ตอนที่ 3054

War sovereign Soaring The Heavens

WSSTH ตอนที่ 3,054 : ว่านโช่วเทียน

 

 

ว่านโช่วเทียน เช่นเดียวกับหลิงหลัวเทียน เป็น 1 ในเก้าเก้า 81 ระนาบเทวโลก

(ว่านโช่วเทียน = สวรรค์หมื่นอสูร)

 

อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ทำให้ว่านโช่วเทียนแตกต่างจากหลิงหลัวเทียนก็คือ…

 

สิ่งมีชีวิตกว่า 99 ในร้อยส่วนของว่านโช่วเทียนนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นสัตว์อมตะทั้งสิ้น! เนื่องจากสัตว์อมตะในว่านโช่วเทียนจะขับไล่มนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่ไม่ใช่สัตว์อมตะออกไปจากว่านโช่วเทียน! กระทั่งส่วนใหญ่เมื่อพบเจอสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากสัตว์อมตะ ยังเลือกจะลงมือไล่ล่าสังหารให้สิ้นซาก!!

 

กลับกัน ด้านหลิงหลัวเทียนนั้นเป็นแดนสวรรค์ที่ค่อนข้างเปิดกว้าง จะมนุษย์หรือสัตว์อมตะไม่เว้นสิ่งมีชีวิตอันใด ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ไม่มีกีดกันเชื้อชาติเผ่าพันธุ์

 

ในว่านโช่วเทียนนั้น ภายใต้วังจักรพรรดิสวรรค์ว่านโช่วเทียน หนึ่งในขุมกำลังที่ทรงพลังที่สุดก็คือเผ่าพันธุ์มังกร

 

ผู้นำเผ่าพันธุ์มังกรยังเป็นจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ พลังฝีมือยังร้ายกาจไม่ได้ด้อยไปกว่าจักรพรรดิสวรรค์ของว่านโช่วเทียนสักเท่าไหร่

 

นอกจากตัวผู้นำเผ่าพันธุ์มังกรแล้ว ยังมียอดฝีมืออันทรงพลังมากมายในเผ่าพันธุ์มังกร และด้วยการดำรงอยู่ของตัวตนอันทรงพลังเหล่านั้น ก็ทำให้เผ่าพันธุ์มังกรในว่านโช่วเทียนเป็นเผ่าพันธุ์สัตว์อมตะที่ทรงพลังจนไม่มีใครหาญกล้าตอแย

 

สถานที่ตั้งเผ่ามังกร ตั้งอยู่ในพื้นที่ราบลุ่มอันกว้างใหญ่ไพศาลนามว่า แดนบรรพชนมังกร และพื้นที่ราบลุ่มทั้งหมดยังถือเป็นอาณาเขตของเผ่าพันธุ์มังกรอีกด้วย ปกติแล้วก็แทบไม่มีสัตว์อมตะตนใดหาญกล้าเฉียดกรายเข้าใกล้!

 

ฟุ่บ! ฟุ่บ!

 

ณ เขตรอบนอกของที่ราบแดนบรรพชนมังกร ปรากฏร่างสองร่างพุ่งออกมาจากเขตแดนบรรพชนมังกรด้วยความเร็วสูง มองไปประหนึ่งเส้นสายอัสนีสีดำกับสีขาวแล่นวาบตัดอากาศ พริบตา 2 ร่างดังกล่าวก็พุ่งออกนอกอาณาเขตแดนบรรพชนมังกรไปไกลลิบ

 

และไม่นานหลังจากที่ร่างทั้ง 2 พุ่งออกจากอาณาเขตแดนบรรพชนมังกร ร่างสีเทาหนึ่งก็คล้ายจะผุดโผล่ขึ้นมาจากอากาศว่างเปล่าเหนือน่านฟ้าบริเวณชายขอบอาณาเขตแดนบรรพชนมังกร

 

เป็นชายชราในชุดคลุมสีเทาผู้หนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่แลดูกำยำดุร้าย หากแต่บัดนี้สองตาของมันกลับฉายแววอับจนหนทางไม่น้อย

 

วูบ!

 

ชายชรายกมือขึ้นโบกเบาๆ ก็ปรากฏยันต์อมตะแผ่นหนึ่งผุดจากความว่างเปล่าเข้ามือ จากนั้นพอมันบดขยี้ยันต์อมตะดังกล่าว ก็ปรากฏลำแสงอาคมสีรุ้งพุ่งทะยานขึ้นฟ้าไปด้วยความเร็วสูง

 

แทบจะพร้อมกันกับที่ปรากฏลำแสงหลากสีพวยพุ่งขึ้นฟ้า ความว่างเปล่าไกลห่างรอบๆก็เริ่มสั่นไหว จากนั้นก็ปรากฏร่างผู้คนกลุ่มพุ่งมาจากขอบฟ้าไกลตา ผู้คนกลุ่มนี้ยังเคลื่อนตัวมาเป็นขบวน แลดูพร้อมเพรียงน่าเกรงขามไม่ใช่ชั่ว

 

กลุ่มดังกล่าวมีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 11 คน นำโดยชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง และทุกคนล้วนแล้วแต่สวมชุดเกราะสีเงิน ในบรรดา 11 คนดังกล่าว ตัวผู้นำยังใส่ชุดเกราะสีเงินที่แลดูครบเครื่องและทรงพลังที่สุด

 

“อาวุโส 13”

 

พอเห็นว่าผู้ส่งสัญญาณเป็นชายชราชุดเทา ชายวัยกลางคนก็ประสานมือโค้งคารวะอย่างนอบน้อม 10 ที่ติดตามมาอย่างเป็นระเบียบก็ประสานมือโค้งคารวะอย่างพร้อมเพรียง

 

“พวกเจ้าเห็นเด็กน้อย 2 คนที่พึ่งออกไปหรือไม่?”

 

ชายชราหันไปมองชายวัยกลางคน เอ่ยถามออกมาเสียงเข้ม

 

ชายวัยกลางคนส่ายหัวไปมา

 

ในขณะที่ชายชราชุดเทาบังเกิดความรู้สึกผิดหวังนั้นเอง ชายวัยกลางคนก็เอ่ยออกมาว่า “อาวุโส 13 ถึงข้าจะไม่เห็นเด็กน้อย 2 คนที่ท่านว่า แต่ก่อนหน้านี้ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังเซียนอมตะต้นกำเนิด 2 สายที่เร่งรุดจากไป”

 

“หากข้าจับสัมผัสไม่ผิด ทั้งคู่มุ่งหน้าไปทางนี้”

 

หลังกล่าวจบ ชายวัยกลางคนก็ชี้ไปทางทิศใต้

 

และแทบจะทันทีที่เสียงงของชายวัยกลางคนดังจบคำ ร่างชายชราชุดเทาก็อันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตาชายวัยกลางคนและอีก 10 คนที่เหลือปานภูตผี

 

“เหอะๆ…ดูเหมือนเจ้าหนูทั้ง 2 นั่นจะหนีออกไปได้สำเร็จ…”

 

หลังชายชราวูบร่างหายไป ชายวัยกลางคนก็ส่ายหัวไปมา กล่าวอย่างทอดถอนใจ

 

“หัวหน้าท่านรู้หรือว่าผู้อาวุโส 13 กำลังตามหาผู้ใด?”

 

ชายหนุ่มคนหนึ่ในบรรดา 10 คนที่อยู่ด้านหลัง เอ่ยถามชายวัยกลางคนออกมาด้วยความสงสัย

 

“เจ้าสมควรได้ยินเรื่องเมื่อ 2-3 ปีก่อนมาแล้วใช่หรือไม่…ว่าอาวุโสที่อายุน้อยที่สุดในเผ่าพันธุ์มังกรของพวกเราอย่างอาวุโสจี้เซียง ได้นำเด็กน้อย 2 คนกลับมาจากระนาบโลกียะ?”

 

ชายวัยกลางคนย้อนถาม

 

“เรื่องนี้เองรึ…ข้าเคยได้ยินมาแล้วหัวหน้า”

 

ลูกตาชายหนุ่มทอประกายวับวาว จากนั้นก็กล่าวออกออกมาด้วยความสนใจ “ว่ากันว่าเด็กน้อยทั้ง 2 คนจากระนาบโลกียะนั่นเป็นมังกรเทพยดา 8 กรงเล็บ…และพอมาถึงเผ่าพันธุ์มังกรเรา หลังจากลงไปในสระชำระมังกรแล้วทั้งคู่ก็มีแน้วโน้มว่าจะพัฒนาไปเป็นมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บ!”

 

“อีกทั้งในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ทั้งคู่ก็เผยพรสวรรค์อันร้ายกาจออกมา…ทั้งๆที่ยังอายุไม่ถึง 100 ปีกันแท้ๆ แต่กลับทะลวงถึงขอบเขตขุนนางอมตะได้แล้ว”

 

“แถม 1 ในนั้นยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งน้ำถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นได้ 4 ประการ…ส่วนอีกคนถึงแม้จะพึ่งเข้าใจความลึกซึ้งของกฏทำลายล้างได้ 3 ประการ…ทว่า 1 ในความลึกซึ้งที่เข้าใจกลับบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อย! ทำให้พลังฝีมือร้ายกาจยิ่งกว่าอีกคนเสียอีก!!”

 

“เรียกว่าเด็กน้อยทั้ง 2 คนนั่น นับเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่งในเผ่าพันธุ์มังกรแห่งว่านโช่วเทียน! ด้วยเหตุนี้เหล่าอาวุโสจึงให้ความสำคัญกับทั้งคู่มาก กระทั่งยังส่งอาวุโส 13 ให้คอยติดตามดูแลความปลอดภัยทั้งคู่ไม่ห่าง…”

 

พอกล่าวถึงจุดนี้ ชายหนุ่มก็ชะงักไปคล้ายตระหนักอะไรได้บางอย่าง ลูกตามันหดหยีลง หันไปมองถามชายวัยกลางคนด้วยความประหลาดใจว่า “หัวหน้า…ที่ผู้อาวุโส 13 เอ่ยถามถึงเมื่อครู่ คงไม่ใช่เด็กน้อยคู่นั้นหรอกนะ?

 

“เหอะๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นพวกมันนั่นล่ะ”

 

ชายยวัยกลางคนคลี่ยิ้มเจื่อนๆ กล่าวว่า “อีกทั้งจากสีหน้าของผู้อาวุโส 13 เมื่อครู่ เห็นชัดว่าต้องเสียท่าเด็กน้อยคู่นั้น และทำพวกมันคลาดสายตาไปแล้วเป็นแน่…”

 

“ข้าหวังว่าอาวุโส 13 จะไล่ตามเด็กน้อยทั้งคู่นั่นทัน…หาไม่แล้วหากเกิดอะไรขึ้นกับเด็กน้อยคู่นั้นล่ะก็ อย่าว่าแต่อาวุโส 13 จะถูกลงโทษเลย กระทั่งพวกเราที่เป็นหน่วยลาดตระเวณพื้นที่แถบนี้ก็ไม่พ้นโดนดีไปด้วย…”

 

กล่าวถึงท้ายประโยต ชายวัยกลางคนก็ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้

 

ชายชราชุดเทาที่พึ่งออกจากอาณาเขตแดนบรรพชนมังกรและกำลังมุ่งหน้าไปทางใต้นั้น แม้จะพยายามปูพรมค้นหาแล้ว แต่กลับไม่พบเจอแม้แต่เงาเป้าหมาย…

 

ทันใดนั้นสีหน้าชายชราก็กลับกลายเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากทันที “เจ้าเด็กน้อยคู่นี้แสบยิ่งนัก…ตั้งแต่บรรลุถึงขอบเขตขุนนางอมตะก็พยายามแอบหนีไปไม่หยุด…”

 

“2-3 ครั้งก่อนยังดีที่ข้าไหวตัวทันและจับพวกมันได้…แต่ครานี้พวกมันวางแผนได้แสบนัก! ไม่เพียงให้คนมาล่อข้าได้สำเร็จ ยังหลบหนีคนที่ข้าสั่งให้เฝ้ามาได้อีก!!”

 

“หวังว่าพวกมันจักไม่เป็นไร…หาไม่แล้วข้าจักไปอธิบายให้ท่านผู้เฒ่าฟังได้อย่างไร…”

 

ชายชราชุดเทาได้แต่บ่นกับตัวเองอย่างอ่อนใจ เรียกว่าขณะกล่าวน้ำเสียงยิ่งมายิ่งเผยความจนปัญญาอย่างสุดซึ้ง…

 

ในเวลาเดียวกัน ห่างออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือหลายหมื่นลี้จากจุดที่ชายชราชุดเทาเหินร่างหยุดบ่น ประกายอัสนีสีดำสีขาวที่แล่นวาบตัดฟ้ามาฉับไว ในที่สุดก็ค่อยๆชะลอตัวลง เผยให้เห็นเป็นร่าง 2 ร่างชัดเจน

 

ทั้ง 2 ร่างนั้น หนึ่งสูงหนึ่งเตี้ย เป็นชายหนุ่มกับหญิงสาวคู่หนึ่ง

 

ชายหนุ่มนั้นมาในชุดสีดำ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาปานหยกเสลา หากแต่แลดูเย็นชาไร้แยแส แววตายังนิ่งสงบไม่เผยอารมณ์ความรู้สึกใดๆ

 

ร่างสูงลอยนิ่งอยู่ตรงนั้น ให้ความรู้สึกประหนึ่งหอคอยเหล็กตระหง่าน ไร้สิ่งใดสั่นคลอน

 

ส่วนสตรีอีกคนนั้นมาในชุดขาวรูปลักษณ์งดงามไม่น้อย และแม้จะแลดูงดงามหากทว่าไม่คล้ายอ่อนแอ แววตาให้ความรู้สึกกล้าหาญ พาลให้ผู้คนบังเกิดอาการยำเกรงยากที่จะเข้ามาตอแยนางได้ง่ายๆ

 

นอกจากนี้สตรีชุดขาวยังค่อนข้างสูงกว่าสตรีทั่วไป เพราะตัวนางสูงเกือบหนึ่งหมี่แปด อย่างไรก็ตามเมื่อยืนอยู่ข้างๆชายหนุ่มชุดดำที่สูงเกือบสองหมี่ นางก็แลดูตัวเล็กไปถนัดตา…

(180 ซม. , 200 ซม.)

 

ถึงแม้ชุดสีขาวที่นางสวมใส่อยู่จะแลดูหลวมไปบ้าง แต่ก็ไม่อาจปกปิดรูปร่างอันโค้งเว้าของนางได้เลย โดยเฉพาะขาเรียวยาวคู่นั้น ยังยาวเกินหนึ่งหมี่เสียอีก

 

“ดูเหมือนพวกเราจะสลัดตาแก่นั่นหลุดแล้ว…”

 

สตรีชุดขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงโล่งใจ

 

จากนั้น นางก็หันไปมองกล่าวกับชายหนุ่มชุดดำ “เสี่ยวเฮย เจ้าได้ติดต่อเสี่ยวจินไปรึยัง”

 

“เรียบร้อย”

 

ชายหนุ่มในชุดดำพยักหน้า จากนั้นสองตาก็ทอประกาเรืองขึ้นวูบพนึ่งกล่าวว่า “อันที่จริงป่านนี้นางควไปถึงที่นั่นเรียบร้อยแล้ว…ตอนนี้ก็คงรอพวกเราด้วสีหน้าเบื่อๆ”

 

“นางช่างสบายยิ่ง ไม่มีผู้ใดคอยเฝ้าตามแจ แถมอยากไปที่ใดก็ไปได้…”

 

สตรีชุดขาวกล่าวพึมพำเบาๆ จากนั้นนางกับชายหนุ่มชุดดำก็เหินร่างออกเดินทางทันที สองคนกลับกลายเป็นเส้นสายอัสนีสีขาวดำพุ่งวาบตัดฟ้า บึ่งลงใต้ไปด้วยความเร็วสูง

 

ในขณะที่ทั้งคู่มุ่งหน้าลงใต้ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้จากจุดที่ทั้งคู่อยู่ อาวุโส 13 ของเผ่าพันธุ์มังกรที่หาตัวทั้งคู่ไม่เจอ ก็ยังคงง่วนกับการตามหาทั้งคู่อยู่แถวนนั้น….

 

ไม่ได้รู้เลยว่าทั้งคู่นั้น หาได้อยู่ในทิศทางที่มันตามหาอีกสืบไป…

 

 

สามวันต่อมา

 

ในทะเลทรายแห่งหนึ่ง เมืองร้างอันเป็นซากปรักหักพังอันปกคลุมไปด้วยฝุ่นทรายสีเหลือง อีกทั้งไม่ว่าจะมองไปทางใดก็เห็นแต่เห็นทรายสีเหลืองสุดลูกหูลูกตา พาลให้ผู้คนบังเกิดความรู้สึกเปลี่ยวร้างวังเวงนัก…

 

และตอนนี้ เหนือซากปรักหักพังของเมืองร้างกลางทะเลทรายดังกล่าว ก็ปรากฏร่างในชุดสีทองลอยล่องอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายเป็นที่สุด

 

เป็นสตรีในชุดสีทองนางหนึ่ง ใบหน้ากระจ่างใสบริเวณแก้มยังขึ้นสีชมพูระเรื่อน่ามอง หากแต่แลดูก็รู้ว่านางไม่ได้แต่งหน้าทาปากอันใด เรียกว่างดงามน่าดูตามธรรมชาติ ไปอยู่ที่ใดรอบกายก็คล้ายจะหมองลงถนัดตา

 

นอกจากนี้นางยังสูงราวๆหนึ่งหมี่เจ็ดห้า เรียกว่าสูงกว่าสตรีทั่วไปไม่น้อยแถมรูปร่างยังผอมเพรียวอีกด้วย

(175 ซม.)

 

“มากันแล้ว!”

 

ทันใดนั้นเองคล้ายสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง สตรีแก้มอมชมพูที่ทำหน้าซังกะตาย ก็หันขวับไปจับจ้องขอบฟ้าทางทิศเหนือด้วยยตาลุกวาวทันที

 

จากนั้นจุดดำเล็กๆ 2 จุดที่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ด้วยความเร็วสูงก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

 

ฟุ่บ! ฟุ่บ!

 

หลังจากนั้นไม่นานนัก จุดดำเล็กๆ 2 จุดที่ว่า ขยายใหญ่พอให้เห็นว่าเป็นร่างคนสองคน

 

“เสี่ยวไป๋! เสี่ยวเฮย!”

 

เมื่อเห็นร่างผู้มา สองแก้มอมชมพูที่เผยความเบื่อหน่ายก่อนหน้า ก็ปรากฏรอยยิ้มสดใสคลี่กางขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันร่างสูงเพรียวยังพุ่งเข้าไปหาผู้มาเร็วไว ท่าทางคึกคักอักโขนัก

 

“ไม่เจอกันนานเลยเสี่ยวจิน เจ้าสวยขึ้นจนข้าจำแทบไม่ได้แล้ว…”

 

สตรีชุดขาวยิ้มทัก

 

“โอย~ เสี่ยวไป๋อ่าอย่าชมข้าเลย เจ้าสวยกว่าข้าอีก…ข้าล่ะไม่รู้จริงๆว่าเจ้าที่เป็นพี่น้องกับเสี่ยวเฮยหน้าตาดีถึงขนาดนี้ แต่ไฉนเสี่ยวเฮยถึงได้อัปลักษณ์นักนะ”

 

ขณะกล่าว สตรีชุดทองก็กลอกตามองไปทางชายหนุ่มชุดดำข้างๆสตรีชุดขาวที่กำลังเหลือบมองมาที่นางเช่นกัน

 

และพอได้ยินคำพูดของสตรีชุดทอง มุมปากของชายหนุ่มชุดดำก็กระตุกขึ้นมาตงิดๆ จากนั้นสองตาเฉยเมยที่เหลือบมอง ก็กลายเป็นหันมามองจ้องหน้าสบตานางเขม็ง

 

อย่างไรก็ตาม กลิ่นอายเย็นชาไร้แยแสที่มักแผ่ออกมาอยู่เสมอ บัดนี้ดูเหมือนจะอ่อนจางลงไปมาก

 

“ถึงเจ้าจะดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน…แต่หน้าอกยังเล็กอยู่ดี หากไม่รู้จักกันมาก่อนข้านึกว่าเจ้าเป็นผู้ชายปลอมตัวมาซะอีก”

 

ชายหนุ่มชุดดำกล่าวออกเสียงเฉย แต่นับว่าเป็นวาจายืดยาวที่นานๆจะกล่าวออกมาสักที และพอเอ่ยปากพูดมา ก็ทำให้สีหน้าสตรีชุดทองกลับกลายเป็นบิดเบี้ยวดูไม่ได้

 

และในขณะที่สตรีชุดทองกำลังงจะออกฤทธิ์พุ่งไปสู้ตายกับชายหนุ่มชุดดำ สตรีชุดขาวก็หัวเราะกล่าวออกมาเป็นการห้ามทัพ “เอาล่ะๆ พวกเจ้าสองคนไม่เจอกันก็นานแล้ว ไฉนพอเจอหน้าก็ต้องหาเรื่องกันอีกแล้วเล่า?”

 

“อย่าได้ลืมไป…ว่าคราวนี้พวกเรามารวมตัวกันเพื่ออะไร?”

 

ประโยคแรกที่สตรีชุดขาวเอ่ยแม้จะห้ามทัพจับศึกได้สำเร็จ หากแต่สตรีชุดทองกับชายหนุ่มชุดดำก็ยังมองหน้าจ้องตากันเขม็งอย่างไม่มีใครยอมใคร แต่ทว่าพอเอ่ยถึงประโยคหลัง ทั้งคู่ก็หันกลับมามองสตรีชุดขาวทันที

 

“เสี่ยวไป๋…นี่มันก็ผ่านไปหลายปีแล้ว เจ้าว่าพี่ใหญ่หลิงเทียนกับพี่สาวเค่อเอ๋อและคนอื่นๆจะยังอยู่ในระนาบเซียนกันไหม?”

 

สตรีชุดทองมองถามสตรีชุดขาว

 

“ไม่ว่าพี่ใหญ่หลิงเทียนกับพี่สาวเค่อเอ๋อและคนอื่นๆจะยังอยู่ที่ระนาบเซียนกันรึเปล่า พวกเราก็ต้องลองไปดูก่อน…ตอนนี้พวกเราล้วนบรรลุขุนนางอมตะกันหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องกลัวกรรมทางโลกอันใด!”

 

สตรีชุดขาวตอบ

 

พอได้ยินคำพี่ใหญ่หลิงเทียนกับพี่สาวเค่อเอ๋อจากปากสตรีชุดทองและสตรีชุดขาว สีหน้าแววตาของชายหนุ่มชุดดำที่ลอยอยู่ข้างๆก็เผยความอ่อนโยนทั้งคิดถึงออกมาทันที

 

“เจอพวกเราตอนนี้ ข้าว่าพี่ใหญ่หลิงเทียนกับพี่สาวเค่อเอ๋อรวมถึงพี่สาวลี่เฟย ต้องจำพวกเราไม่ได้แน่ๆ!”

 

สตรีชุดทองกล่าวพึมพำ