แม้เป็นเพียงการเยาะหยัน แต่กลิ่นอายหยามเหยียดเข้มข้นในน้ำเสียงกลับปิดบังไม่อยู่โดยสิ้นเชิง
หรือพูดได้ว่าเจ้าของเสียงไม่คิดจะปกปิดแต่แรก
อี้เทียนหลินมุ่นคิ้ว
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างสีหน้าขรึมลงทันที
ภายใต้การจับจ้องด้วยสายตาของทุกคน ก็เห็นหญิงสาวชุดดำ ผมสีโลหิต นัยน์ตามรกต ที่หลังพาดกระบี่โลหิตแคบยาวเล่มหนึ่งก้าวมาบนทางภูเขา
ร่างนางสูงโปร่ง แผ่นหลังตรง ผมสีโลหิตทั้งศีรษะมัดรวบเป็นหางม้า ใบหน้าขาวกระจ่างเผยความงามแปลกประหลาด เพียงแต่สีหน้านั้นดูหยิ่งทะนงและเย็นชาเกินไป
เมื่อนางย่างก้าว กลิ่นอายดุดันสยบผู้คนก็แผ่อบอวลตามมา ราวกับกระแสน้ำหลากไร้รูปม้วนพัดทั่วที่แห่งนั้น
ทันใดนั้นผู้คนไม่น้อยหน้าเปลี่ยนสี หายใจติดขัด
ในดวงตาอี้เทียนหลินกลับเผยแววจริงจัง จากตัวหญิงสาวพาดกระบี่ที่ท่าทางแปลกประหลาด กลิ่นอายดุดันเยียบเย็นนี้ ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอย่างหนึ่ง
ร่างของเซี่ยเวยแข็งทื่อ มือหยกที่กำลังรินเหล้าให้หลินสวินสั่นสะท้าน มองเห็นว่าสุรากำลังจะหกก็ถูกหลินสวินรับไว้ทัน
เซี่ยเวยพลันได้สติ เผยให้เห็นความละอาย
หลินสวินยิ้มเล็กน้อย ไม่พูดอะไรมากอีก
“แม่นางเป็นใคร จะมาร่วมงานชุมนุมด้วยหรือ”
อี้เทียนหลินลุกขึ้นกล่าวเสียงแข็ง
หญิงสาวผมสีโลหิตชุดดำเหมือนไม่ได้ยิน เดินมาถึงลานแห่งนี้ จากนั้นก็หยุดเดินไม่ก้าวไปข้างหน้าอีก
นางสองแขนกอดอก คางขาวกระจ่างเชิดขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาเขียวมรกตกวาดมองทุกคนในที่นั้น ไม่นานบนหน้าเย็นชาก็เผยความผิดหวังกล่าวว่า
“ข้าได้ยินว่าหลายปีก่อนเจ้าคนที่ถูกเรียกว่าเทพมารหลินคนนั้นเคยปรากฏตัวที่นี่เพื่อร่วมงานชุมนุมพันกระแส เดิมคิดว่าในงานชุมนุมเช่นนี้น่าจะมีผู้แข็งแกร่งมากมาย เป็นแหล่งรวมผู้กล้า แต่ตอนนี้ดูท่า…”
“ดูท่าอะไร”
หว่างคิ้วอี้เทียนหลินเผยแววเย็นชาวูบหนึ่ง เขามองออกว่าหญิงสาวคนนี้มาร้าย
น้ำเสียงของหญิงสาวผมสีโลหิตชุดดำเจือความหยิ่งทะนงเป็นเอกลักษณ์ “ก็เป็นแค่งานชุมนุมที่ไก่กระเบื้องสุนัขดินเผากลุ่มหนึ่งพากันคุยเขื่อง ไม่สมชื่อเสียง ทำให้คนผิดหวัง”
ในที่นั้นพลันแตกตื่น ผู้คนไม่น้อยโกรธจนหน้าขึ้นสี
“เจ้ามาหาเรื่องรึ”
หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าศิษย์พี่กู่ยืนขึ้น ส่งเสียงเย็นชา
“หาเรื่อง? พวกเจ้าคู่ควรรึ”
หญิงสาวผมสีโลหิตชุดดำกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “ในเมื่อพวกเจ้าบอกว่าข้าศึกมาก็ต่อกรไปตามเนื้อผ้า ข้าก็แค่อยากดูนักว่าพวกเจ้าใครจะสามารถรับมือข้าได้”
มาหาเรื่องจริงดังคาด!
ทุกคนต่างตัดสินได้ทันที
“แม่นาง ที่พวกเรากล่าวมาทั้งหมดมุ่งเป้าไปที่คณะทูตต่างดินแดน ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวกับเจ้ากระมัง ทำไม หรือว่าเจ้าไปพึ่งศัตรูภายนอกพวกนั้น คิดจะทำตัวเป็นผู้ทรยศต่อดินแดนรกร้างโบราณ”
มีคนตวาดเดือดดาล
กลับเห็นหญิงสาวผมสีโลหิตชุดดำนั้นเผยรอยยิ้มหยัน “กาลเวลาไร้สิ้นสุดผ่านไปแล้ว พวกเจ้าผู้ฝึกปราณของดินแดนรกร้างโบราณทำไมยังไม่พัฒนาแม้แต่น้อย ไม่อาจจำแนกฐานะของคู่ต่อสู้ได้แล้วรึ”
ทันทีที่วาจานี้กล่าวออกมา ทั่วทั้งลานต่างตะลึง
“เจ้าคือผู้ฝึกปราณต่างดินแดนรึ”
อี้เทียนหลินหนังตาพลันกระตุก
“ไม่ผิด”
หญิงสาวผมสีโลหิตชุดดำกล่าวแผ่วเบา “ข้าชื่อปี้เหิน ปัจจุบันคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายนายท่านลั่งเชียนเหิง”
ตอนนี้ทุกคนถึงได้รู้ว่าหญิงสาวที่กลิ่นอายเยียบเย็นดุดันนี้ เป็นแค่หญิงรับใช้คนหนึ่งที่ติดตามข้างกายลั่งเชียนเหิงนั่น!
ศิษย์พี่กู่แค่นเสียงเย็นชากล่าว “ฮึ หญิงรับใช้คนหนึ่ง แต่กลับไม่รู้จักมารยาท บุกเข้ามาตามสะดวก ไม่คิดว่าจะทำให้นายน้อยบ้านเจ้าขายหน้าหรือ”
ปี้เหินกล่าวเฉยชา “ไม่พอใจรึ เอาชนะข้าสิ แล้วข้าจะก้มหัวขอโทษพวกเจ้าทันที จะตัดหัวข้าไปก็ย่อมได้”
วาจาราบเรียบ แต่กลับแข็งกร้าวหาใดเปรียบ
หากไม่เห็นด้วยตาตนเองคงไม่กล้าเชื่อ ว่าหญิงงามที่กลิ่นอายเย็นชาเคร่งครัดคนหนึ่งเช่นนี้จะเป็นแค่หญิงรับใช้คนหนึ่ง
“แต่หากข้าชนะ ข้าก็จะไม่ฆ่าพวกเจ้า ใครแพ้ต้องคุกเข่าลงกับพื้นโดยดี ตบหน้าตัวเองเป็นการยอมรับว่าฝีมือสู้ผู้อื่นไม่ได้ก็พอ”
เมื่อประโยคนี้หลุดออกจากปากของปี้เหินทีละคำ บรรยากาศในที่นั้นพลันเปลี่ยนเป็นกดดันตึงเครียดขึ้นมาในทันที พายุฝนกำลังมา!
ผู้คนมากมายสีหน้าอึมครึม เหลือบสายตามองไปยังอี้เทียนหลินแล้ว
งานชุมนุมครั้งนี้อี้เทียนหลินเป็นคนจัด เมื่อเจอสถานการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่าต้องดูสีหน้าของอี้เทียนหลินก่อน
อี้เทียนหลินก็คิดไม่ถึงเช่นกัน ว่าแค่งานชุมนุมครั้งหนึ่งถึงกับเกิดอุปสรรคเช่นนี้ขึ้น เพียงพริบตาสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นมืดทะมึนเยียบเย็นไม่น้อย
“เจ้าเป็นแค่หญิงรับใช้คนหนึ่งที่มาจากต่างดินแดนเท่านั้น ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำก็พอเข้าใจได้ ในฐานะที่พวกเราเป็นเจ้าบ้าน ย่อมไม่มีทางเอาความเจ้า ถ้าคิดจะประลองกับพวกเรา ให้เจ้านายของเจ้ามาคงพอได้”
ทันทีที่วาจานี้ของอี้เทียนหลินกล่าวออกมา ก็ได้รับเสียงกู่ร้องยินดีจากทุกคนทันที
กลับเห็นปี้เหินยิ้มเยาะ “ผู้ฝึกปราณของดินแดนรกร้างโบราณยังเหมือนก่อนหน้านี้ เห็นชัดว่าพลังอ่อนแอ แต่กลับปากแข็งซะจริงๆ”
พูดถึงตรงนี้นางเก็บรอยยิ้ม นัยน์ตามรกตดุจอสนีกวาดมองทั่วลาน “ขอถามแค่ประโยคเดียว มีใครกล้าสู้กับข้าไหม”
ข่มขู่คนอื่น!
ผู้แข็งแกร่งในที่นั้นถูกยั่วโทสะแล้ว สีหน้าไม่น่าดู
“ข้าเอง!”
ชายร่างสูงใหญ่ล่ำสันคนหนึ่งก้าวออกมา กลิ่นอายทรงพลังน่าพรั่นพรึง
ชิ้ง!
ปี้เหินไม่ลังเลแม้แต่น้อย ชักกระบี่โลหิตที่อยู่ข้างหลังออกมาแล้วฟาดฟันทันที บอกจะสู้ก็สู้ ไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆ
ฟึ่บ!
ปราณกระบี่สีเลือดสายหนึ่งปรากฏ ห้วงอากาศถูกฉีกทึ้งราวไหมทอ เจิดจ้าดุจวสายฟ้าแลบสีเลือดสายหนึ่งตัดทำลายแหวกอากาศ
เมื่อเสียงฉัวะดังขึ้น ชายร่างสูงใหญ่ล่ำสันนั้นก็ถูกฟันลอยไป แม้จะต้านทานเต็มกำลังก็ยังถูกฟันผ่าอก กระเด็นลอยไปติดผนังหินด้านหนึ่งอย่างหนักหน่วง ส่งเสียงร้องทุรนทุราย
ทุกคนในที่นั้นนัยน์ตาพลันหดรัด ใจกระตุกวูบอย่างหนักหน่วง
หลินสวินดื่มสุราจอกหนึ่งแล้วใคร่ครวญ
มรรคกระบี่นี้ไม่ใช่แค่เร็ว ยังดุดันและรุนแรงที่สุด เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์อมตะและบริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง
แน่ใจได้เลยว่าปี้เหินผู้นี้แม้จะเป็นหญิงรับใช้ แต่การเคี่ยวกรำบนมรรคกระบี่ก็เป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่เรียกได้ว่าชั้นยอดเช่นกัน
“ต่ำช้า นี่เจ้าลอบโจมตีรึ!” มีคนตะโกนลั่น
ปี้เหินมือกำกระบี่โลหิตกล่าวราบเรียบ “สมรภูมิที่แท้จริงแบ่งแยกแค่เป็นตาย ข้าไม่ฆ่าคนก็เมตตาพอแล้ว”
“สหายที่มาจากต่างดินแดนคนนี้แม้จะอวดดีไปบ้าง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นบุคคลขอบเขตมกุฎคนหนึ่ง ศึกนี้ให้ข้าจัดการงเองเถอะ”
ชายหนุ่มท่าทางสุขุมลุ่มลึกคนหนึ่งยืนขึ้น ทำให้ทุกคนในที่นั้นแตกตื่น ต่างรู้ว่านี่คือบุคคลขอบเขตมกุฎคนหนึ่ง มีชื่อเสียงอย่างยิ่ง เป็นเพื่อนสนิทที่จริงใจซื่อตรงกับอี้เทียนหลิน
การต่อสู้ปะทุขึ้นอย่างไม่ผิดจากที่คาด
แต่เพียงชั่วขณะก็ตัดสินผลแพ้ชนะ ชายหนุ่มสุขุมลุ่มลึกถูกกระบี่เดียวแทงทะลุหน้าอก ร่างถูกกระแทกปลิวแล้วร่วงลงไปกองกับพื้น ริมฝีปากกระอักเลือด สีหน้าซีดเผือดหาใดเปรียบ หน้าตาดูหดหู่
คล้ายไม่อาจยอมรับว่าตนจะแพ้ในมือหญิงรับใช้คนหนึ่งอย่างปี้เหิน การโจมตีนี้หนักหน่วงเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย
และสีหน้าของทุกคนในที่นั้นก็ไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่ง ล้วนมีท่าทางยากจะเชื่อ
การพ่ายแพ้ของชายหนุ่มสุขุมลุ่มลึกก็เหมือนค้อนหนักที่ฟาดใส่ใจพวกเขาเต็มแรง ทำให้พวกเขาก็ถูกโจมตีเช่นกัน
หญิงรับใช้คนหนึ่งยังน่ากลัวเช่นนี้ แล้วลั่งเชียนเหิงนั่นจะแข็งแกร่งแค่ไหน
และหากวันนี้ไม่มีใครสามารถปราบหญิงรับใช้คนนี้ได้ ถ้าแพร่ออกไปพวกเขาทั้งหมดต้องกลายเป็นตัวตลกของใต้หล้าแน่ น่าอัปยศหาใดเปรียบ
“อีกเดี๋ยวทุกคนที่แพ้ต้องคุกเข่าแต่โดยดี คนที่ไม่ยอมรับว่าฝีมือสู้ไม่ได้ ข้าไม่มีทางปล่อยไปแน่”
ปี้เหินกล่าวเนิบช้า ผมสีโลหิตทั้งศีรษะของนางพลิ้วไหว กระบี่โลหิตกลางฝ่ามือส่งเสียงใสครวญ ทั้งตัวราวกับผู้ฝึกกระบี่หญิงไร้เทียมทานคนหนึ่ง ดุดันจนน่ากลัว
คำพูดพวกนี้ของนางเหมือนสาดเกลือลงปากแผล กระตุ้นจนทุกคนในที่นั้นหน้าแดงก่ำ เดือดดาลเกินต้าน รู้สึกอับอายอย่างบอกไม่ถูก
“รังแกกันเกินไปแล้ว!”
ศิษย์พี่กู่กล่าวเดือดดาล
เพี๊ยะ!
น้ำเสียงเพิ่งแผ่วลง บนหน้าพริ้มเพราของนางก็ถูกเงากระบี่สายหนึ่งฟาดใส่อย่างหนักหน่วง ทิ้งรอยแผลเลือดชโลมไว้สายหนึ่ง
ก็เห็นปี้เหินกล่าวเฉยชา “ต่อให้ข้ารังแกเจ้าแล้วจะทำไม”
นี่ช่างน่ากลัวยิ่ง ศิษย์พี่กู่ก็เป็นบุคคลระดับราชันคนหนึ่ง แต่ยังไม่ทันได้ตอบสนองก็ถูกคนตบหน้า!
“น่าชังนัก!”
ร่างอรชรของเซี่ยเวยสั่นสะท้าน โกรธจนตัวสั่น ศิษย์พี่กู่และนางมาจากสำนักเดียวกัน แม้ความสัมพันธ์จะไม่ถึงขั้นสนิทกันเท่าไร แต่เมื่อเห็นนางถูกดูหมิ่น ในใจเซี่ยเวยมีหรือจะไม่เดือดดาล
ปี้เหินเหล่มองนางวูบหนึ่งกล่าว “น้องสาวตัวน้อย คนขี้ขลาดทำได้แค่โกรธเคือง ผู้กล้าย่อมชักกระบี่ขึ้นมานานแล้ว และเจ้าพูดจาจาบจ้วงข้า แน่นอนว่าข้าต้องมอบบทลงโทษให้”
“พอแล้ว!”
อี้เทียนหลินสีหน้าอึมครึมตวาดลั่น
แต่ปี้เหินเหมือนหูทวนลม ยามเขากล่าวก็ลงมือแล้ว
ฟุ่บ!
เงากระบี่สีเลือดสายหนึ่งพุ่งออกมา ราวแส้เจิดจ้าประหลาดสายหนึ่งพุ่งตวัดใส่ใบหน้าของเซี่ยเวย
อะไรที่เรียกว่าแข็งกร้าว
ก็นี่อย่างไร!
หญิงรับใช้คนหนึ่งกลับบุกมาที่นี่คนเดียว มองเหล่าผู้กล้าราวสิ่งไร้ค่า พอฟังไม่เข้าหูก็ลงมือ!
แต่เมื่อกระบี่นี้พุ่งออกมา เพียงหลินสวินสะบัดข้อมือ เหล้าในจอกก็พุ่งออกไปราวฝนแสงสายหนึ่ง สลายกระบี่นี้ได้อย่างง่ายดาย
“เอ๋ ไม่เลวทีเดียว ไม่แปลกที่จะกล้าพูดจาจาบจ้วงข้า ที่แท้ข้างกายยังมียอดฝีมือคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย”
ปี้เหินผิดคาดอยู่บ้าง แต่ในเสียงกลับเจือความเย้ยหยันเสี้ยวหนึ่ง
คนอื่นในที่นั้นก็หันมามอง
สามารถต้านการโจมตีของปี้เหินได้ นี่เป็นข้อพิสูจน์อย่างไม่ต้องสงสัย ว่าศักยภาพของชายที่อยู่ข้างกายเซี่ยเวยคนนี้น่าจะไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
เพียงแต่พวกเขาต่างแคลงใจนัก ด้วยไม่มีใครรู้จักหลินสวินจึงรู้สึกไม่คุ้นหน้าสักนิด
อี้เทียนหลินรู้สึกได้รางๆ ว่าหลินสวินดูคุ้นตาอยู่บ้าง แต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน ได้แต่เลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างอดไม่อยู่ รู้สึกผิดคาดยิ่งนัก
เวลานี้หลินสวินวางจอกเหล้าลง ตบบ่าของเซี่ยเวยที่อยู่ข้างกายกล่าว “ขอบคุณสำหรับการต้อนรับของเจ้า เพื่อเป็นการตอบแทน ก่อนจากไปข้าจะช่วยเจ้าระบายอารมณ์”
เขาพูดพลางหยัดร่างขึ้น เหลือบสายตามองไปยังปี้เหิน สีหน้าราบเรียบไม่สะทกสะท้าน ทั้งตัวไม่มีท่าทางที่เรียกได้ว่าทรงพลังแม้แต่น้อย ดูเหมือนราบเรียบนิ่งสงบ
“ช่วยคนอื่นระบายอารมณ์รึ”
ปี้เหินสีหน้าเพลิดเพลิน “ดูท่าเจ้าจะมั่นใจพลังของตัวเองมาก แต่เจ้าไม่ห่วงว่าจะถูกข้าซัดตายรึ”
หลินสวินยิ้มรับ “ถ้าทำได้ก็ลองดู”
ปี้เหินมุ่นคิ้ว นางถึงขั้นมองตื้นลึกหนาบางของชายตรงหน้านี้ไม่ออกอยู่บ้าง นี่ทำให้นางรู้สึกไม่ชอบมาพากลเล็กน้อย
ยามนี้สายตาของทุกคน ณ ที่นั้นต่างมองไปยังหลินสวิน
โดยเฉพาะศิษย์พี่กู่ที่เคยเจอหลินสวินมาก่อน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าตอนนี้เขาจะลุกขึ้นออกหน้าแทนเซี่ยเวย หรือว่าเขาจะไม่กลัวตาย
“สหายยุทธ์ ให้ข้าจัดการเองเถอะ”
ห่างออกไปอี้เทียนหลินเอ่ยปาก งานชุมนุมครั้งนี้เขาเป็นเจ้าภาพจัดงาน ยามนี้มาถึงขนาดนี้แล้ว หากไม่ลงมืออีกก็จะเห็นว่าเขาไร้สามารถเกินไป
“อยากตายจะไปยากอะไร อย่ารีบร้อน ประเดี๋ยวก็ถึงคราวเจ้า”
เสียงของปี้เหินเนิบช้า ยกกระบี่โลหิตในมือขึ้นชี้ปลายไปที่หลินสวิน กลิ่นอายท้าทายเต็มเปี่ยม “ตอนนี้ข้าจะเล่นสนุกกับเจ้าก่อน!”
ลักษณะพลังดุดันชวนประหวั่นแผ่ออกมาจากร่างของปี้เหินทันที แสงมรรคเจิดจ้าน่าพรั่นพรึงพวยพุ่งรอบตัวนาง พาให้คลื่นลมรอบกายเปลี่ยนสี
เวลานี้ทุกคนต่างสังเกตเห็น ปี้เหินใช้พลังที่แท้จริงแล้ว!
เท่านี้ก็รู้แล้วว่าในสายตาของนาง หลินสวินไม่ใช่คนที่คนอื่นๆ ก่อนหน้านี้เทียบได้ ควรค่าพอที่นางจะให้ความสำคัญ
แต่ยามนี้หลินสวินกลับยิ้มทันใด “เล่นสนุกรึ เจ้ายังไม่มีคุณสมบัติพอ”
น้ำเสียงเพิ่งแผ่วลง
เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
การเคลื่อนไหวลวกๆ ไม่อาจพูดได้ว่ามีท่าทางภูมิฐานอะไร ก็เหมือนกับนักท่องเที่ยวคนหนึ่งกำลังเดินเล่นในสวนบ้าน
แต่ในสายตาของปี้เหิน หลินสวินกลับเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน!
………….