาหยอกเย้าว่าที่อาหารในจานอย่างพวกเขา

บนที่ราบน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ไพศาลมีปีศาจใหญ่สี่ตน แต่ละตนต่างยึดครองพื้นที่แห่งหนึ่ง ปีศาจใหญ่ที่อยู่ทางทิศใต้สุดมีนามว่าซี่หลิ่ว บางครั้งจะขี่สิงโตสีขาวหิมะออกลาดตระเวนไปทั่วพื้นที่ปกครองของตน เล่าลือกันว่าชอบปรากฎตัวบนโลกด้วยรูปโฉมของบุรุษรูปงาม เมื่อสิบกว่าปีก่อนเคยเปิดฉากเข่นฆ่าเอาชีวิตกับปรมาจารย์ใหญ่หลิ่วที่อยู่ดีไม่ว่าดีก็มาที่นี่เพื่อ ‘หาเงินค่าเครื่องประทินโฉม เก็บสะสมเงินสินเดิมสักเล็กน้อยให้กับตัวเอง’ ตอนนั้นขนาดนครโถวหนีแคว้นอวี่กงที่อยู่ห่างไปไกลก็ยังสัมผัสได้ถึงภาพบรรยากาศผิดปกติของสนามรบที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินทางแถบนี้ หลังจากนั้นมาแม้ปรมาจารย์ใหญ่หลิ่วจะบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ได้รับโชคหลังเคราะห์ร้าย ใช้ขอบเขตเดินทางไกลที่แข็งแกร่งที่สุดฝ่าทะลุขอบเขตกลายเป็นขอบเขตเก้าได้สำเร็จ ดูเหมือนว่าปีศาจใหญ่ซี่หลิ่วก็จะบาดเจ็บไม่เบาเหมือนกัน จึงเริ่มปิดด่านไม่ออกมา ดังนั้นหลายปีมานี้ผู้ฝึกตนของธวัลทวีปที่ออกมาล่าปีศาจยังที่แห่งนี้จึงฉวยโอกาสที่ปีศาจที่ราบน้ำแข็งของอาณาเขตทิศใต้สูญเสียที่พึ่งไปชั่วคราว จับกลุ่มกันมาล่าปีศาจน้อยใหญ่ในที่ราบน้ำแข็งทิศใต้ กวาดเอาสมบัติวิเศษของฟ้าดินไปอย่างกำเริบเสิบสานไม่ขาดสาย

แต่ปีศาจใหญ่ซี่หลิ่วมีแม่ทัพคนสนิทสองคนคอยช่วยเฝ้าพิทักษ์อาณาเขตของบ้านตัวเอง คนหนึ่งคือผู้ฝึกตนวิถีมารที่หนีมาอยู่ทางทิศเหนือ เรียกตัวเองว่านักพรตชิวสุ่ย และยังมีปีศาจใหญ่อีกตนที่มีรูปโฉมแก่ชรา สะพายถุงผ้าป่านใบใหญ่ เจอผู้ฝึกตนคนใดก็ยิ้มให้ คำพูดติดปากก็คือ ‘นายน้อยซี่หลิ่วของพวกเรามีอาหารเรียกน้ำย่อยให้กินอีกแล้ว ต้องขอบคุณทุกท่านอย่างมาก’

เพียงแต่ว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ธรรมดา หากเจอเข้าโดยไม่ทันระวัง ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่หวังว่าชาติหน้าจะได้ไปเกิดใหม่ในครรภ์ที่ดีแล้ว

อันที่จริงเดิมทีที่ราบน้ำแข็งทางใต้ยังมีปีศาจใหญ่ที่ออกอาละวาดไปทั่วอีกตนหนึ่ง เพียงแต่ว่าถูกปรมาจารย์ใหญ่หลิ่วที่ผู้ฝึกตนเฒ่าเอ่ยถึงถลกหนังไปแล้ว

เผยเฉียนส่ายหน้า “ไม่ใช่”

อีกฝ่ายเรียกขานนางว่าผู้อาวุโส ทำให้นางรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองอยู่บ้าง แต่มาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง พบเจอกันเพียงผิวเผิน ใจคนยากจะคาดเดา เผยเฉียนจึงไม่คิดจะบอกชื่อแซ่ของตัวเอง

แต่เผยเฉียนกลับรู้จักปรมาจารย์ใหญ่หลิ่วที่อีกฝ่ายพูดถึงว่าเป็นเทพเซียนจากฝ่ายใด คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้า เป็นสตรี นามว่าหลิ่วซุ่ยอวี๋ เป็นผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของสกุลหลิวเทพเจ้าแห่งโชคลาภของธวัลทวีป คือผู้แข็งแกร่งขอบเขตยอดเขาของธวัลทวีปที่มีความหวังว่าจะได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบคนที่สองมากที่สุด ก่อนหน้านี้ตอนที่ฝึกวิชาหมัดอยู่บนยอดเขาสิงโต ระหว่างที่อยู่ว่างผู้อาวุโสหลี่เอ้อก็ได้เล่าถึงสถานการณ์ของวิถีวรยุทธและชื่อของปรมาจารย์ในธวัลทวีปให้ฟังคร่าวๆ ผู้ฝึกยุทธอันดับหนึ่งในธวัลทวีปคือเพ่ยอาเซียง แซ่ประหลาด ชื่อกลับประหลาดยิ่งกว่า ฉายาคือ ‘เหลยกง’ (เทพเจ้าแห่งฟ้าร้อง) วิชาหมัดดุดัน สถานที่พักพิงคือศาลเหลยกงธรรมดาที่ไม่มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือแห่งหนึ่ง

และหลิ่วซุ่ยอวี๋ก็คือหนึ่งในสามลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเขา ผู้ฝึกยุทธเฒ่าที่ไม่ว่าจะด้านการฝึกหมัดหรือการรับลูกศิษย์ล้วนเป็นอันดับหนึ่งผู้นี้ บนเส้นทางของการเดินสู่ที่สูงในการเรียนวรยุทธ ลำพังเพียงแค่ชื่อ ‘อาเซียง’ นี้ก็ไม่รู้ว่าเคยต่อยตีกับคนอื่นมาแล้วกี่ครั้ง หนึ่งในนั้นก็เคยต่อสู้กับหวังฟู่ซู่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบที่อายุมากที่สุดของอุตรกุรุทวีป ทั้งสองฝ่ายเคยนัดรบกันบนมหาสมุทร สาเหตุก็มาจากฝ่ายหลังชอบเรียกเขาว่าน้องอาเซียง (เซียงแปลว่าหอม อาเซียงเป็นชื่อที่ใช้กับผู้หญิงมากกว่า) เวลาเจอใครก็มักจะพูดว่าน้องอาเซียงของธวัลทวีปผู้นั้นหมัดและเท้าแข็งแกร่งดั่งบุรุษ

เล่าลือกันว่าหลังจากที่หวังฟู่ซู่กลับจากทะเลไปยังอุตรกุรุทวีป แม้ทั่วร่างจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่กลับยังคงห้าวเหิมอยู่ดังเดิม บนภูเขาก็มีสหายที่ถามถึงผลลัพธ์ หวังฟู่ซู่หลุดหัวเราะพรืด ทิ้งไว้แค่ประโยคเดียวว่า หมัดที่เหมือนดีดปุยนุ่นของสตรีจากธวัลทวีปคนหนึ่งจะมีน้ำหนักได้มากสักเท่าไรกันเชียว? ผลแพ้ชนะระหว่างผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบครั้งนั้นจึงได้ชัดเจนดีอยู่แล้ว ในความเป็นจริงแล้วหลังจากครั้งนั้น เพ่ยอาเซียงก็ปิดประตูไม่ต้อนรับแขกอยู่ที่ศาลเหลยกงจริงๆ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังเก็บตัวเงียบไม่ออกมาข้างนอกเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว

ภายหลังกู้โย่วถามหมัดต่อจีเยว่เซียนกระบี่แห่งภูเขาวานรคำราม ทั้งสองฝ่ายล้วนตายดับ อุตรกุรุทวีปสูญเสียผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบไปคนหนึ่ง รายงานขุนเขาสายน้ำของธวัลทวีปเขียนยาวกว่าของอุตรกุรุทวีปเสียอีก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคำบรรยายด้วยอารมณ์มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น

ผู้ฝึกตนกลุ่มนั้นแต่ละคนกระวนกระวายไม่เป็นสุข ยังไม่กล้าเข้าใกล้หญิงสาวที่ไม่รู้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรูผู้นั้น

ปีศาจใหญ่แห่งที่ราบน้ำแข็ง แต่ละตนนิสัยประหลาดไม่แพ้กัน ลำพังเพียงแค่สตรีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้จะเพียงแค่บังเอิญผ่านทางมาจริงๆ จากนั้นก็จะช่วยเหลือพวกเขาไว้อย่างนั้นหรือ? จะไม่ใช้วิธีอำมหิตโหดร้ายเหมือนแมวไล่จับหนูจริงๆ หรือไร?

มาล่าปีศาจบนที่ราบน้ำแข็งของธวัลทวีป เดิมทีก็เป็นการหาเงินที่เอาหัวมาผูกไว้บนเข็มขัดอยู่แล้ว แล้วยังเป็นการผูกแบบไม่แน่นหนาด้วย ดังนั้นจึงได้แต่เน้นมากคนมากอำนาจ นักล่าที่เดินทางมายังที่ราบน้ำแข็งทุกคน ก่อนจะออกเดินทางต้องลงนามสัญญาเป็นตายของพันธมิตรขุนเขาเหนือเสียก่อน แล้วยังจะได้รับเงินชดเชยด้วย แน่นอนว่าหากกลับมามือเปล่า หรือตายกันยกขบวน ทุกเรื่องก็ไม่ต้องคาดหวังอีกแล้ว

โดยทั่วไปแล้วอย่างน้อยต้องจับกลุ่มกันกลุ่มละสามคน อาจารย์ค่ายกลคนหนึ่งรับหน้าที่จัดวางกับดัก คนผู้นี้สำคัญอย่างถึงที่สุด ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวหรือผู้ฝึกตนสำนักการทหารคนหนึ่ง ทางที่ดีที่สุดก็คือมีอาวุธหนักที่ใช้ในการป้องกันและสมบัติหนักที่ใช้ในการโจมตีติดตัวมาด้วย รับผิดชอบคอยล่อให้ปีศาจเข้ามายังพื้นที่ที่มีตราผนึกค่ายกล เพราะเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนอื่นๆ แล้ว พวกเขามีเรือนกายที่แข็งแกร่งที่สุด ทั้งสามารถปกป้องตัวเองได้ แล้วยังสามารถลากปีศาจที่หนังหนามาได้ด้วย ไม่ถึงขั้นที่ว่าแค่พบเจอกับเผ่าปีศาจแล้วต้องทัพแตกแพ้พ่ายในทันที สถานที่แห่งนี้ยังจำเป็นต้องมีผู้ฝึกลมปราณที่เชี่ยวชาญเวทน้ำอีกคนหนึ่งที่สามารถยึดครองฟ้าอำนวยดินอวยพรเอาไว้ได้ ใช้เวทคาถาร่วมมือกับฝ่ายแรกสังหารปีศาจ

หากคนที่เป็นผู้นำสามารถรวบรวมกลุ่มคนได้ห้าคน ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะเพิ่มผู้ฝึกลมปราณที่มีศักยภาพในการโจมตีอย่างถึงที่สุดเข้าไปด้วยอีกคน อาศัย ‘ทักษะพิเศษ’ มาปลิดชีพปีศาจที่ถูกล้อมสังหารให้ตายด้วยการโจมตีเดียว จากนั้นก็อาจจะเพิ่มผู้ฝึกตนสำนักโอสถมาอีกคน สามารถช่วยให้สหายรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันได้นานขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ กลุ่มนักล่าก็จะได้ทั้งรุกทั้งถอยและทั้งป้องกัน ต่อให้การเดินทางมาเยือนที่ราบน้ำแข็งจะไม่ได้ผลเก็บเกี่ยวใดๆ แต่อย่างน้อยที่สุดก็สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ สามารถถอยกลับไปยังนครโถวหนีหรือไม่ก็ฉวงฟานเต้าฉ่างได้อย่างปลอดภัยแล้วค่อยวางแผนระยะยาวกันใหม่

แต่ต่อให้จะจับกลุ่มกันมา เรื่องไม่คาดฝันก็ยังมีมากอย่างถึงที่สุด

วันนี้พวกเขาออกจากบ้านไม่ได้เปิดปฏิทินเหลือง ถึงได้มาเจอกับปีศาจใหญ่โอสถทองตนหนึ่ง

เผยเฉียนรู้ว่าคนเหล่านี้เป็นกังวลเรื่องใด และนางเองก็ไม่ยินดีจะอธิบายให้มากความ ตนแค่ต้องมุ่งตรงลงใต้ไปพักผ่อนที่นครโถวหนีชั่วคราว ความเป็นกังวลและความสงสัยในใจของพวกเขาก็จะสลายหายไปเอง

ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางมาเยือนอุตรกุรุทวีปร่วมกับหลี่ไหว หรือบุกมาที่ธวัลทวีปเพียงลำพังอย่างในตอนนี้ เผยเฉียนก็มุ่งอยู่แต่กับการฝึกหมัดเท่านั้น ไม่ได้คาดหวังว่าตนจะเป็นเหมือนอาจารย์ที่ผูกมิตรกับวีรบุรุษผู้กล้าให้เป็นคนรู้ใจ ขอแค่เจอกับคนที่ถูกชะตาก็สามารถดื่มเหล้าร่วมกันโดยไม่ต้องถามชื่อแซ่ได้ตลอดทาง

เผยเฉียนรู้ดีว่านี่เป็นสิ่งที่ตนเรียนรู้ไม่ได้ ทำไม่ได้

ก็เหมือนความคิดส่วนตัวของชุยตงซาน ขอแค่อาจารย์ของเขาหรืออาจารย์พ่อของนางอย่างเฉินผิงอันไม่อยู่ข้างกายเผยเฉียน ถ้าอย่างนั้นใต้หล้าไพศาลด้านนอกพื้นที่มงคลดอกบัวในปีนั้น ก็จะยังคงเป็นตรอกเล็กถนนใหญ่ของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนอยู่เหมือนเดิม ทุกคนยังคงเป็นคนของแคว้นหนันเยวี่ยน สำหรับเผยเฉียนแล้ว นอกจากอาจารย์พ่อและภูเขาลั่วพั่ว ยุทธภพใต้ฝ่าเท้านาง แต่ไหนแต่ไรมาล้วนไม่เคยมีอะไรแตกต่าง อดีต ปัจจุบัน อนาคต ล้วนยากที่จะเปลี่ยนแปลงข้อนี้ได้

เผยเฉียนพลันหยุดเดิน ทิ่มไม้เท้าเดินป่าในมือลงบนพื้นหิมะหนักๆ เอ่ยกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าไปก่อน รีบไปที่นครโถวหนี ระหว่างทางระวังให้มาก ยังมีอันตรายอยู่”

จากนั้นเผยเฉียนก็ขมวดคิ้ว ชำเลืองตามองจุดที่ห่างไปไกลทางด้านหลังของผู้ฝึกลมปราณกลุ่มนั้น

ยังคงช้าไปอยู่ดี

นอกจากนี้ด้านหลังนางยังมีหญิงชราที่ฝีเท้ายามเดินเหมือนกะโผลกกะเผลก แต่แท้จริงแล้วกลับพุ่งทะยานราวกับบินปรากฏตัว นางสะพายถุงผ้าป่านใบใหญ่ ไหล่โยกเอียงขโยกเขยกตามฝีเท้า พลิ้วกายมาถึงที่นี่ ตลอดทางที่หญิงชราเคลื่อนผ่าน ลมหิมะล้วนเปิดทางให้หญิงชราด้วยตัวเอง จากนั้นนางก็หยุดอยู่ห่างจากเผยเฉียนไปประมาณร้อยกว่าก้าว หญิงชรากระแอมไอไม่หยุด หยีตาจนกลายเป็นเส้นเส้นเดียว ยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “ช่างเป็นนังหนูที่หมัดเท้าเฉียบคมเสียจริง ตลอดทางที่เดินทางลงใต้มานี้ถึงขนาดตัดใจสละโอสถปีศาจทั้งหมดไม่เก็บเอาไว้ ให้พวกเราตามตัวได้ง่าย ผู้ฝึกยุทธที่เอาแต่ฝึกหมัดไม่หวังทรัพย์สินเงินทองอย่างเจ้า เมื่อเทียบกับสตรีบ้าแซ่หลิ่วผู้นั้นแล้วยังน่าชิงชังยิ่งกว่าเสียอีก”

นอกจากหญิงชราแล้ว บนเส้นทางลงใต้ของนักล่าที่ขึ้นเหนือเหล่านั้นยังมีนักพรตที่สวมเสื้อคลุมขนนกเดินเปลือยเท้าย่ำหิมะอีกคน เขาท่อง ‘บทน้ำสารทฤดูหนันหัว’ ที่เป็นตำราลัทธิเต๋าเสียงดัง ในมือนักพรตเต๋าถือกิ่งไม้ที่มีดอกเหมยผลิดอกหลายดอก ระหว่างที่ท่องตำรายังคอยเด็ดกลีบดอกเหมยยัดเข้าปากเคี้ยว แล้วค่อยยื่นมือมารับหิมะ กลืนทั้งดอกเหมยและหิมะลงท้องไปพร้อมกัน ทุกครั้งที่เคี้ยวบนร่างจะต้องมีประกายแสงเรืองรองแผ่ซึมออกมาจากกระดูกและเส้นชีพจร ช่างสมกับภาพบรรยากาศตระกูลเซียนที่กล่าวว่ากิ่งทองกระดูกหยก ฝึกตนประสบความสำเร็จจริงๆ

หนึ่งเหนือหนึ่งใต้ ขัดขวางทางไป

เผยเฉียนเห็นว่าหญิงชรากับนักพรตเปลือยเท้ายังไม่มีทีท่าว่าจะลงมือจึงก้าวออกไปหนึ่งก้าว พริบตาเดียวก็ไปหยุดอยู่ข้างกายผู้ฝึกตนเฒ่าคนนั้น ปลดหีบไม้ไผ่ลง นางเอ่ยกับพวกนักพรตกลุ่มนั้นที่ขยับมารวมตัวใกล้กันอย่างต่อเนื่องว่า “พวกเจ้าแค่สร้างค่ายกลปกป้องตัวเองไปก็พอ หากเป็นไปได้ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีภัยต่อชีวิตก็ช่วยดูแลหีบหนังสือให้ข้าที หากสถานการณ์ฉุกเฉิน ต่างคนต่างหนีเอาชีวิตรอดไปเถิด ข้าจะพยายามปกป้องพวกเจ้าเอง”

เผยเฉียนหยุดไปครู่ ก่อนจะเอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “ข้าจะพยายามเท่าที่ทำได้”

ในเมื่อหญิงชรากับนักพรตเปลือยเท้าต่างก็มุ่งมาหาเรื่องตนโดยเฉพาะ ถ้าอย่างนั้นเผยเฉียนก็จะปล่อยหมัดมากหน่อย ไม่ว่าจะเพื่อคนอื่นหรือเพื่อตนเองก็ล้วนสมเหตุสมผล ท่องอยู่ในยุทธภพ คุณธรรมน้ำใจควรมาเป็นอันดับหนึ่ง

ก่อนหน้านี้นางสังหารปีศาจตนนั้น ช่วยผู้ฝึกตนกลุ่มนั้นมาได้ ก็เป็นแค่การถือโอกาสลงมือทำไปด้วยเท่านั้น ในเมื่อมีใจและมีเรี่ยวแรงเหลือมากพอก็ควรจะออกหมัด ไม่ต้องคาดหวังว่าจะได้รับผลตอบแทน

ส่วนความหวังดีและเจตนาร้ายของใจคนในฟ้าดินแห่งนี้ เกี่ยวข้องอะไรกับการฝึกหมัดออกหมัดของเผยเฉียนด้วยหรือ? ไม่เกี่ยวเลย

สิ่งที่เผยเฉียนสนใจมีแค่คำสั่งสอนของอาจารย์พ่อและวิชาหมัดที่ท่านปู่ชุยถ่ายทอดให้ แค่สองเรื่องนี้เท่านั้น

——