บทที่ 1910 เธออยากตายหรือไง + ตอนที่ 1911 สามคนที่ถูกลงโทษให้มาสำนึกความผิด

ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น

ตอนที่ 1910 เธออยากตายหรือไง

เหมยเหมยกินแซนวิชหมดไปหนึ่งชิ้นพร้อมกับดื่มนมหมดไปหนึ่งแก้ว เรอออกมาด้วยความอิ่มเอมใจ จากนั้นก็ใส่เสื้อกันหนาวและผ้าพันคอเตรียมตัวไปเรียน

“เออใช่ อาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเธอจะจัดงานแต่งงานในช่วงเทศกาลคริสต์มาส จัดงานใหญ่เสียด้วยนะ”

เหยียนหมิงซุ่นยังคงกินมื้อเช้าด้วยท่าทีเอื่อยเฉื่อยพร้อมกับอ่านหนังสือพิมพ์ยามเช้า พลันนึกถึงข่าวเมื่อวานที่ได้ยินมาจึงพูดออกไป

เหมยเหมยเพิ่งพันผ้าพันคอเสร็จก็ชะงักไป พอได้สติกลับมาก็ถามว่า “แต่งกับใครเหรอ?”

“แน่นอนว่าต้องเป็นคนเก่าสิ”

คำตอบนี้ไม่ได้เหนือคาดเลย เหยียนหมิงซุ่นเคยพูดแต่แรกแล้วว่าเจียงจื้อหรู่ไม่คุ้นชินกับชีวิตยากลำบาก ระหว่างความรักกับเงินทอง เขาทำได้แค่ยอมแพ้ให้กับเงิน เพียงแต่ว่า…

“พวกเขาก็แค่แต่งงานใหม่รอบที่สองไม่ใช่เหรอ? ทำไมต้องจัดงานใหญ่โตด้วยล่ะ? แค่ไปจดทะเบียนสมรสใหม่ที่อำเภอก็จบแล้วนี่นา!”

เหมยเหมยไม่เข้าใจเลยจริง ๆ คุณนายเจียงนี่ก็นะขนาดเจียงจื้อหรู่เป็นแค่แตงกวาที่คนอื่นเคยใช้แล้ว ไม่นึกเลยว่าจะเห็นเป็นดั่งของล้ำค่าไปได้

“เพราะตอนที่พวกเขาแต่งงานกันครั้งแรก เจียงจื้อหรู่ที่ฝ่ายเป็นเจ้าบ่าวไม่เข้าร่วมแม้แต่พิธีแต่งงาน ว่ากันว่าเขาหนีงานแต่ง การจัดงานแต่งงานในครั้งนี้ทางฝั่งครอบครัวของคุณนายเจียงเป็นคนเสนอเองว่าจะต้องจัดงานอย่างใหญ่โต”

เหมยเหมยมุ่นคิ้ว และอดพ่นคำด่าออกมาไม่ได้ว่า “ไอ้เลว!”

เจียงจื้อหรู่ก็เลว คุณนายเจียงก็โง่ ทั้ง ๆที่ทำธุรกิจได้อย่างชาญฉลาด แต่พอเจอปัญหาเรื่องความรักกลับไร้สมอง ทำไมจะต้องมาผูกคอตายบนต้นไม้ที่เอนเอียงอย่างเจียงจื้อหรู่ด้วย!

จัดงานแต่งในวันคริสต์มาส นับ ๆดูแล้วก็เหลือเวลาอีกไม่ถึงสิบวัน ช่วงเวลานี้ก็นับว่าเร่งรีบพอตัว

ปัญหาคือสวีจื่อเซวียนจะทำอย่างไรต่อไป?

เธอยอมถอยให้เหรอ?

“เงื่อนไขที่เจียงจื้อหรู่ยอมตกลงแต่งงานอีกรอบก็คือ คุณนายเจียงต้องให้เงินค่าเลิกรากับสวีจื่อเซวียนก้อนหนึ่ง พร้อมกับส่งเธอไปเรียนต่อต่างประเทศ เงินค่าเลิกราก้อนนั้นเพียงพอสำหรับเป็นค่าเล่าเรียนและการใช้ชีวิตของสวีจื่อเซวียน” เหยียนหมิงซุ่นอธิบายสิ่งที่เหมยเหมยคับข้องใจ ทั่วทั้งเมืองนี้อยู่ในการควบคุมดูแลของเขาจึงไม่มีสิ่งใดที่จะปกปิดเขาได้

เหมยเหมยหัวเราะเยาะ นับว่าเจียงจื้อหรู่ยังมีเมตตาอยู่บ้าง ไม่งั้นสวีจื่อเซวียนคงต้องสูญเสียไปทั้งสองอย่างพร้อมกัน จุดจบคงน่าเวทนายิ่งกว่านี้

แต่น่าสงสารพ่อสวี!

พอนึกถึงพ่อผู้น่าสงสารคนนั้นเหมยเหมยก็ถอนหายใจเสียงเบา หน่ายที่จะคิดถึงเรื่องย่ำแย่พวกนี้แล้ว ถ้าสวีจื่อเซวียนฉลาดพอก็น่าจะรับเงินค่าเลิกราก้อนนี้แล้วไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ

พึ่งพาพ่อแม่และผู้ชายไปก็ไร้ประโยชน์ มีแค่ตัวเองเท่านั้นที่จะพึ่งพาได้ดีที่สุด!

แน่นอนว่าพี่หมิงซุ่นของเธอเป็นข้อยกเว้น!

เหมยเหมยแต่งตัวเสร็จแล้วซึ่งโผล่มาให้เห็นแค่ลูกตาสองข้างเท่านั้น เธอดึงหน้ากากลงพร้อมหอมแก้มเหยียนหมิงซุ่นฟอดใหญ่ “พี่คะ ฉันไปเรียนก่อนนะ อย่าคิดถึงฉันมากไปล่ะ!”

เหยียนหมิงซุ่นมองเหมยเหมยที่ร่าเริงราวกับนกน้อย แล้วเอื้อมมือเช็ดน้ำลายที่ยัยปีศาจน้อยจงใจป้ายทิ้งไว้ นัยน์ตาส่อแววขำขัน

วันเวลาแบบนี้ช่างงดงามจริง ๆ ขอให้เป็นแบบนี้ทุกวันตลอดไป!

ลุงเหลาขับรถไปส่งเหมยเหมย ผู้คนมากมายยังคงสัญจรอยู่บนท้องถนน ส่วนมากจะปั่นจักรยานกันซึ่งดูครึกครื้นเป็นพิเศษ เหมยเหมยพิงอยู่ตรงขอบหน้าต่างรถ ถอนหายใจพลางใช้มือวาดภาพรูปต่าง ๆลงบนกระจกรถ เล่นสนุกสนานอยู่คนเดียว

“จอดรถค่ะ ลุงเหลาเข้าข้างทางเลยค่ะ”

เหมยเหมยร้องตะโกนขึ้นกะทันหัน ลุงเหลาจึงจอดชิดข้างทาง เหมยเหมยใส่หน้ากากอนามัยและผ้าพันคอลงจากรถวิ่งไปหาสวีจื่อเซวียนข้างถนน

เมื่อกี้ตอนอยู่บนรถเธอเห็นสวีจื่อเซวียน ใจจริงก็ไม่ได้อยากยุ่มย่ามด้วยหรอกแต่เธอทำใจแข็งไม่ลง สวีจื่อเซวียนสวมแค่โค้ชตัวเดียว อีกทั้งด้านล่างยังใส่แค่รองเท้าแตะ น่องเปลือยเปล่า ผ้าพันคอหมวกถุงมือก็ไม่ได้ใส่ ตอนนี้อุณหภูมิด้านนอกติดลบยี่สิบกว่าองศา เธอทำแบบนี้ไม่ใช่ว่ารนหาที่ตายหรือไง!

“สวีจื่อเซวียนเธออยากตายหรือไง?”

เหมยเหมยพลั้งปากด่า แต่สวีจื่อเซวียนกลับเหมือนไม่ได้ยิน ท่าทางเหม่อลอย สายตาแน่นิ่ง เพียงแค่เดินตัวแข็งทื่อตรงไปข้างหน้า

……………………………………………………………..

ตอนที่ 1911 สามคนที่ถูกลงโทษให้มาสำนึกความผิด

เหมยเหมยแค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าผู้หญิงคนนี้สติล่องลอยไม่ปกติ ขนาดหนาวจนสองขาเป็นสีม่วงไปหมดก็ยังไม่รู้ตัว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ต้องคิดจะเก็บขาคู่นี้เอาไว้แล้วละ

เธอเครียดจนต้องถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ทำไมดันเป็นเธอที่มาเจอด้วยนะ?

ถึงปากจะบอกว่าวันหลังต่อให้สวีจื่อเซวียนตายต่อหน้าเธอ เธอก็จะไม่เหลียวแลเลยก็เถอะ แต่พอเห็นสภาพย่ำแย่ของสวีจื่อเซวียนในตอนนี้แล้วเหมยเหมยก็ทนใจแข็งไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงข่าวแต่งงานใหม่ของเจียงจื้อหรู่ที่ได้ยินมาจากเหยียนหมิงซุ่นเมื่อครู่หรอก เธอก็นึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้อยู่ไม่น้อย

แม้ผู้หญิงคนนี้จะไม่น่าเห็นใจเลยสักนิดก็ตาม

เพียงแต่จะปล่อยสวีจื่อเซวียนโดยไม่เข้าไปยุ่งก็ใช่เรื่อง เหมยเหมยจึงให้ลุงเหลาช่วยลากสวีจื่อเซวียนขึ้นรถแล้วพาเธอไปส่งโรงพยาบาลเพื่อรักษาแผลที่เกิดจากอากาศที่เย็นจัด หากไม่รักษาเกรงว่าขาของสวีจื่อเซวียนคงต้องตัดทิ้งอย่างเดียว ไม่รู้ว่าเธอเดินอยู่บนพื้นหิมะคนเดียวมานานแค่ไหนแล้ว!

นับว่าโชคดีที่เหมยเหมยส่งเธอมาโรงพยาบาลได้ทันเวลา คุณหมอบอกว่าหากมาช้าอีกสักครึ่งชั่วโมงคงต้องตัดขาของสวีจื่อเซวียนทิ้งอย่างเดียวเพราะรักษาไม่ได้แล้ว

“คนไข้ต้องนอนโรงพยาบาล จำเป็นต้องมีญาติคนไข้เซ็นรับรองให้นอนโรงพยาบาลด้วย” คุณหมอเอ่ย

เหมยเหมยย่อมไม่ช่วยเรื่องนี้อยู่แล้ว เธอจำบทเรียนจากคุณพ่อสวีได้ไม่เคยลืม สมัยนี้จะเป็นคนดีหน่อยมันยากเย็นเหลือเกิน!

เธอจำต้องโทรหาเจียงจื้อหรู่ หากได้เป็นสามีภรรยากันแล้วย่อมมีเยื่อใยต่อกันเป็นธรรมดา สวีจื่อเซวียนมาอยู่ในสภาพนี้ได้เจียงจื้อหรู่ต้องรับผิดชอบด้วยส่วนหนึ่ง ฉะนั้นการเซ็นรับรองนี้ต้องให้เขามาทำแทน

เจียงจื้อหรู่มาได้ค่อนข้างเร็วและสีหน้าที่ดูร้อนรนมากเช่นกัน พอจะดูออกว่าเขายังรักสวีจื่อเซวียนอยู่

แต่รักแล้วจะทำอะไรได้?

ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับอำนาจเงินทองอยู่ดี!

คุณนายเจียงตามมาด้วยเช่นกัน เธอดูผอมเพรียวกว่าเมื่อก่อนลงไปหน่อยซึ่งบ่งบอกว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขนัก เจียงจื้อหรู่เป็นตัวทำลายชั้นดีเสียจริง

สวีจื่อเซวียนเห็นเจียงจื้อหรู่ก็ตาเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อยและดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก แต่พอเห็นคุณนายเจียงที่ตามมาทีหลังสายตาของเธอก็ฉายแววสิ้นหวังชั่ววูบแล้วหลับตาลงอย่างเจ็บปวดไม่พูดอะไรสักประโยคเดียว

รักสามเศร้าแบบนี้เหมยเหมยไม่อยากเข้าไปยุ่งวุ่นวายด้วยนัก เธอจึงบอกลาสองสามีภรรยาเจียงจื้อหรู่ เหตุการณ์นี้ทำให้เธอไปเรียนสายซึ่งดันเป็นคาบเรียนของอาจารย์สุดโหด สิ่งที่เกลียดที่สุดก็คือผู้หญิงหน้าตาสวยจึงไร้ซึ่งความเห็นใจใด ๆ

“ไปยืนข้างนอก!” อาจารย์สุดโหดใจร้ายมาก ขณะที่อาจารย์ท่านอื่น ๆอย่างมากก็แค่ทำโทษให้ยืนหลังห้อง แต่อีกฝ่ายกลับไม่ฟังแม้แต่คำอธิบายก็ไล่ให้เหมยเหมยไปยืนนอกห้องทันที

ข้างนอกอากาศเย็นติดลบยี่สิบองศาเชียวนะ!

เหมยเหมยเองก็คร้านจะแย้งเลยไปหามุมอบอุ่นแต่โดยดี ตรงนั้นมีรูกำแพงที่ไออุ่นจากข้างในถ่ายเทออกมาคงพอจะช่วยให้รู้สึกอุ่นขึ้นมาบ้าง พอไปถึงตรงนั้นก็ทำเอาเหมยเหมยหลุดขำทันที

“ทำไมพวกเธอสองคนก็ออกมาด้วยล่ะ?”

ที่แท้ก็มีสองเพื่อนรักผู้ตกอับมานั่งอยู่ข้างรูกำแพงอย่างน่าสงสารอยู่ก่อนแล้ว ทั้งคู่กำลังหดคอเพื่อรับไออุ่น ซึ่งก็คือเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกับฉีฉีเก๋อนั่นเอง

เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนถลึงตาใส่ฉีฉีเก๋ออย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงอุบอิบอย่างไม่พอใจ “ก็ยายโง่นี้ไง เมื่อก่อนไม่เห็นเธอจะกระตือรือร้นขนาดนี้เลย แต่วันนี้กลับกระตือรือร้นกว่าใครถึงทำเอาฉันซวยไปด้วย หนาวจะตายอยู่แล้ว!”

ว่าแล้วเธอก็สูดน้ำมูกทีหนึ่งแล้วถลึงตาใส่ฉีฉีเก๋อที่กำลังยิ้มเจื่อนให้

ที่แท้เพราะอาจารย์ขาโหดคนนี้ต้องเช็กชื่อก่อนเข้าเรียน พอเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเห็นเหมยเหมยไม่มาเลยเตรียมขานรับแทนให้ แต่ทว่า–

ยายโง่ฉีฉีเก๋อก็ขานรับด้วยเสียงใสเช่นกัน พอจะคาดเดาถึงผลลัพธ์ของการมีเสียงขานรับสองคนขึ้นในเวลาเดียวกันได้ จึงทำให้ต้องโดนอาจารย์ขาโหดไล่มาสำนึกผิดตรงนี้

เหมยเหมยหลุดขำทีหนึ่งแล้วรู้สึกอุ่นวาบไปทั้งใจ ก่อนที่เธอจะเล่าสาเหตุของการมาเรียนสายให้ฟัง

เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนโกรธจนหลุดด่าคำหยาบออกมา “โอ้โห ฉันอยากตบเรียกสติหล่อนจริง ๆ พ่อของเธอต้องโมโหจนตายไปคนหนึ่งแล้วทำไมหล่อนถึงยังไม่ได้สติอีกนะ? ทำร้ายตัวเองเพื่อผู้ชายคนเดียวแบบนี้มันเกินไปจริง ๆ!”

สุดท้ายก็เป็นเรื่องของคนอื่นอยู่ดี แม้พวกเธอจะโกรธแต่ก็คร้านจะสนใจอีก ในที่สุดก็หมดไปสองคาบทั้งสามคนหนาวแทบแย่เลยตัดสินใจโดดเรียนอีกสองคาบที่เหลือโดยไปทานหม้อไฟหลังมหาวิทยาลัยเพื่อสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย

แต่พอเดินผ่านหน้าหอสมุดกลับพบว่าตรงนั้นมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนมุงชะเง้อคอยาวไม่รู้กำลังดูอะไรกันอยู่!

……………………………………………