เย่หยวนยอมรับว่าชางหยงหนิงคนนี้เป็นศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอมาในชีวิต!
แม้แต่ตัวโอสถบรรพกาลตอนนั้นเองก็ยังไม่อาจจะเก่งกาจเหนือล้ำเย่หยวนไปได้
เพราะกำลังฝีมือของโอสถบรรพกาลนั้นมันเกิดขึ้นมาจากการบ่มเพาะนานปีกว่าเขาไปมากเพียงเท่านั้น
เมื่อการบ่มเพาะของเย่หยวนมันพัฒนาขึ้นมาได้แล้วตัวโอสถบรรพกาลก็ย่อมจะไร้ค่าใดๆ ไปทันที
แต่กำลังฝีมือของชางหยงหนิงนี้มันกลับเป็นเหมือนดั่งดาบเหล็กที่ถูกตีมาอย่างหนักหน่วงนับหมื่นนับแสนครั้ง!
รากฐานของพันธมิตรโอสถนั้นมันเหนือล้ำกว่าที่เย่หยวนคาดคิดไปมาก
หากบุตรศักดิ์สิทธิ์ยังทำได้ขนาดนี้แล้วกำลังของผู้นำพันธมิตรโอสถเล่าจะเป็นอย่างไร!
ไม่อาจคาดเดา!
หากวัดกันที่พรสวรรค์หรือกำลังฝีมือรวมถึงการบ่มเพาะแล้ว เย่หยวนดูจะด้อยกว่าไปเสี้ยวหนึ่งเสียด้วยซ้ำ!
ต่อให้รากฐานที่เย่หยวนยึดถือเอาไว้เป็นความภาคภูมินั้นเองตัวชางหยงหนิงเองก็มีไม่ด้อยไปกว่าเขา
มันอาจจะยังไม่สมบูรณ์ถึงระดับของเย่หยวนแต่มันย่อมจะไม่ได้ด้อยกว่าจนเสียเปรียบใด!
ศัตรูเช่นนี้มันย่อมยากที่จะจัดการนัก
แต่มันก็เพราะเรื่องนี้จึงทำให้เย่หยวนยิ่งคิดอยากจะเอาชนะศัตรูคนนี้ลงให้ได้!
หากฮันยี่นั้นคือหินลับวิชายุทธของเขาแล้วชางหยงหนิงนี้ก็คงเป็นหินลับวิชาโอสถของเขา!
ในสภาพปัจจุบันนี้มันย่อมจะไม่มีทางตัดสินความแพ้ชนะด้วยระดับเก้าได้อีกแล้ว
ทางเดียวที่จะเอาชนะอีกฝ่ายนั้นคือการบรรลุโซ่ตรวนและก้าวขึ้นระดับแท้!
แปดปีที่เย่หยวนเก็บตัวฝึกฝนมานั้นมันทำให้เย่หยวนรู้สึกได้ว่าเขายังสามารถหลอมให้ได้ดีล้ำกว่าระดับเก้าขั้นสุดขึ้นไปอีก
เพียงแค่ว่าความแตกต่างของย่างก้าวนี้มันเหนือล้ำ เหมือนเพียงแค่อยู่อีกด้านของประตูแต่ประตูนั้นมันกลับหนักหนาอย่างแสนสาหัส
เย่หยวนนั้นไม่มีครูอาจารย์คอยสั่งสอนเขาจึงไม่มีความรู้และความเข้าใจ มีแต่ต้องลองผิดลองถูกเอาด้วยตัวเอง
แต่ชางหยงหนิงนั้นกลับได้กลายเป็นหินลับวิชาชั้นยอดที่ทางพันธมิตรโอสถมอบให้แก่เขา!
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้ก็คือการขัดขวางมิให้ชางหยงหนิงสามารถหลอมระดับแท้ขึ้นมาได้
ส่วนตัวเขาเองก็ต้องหาทางบรรลุขึ้นไป!
การประลองโอสถครั้งนี้มันคงเรียกได้ว่าเป็นการประลองโอสถที่ยากเย็นที่สุดตั้งแต่เขาเดินทางมาบนเส้นทางแห่งการโอสถ!
รอบที่สามสิบ เสมอ!
รอบที่สี่สิบ เสมอ!
รอบที่ห้าสิบ ก็ยังเสมอ!
พริบตาเดียวนั้นคนทั้งสองก็ต่อสู้กันมาอย่างดุเดือดยาวนานถึงสามเดือนแล้ว
แม้แต่เหล่าคนดูทั้งหลายที่มามุงตั้งแต่ต้นๆ ก็เริ่มต้องถอยกลับไปพักบ้างแล้ว
แต่คนทั้งสองนั้นกลับยังต่อสู้กันอย่างไม่มีพัก!
ใช่แล้ว การประลองโอสถนี้มันได้กลายเป็นสงครามขึ้นมา!
ผลลัพธ์ของศึกครั้งนี้มันจะเป็นชนวนสงคราม!
ไม่ว่าจะเป็นเย่หยวนหรือชางหยงหนิง พวกเขาต่างก็ไม่อาจจะพ่ายแพ้ได้!
เวลานี้ศึกประลองโอสถนี้มันได้กลายเป็นเรื่องใหญ่ของคนทั้งดินแดนสวรรค์ห้าแสงจนเริ่มมีข่าวกระจายไปทั่วทวีปพิรุณใส!
นักหลอมโอสถสวรรค์มากมายนั้นต่างมารวมตัวกันยังมหารัฐเมฆรุ้ง
เวลานี้เหล่าเจ้านิกายทั้งห้านั้นต่างมาอยู่ที่นี่กันสิ้น
สายตาของนักยุทธมากมายนับไม่ถ้วนนั้นได้จ้องมองมายังมหารัฐเมฆรุ้งน้อยๆ นี้
ก่อนหน้านี้ต่อให้เย่หยวนจะเอาชนะสิบเจ็ดยอดปรมาจารย์มาได้เหล่าเจ้านิกายทั้งหลายก็ยังไม่คิดสนใจ
เพราะในสายตาของพวกเขาแล้วมันย่อมจะเป็นแค่การดิ้นรนสุดท้ายของนิกายสวรรค์ยุทธมั่น
แต่หลังจากผ่านไปได้สามเดือนนั้นมุมมองของคนทั้งหลายก็ต้องเปลี่ยนไป
เพราะพวกเขานั้นได้รู้แล้วว่าศึกการประลองโอสถครั้งนี้มันจะเปลี่ยนโฉมหน้าของทวีปพิรุณใสไปอย่างแน่นอน!
หากเย่หยวนเอาชนะศึกนี้ได้ ศาลาโอสถนั้นก็จะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจเทียบเคียงกับพันธมิตรโอสถได้ทันที!
หากเป็นเช่นนั้นแล้วพวกเขาเหล่าผู้บรรลุสวรรค์ทั้งหลายก็จะไม่ต้องเกรงกลัวอำนาจของพันธมิตรโอสถอีก!
ศึกในครั้งนี้มันจึงมีความหมายอย่างยิ่ง!
แต่นั่นมันพูดถึงว่าหากเย่หยวนชนะ!
ในวังหลวงของมหารัฐเมฆรุ้งนั้นแม้แต่ตัวจักรพรรดิเองก็ยังได้แต่ต้องมานั่งรออยู่นอกโถงทองหลวง
เพราะเวลานี้ภายในโถงมันมีเจ้านิกายทั้งห้ามารวมตัวกันสิ้น!
คนทั้งห้านั้นจ้องมองดูจอแสงที่ฉายอยู่ตรงกลาง
สิ่งที่ปรากฏขึ้นบนจอแสงนั้นมันย่อมจะเป็นภาพการประลองโอสถของเย่หยวนและชางหยงหนิงแล้ว
เจ้านิกายสวรรค์ล้ำคาด หลิงว่านเฉิงอดกล่าวขึ้นมาไม่ได้ “เฟิงซวนยี่ ข้าไม่นึกเลยนะว่านิกายสวรรค์ยุทธมั่นของเจ้านั้นกลับจะให้กำเนิดยอดอัจฉริยะเช่นนี้ขึ้นมาได้! หากศึกนี้เย่หยวนชนะได้จริงนามของเขาก็คงขึ้นไปเทียบเคียงท่านโฉปู้ฉุนได้ทีเดียว!”
เจ้านิกายสวรรค์เมฆาก้าว ฮัวซือยูพยักหน้ารับขึ้นตอบ “หลังจากท่านโฉปู้ฉุนหายไปนิกายสวรรค์ทั้งห้าของเราต่างก็ต้องพบเจอความยากลำบากไม่อาจจะต้านรับแนวหน้าได้ เหตุผลหลักๆ มันก็คือเพราะโอสถสวรรค์นี้! หากศาลาโอสถก้าวขึ้นมาเป็นใหญ่ได้จริงแล้วเราเหล่าผู้บรรลุสวรรค์ก็จะทำอะไรได้ตามสะดวก! อย่างเร็วพันปีอย่างช้าสามพันปี ดินแดนสวรรค์ห้าแสงของเราจะต้องกลับมาเป็นใหญ่ได้อีกครั้งแน่!”
เจ้านิกายสวรรค์หมื่นช้าง หยางเจี๋ยนั้นฟังไปด้วยคิ้วขมวดแน่น ดูท่าแล้วเขาคงไม่ค่อยพอใจกับคำพูดของคนทั้งหลายสักเท่าใด
เพราะจะอย่างไรเสียนิกายสวรรค์หมื่นช้างของเขานั้นมันก็เป็นนิกายกลางและอยู่ในตำแหน่งผู้นำของห้านิกาย!
แต่เขานั้นก็อดไม่ได้ที่จะเห็นด้วยกับหลิงว่านเฉิงและฮัวซือยูในเรื่องนี้
โฉปู้ฉุนนั้นมากพรสวรรค์เก่งกาจสามารถ พลังของเขานั้นสยบดวงดาวลงได้
แต่คนเช่นนั้นมันหาได้ยากยิ่ง
แต่ว่าหากศาลาโอสถก้าวขึ้นอำนาจมาได้จริงๆ แล้วมันย่อมจะกลายเป็นแหล่งให้กำเนิดยอดฝีมือมากหลาย
จะอย่างไรเหล่าผู้บรรลุสวรรค์นั้นต่างก็มีวิชาฝีมือที่เหนือกว่าเหล่านักยุทธท้องถิ่นเป็นทุนอยู่แล้ว
หากมันมีโอสถสวรรค์มาใช้ไม่ขาด พวกเขาย่อมจะกลายเป็นดั่งเสือติดปีก
การที่จะบอกว่าศึกนี้มันจะเปลี่ยนแปลงหน้าประวัติศาสตร์ของทวีปพิรุณใสนั้นมันมิใช่เรื่องเกินจริงใดๆ เลย!
ตอนที่เขาได้ยินข่าวการประลองระหว่างเย่หยวนกับชางหยงหนิงในครั้งแรกตัวเฟิงซวนยี่เองก็ต้องอ้าปากค้างไปเช่นกัน
พันธมิตรโอสถที่ปรากฏตัวออกมาอย่างเหนือล้ำนั้นใครจะไปคิดว่าพวกเขาจะถูกเย่หยวนฉุดลงมาง่ายๆ เช่นนี้?
คำสัญญายี่สิบปีของเย่หยวนนั้นมันมิใช่แค่ลมปากเลย!
หากศาลาโอสถก้าวขึ้นมาได้แล้วนิกายสวรรค์ยุทธมั่นของพวกเขาจะยังต้องไปเกรงกลัวอะไรพันธมิตรโอสถ?
แต่ที่น่าหัวเราะที่สุดก็คือเหล่าผู้อาวุโสสมองกลับทั้งหลายในนิกายนั้น ตอนนี้พวกเขาคงได้แต่เอาหน้ามุดดินอยู่ในห้องอย่างไม่กล้าออกมาสู้หน้าใครแล้ว
“เฟิงซวนยี่ หากเย่หยวนเอาชนะได้จริงแล้วเจ้าอย่าได้คิดกลับคำสัญญาที่ศาลาโอสถได้เคยให้เอาไว้เล่า! ไม่เช่นนั้นแล้วนิกายสวรรค์หมื่นช้างข้านี่แหละที่จะลุกขึ้นมาต่อต้านพวกเจ้าเป็นคนแรก!” หยางเจี๋ยกล่าวขึ้นมา
คำสัญญาที่ว่านั้นคือคำที่เย่หยวนประกาศออกมาในครั้งแรกว่าศาลาโอสถนั้นจะเป็นค่ายสำนักที่เปิดกว้างไม่บังคับให้ใครมาเข้าร่วมเหมือนพันธมิตรโอสถ
เรื่องนี้มันเป็นสิ่งที่นิกายสวรรค์ทั้งสี่สนใจเป็นอย่างมาก!
หากเจ้าเอานักหลอมโอสถสวรรค์ไปเองทั้งหมดแล้วพวกเขาทั้งหลายจะยังเอาอำนาจอะไรมาต่อรอง?
ถึงเวลานั้นต่อให้ศาลาโอสถจะก้าวขึ้นมาสู่อำนาจได้จริง มันก็คงแค่กลายเป็นพันธมิตรโอสถที่สองมิใช่หรือ?
เฟิงซวนยี่พยักหน้ารับขึ้น “นิกายกลาง วางใจเถอะ เย่หยวนนั้นเคยประกาศไปแล้วว่าตราบเท่าที่พวกเขาเหล่านั้นเป็นศิษย์ของห้านิกายสวรรค์เรา ศาลาโอสถนั้นจะอ้าแขนรับอย่างไม่มีเงื่อนไข ตราบเท่าที่พวกเขาเข้าร่วมศาลาโอสถแล้วไม่ว่าจะเป็นสูตรโอสถหรือวิชาการฝึกฝนใดๆ พวกเขาก็จะได้รับอย่างเต็มที่! หลังจากสำเร็จนั้นเหล่าศิษย์ทั้งหลายจะกลับไปยังนิกายของตนเองก็ได้ไม่เป็นปัญหาใดๆ! หากเย่หยวนเอาชนะได้จริงจะให้ข้าลงนามสัญญาให้เลยก็ยังได้! จะอย่างไรนิกายสวรรค์ทั้งห้าของเรานั้นมันก็เป็นหนึ่งเดียวกันมาก่อน การพัฒนาของศาลาโอสถนั้นมันต้องพึ่งพากำลังของนิกายกลางและนิกายอื่นๆ ด้วย!”
หยางเจี๋ยยิ้มพยักหน้ารับกลับมา “เรื่องนั้นมันย่อมแน่นอน! หากศาลาโอสถขึ้นมามีอำนาจได้จริงแล้วนิกายทั้งห้าของเราก็ควรจะร่วมมือกันขับไล่พันธมิตรโอสถมันออกจากดินแดนสวรรค์ห้าแสงไป!”
เฟิงซวนยี่พยักหน้ารับก่อนจะหันไปมองที่จอแสงอีกครั้ง
เขานั้นได้แต่ให้กำลังใจเย่หยวนอยู่ในใจ
การตกลงทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้มันจะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อเย่หยวนสามารถเอาชนะได้จริง!
หากเย่หยวนพ่ายลงแล้วนิกายสวรรค์ยุทธมั่นคงต้องรับผลที่ตามมาอย่างหนักหน่วงแน่!
เพราะฉะนั้นศึกการประลองโอสถนี้มันจึงมีความหมายอย่างมากล้ำ
ไม่มีใครคาดฝันว่าเรื่องราวมันกลับจะพัฒนาไปได้ถึงขั้นนี้
การประลองของคนทั้งสองเป็นเหมือนดั่งตาพายุ!
ยิ่งการประลองดำเนินต่อไปเท่าไหร่พายุนี้มันก็จะยิ่งพัฒนาใหญ่หมุนวนแรงขึ้นมากเท่านั้น
จนสุดท้ายมันจะกลายเป็นพายุที่พัดซัดใส่ทั้งทวีปพิรุณใส!
เวลานี้เมื่อเรื่องราวมันถูกตกลงกันไปแล้ว มันย่อมจะไม่อาจย้อนกลับไปได้อีก
ดูท่าแล้วผู้นำพันธมิตรโอสถเองก็คงไม่คิดฝันว่าการส่งชางหยงหนิงออกมาในครั้งนี้มันกลับจะกลายเป็นสร้างพายุแรงเช่นนี้ขึ้นมา
เวลานี้สถานการณ์มันเหนือการควบคุมไปสิ้น
ทุกสิ่งอย่างจะจบลงเมื่อการประลองของคนทั้งสองรู้ผล
ไม่พันธมิตรโอสถพ่ายก็ต้องเป็นดินแดนสวรรค์ห้าแสงที่จะพ่ายลง!
หากพันธมิตรโอสถพ่ายลงพวกเขาก็เพียงแค่ต้องถอนตัวจากดินแดนสวรรค์ห้าแสงเท่านั้น
แต่หากดินแดนสวรรค์ห้าแสงพ่ายลงแล้ว อนาคตในวันหน้ามันคงมีแต่ความมืดมน!
วินาทีนั้นเองที่เฟิงซวนยี่ต้องหรี่ตาลงมองเพราะการประลองโอสถเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นแล้ว!
……………………….