ตอนที่ 1482 พายุแห่งการนัดประลอง

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

พร้อมๆ กับเสียงนั้น หญิงสาวสวมชุดดำร่างสูงโปร่งคนหนึ่งเดินมาจากที่ห่างออกไปไม่ไกล

ผิวนางขาวกระจ่างหมดจด เนตรดาราหรี่ปรือ ริมฝีปากแดงดุจอัคคี มวยผมยาวสีม่วงเข้มทั้งศีรษะเอาไว้ลวกๆ เผยให้เห็นลำคอระหงขาวหิมะช่วงหนึ่ง โดยเฉพาะสัดส่วนที่โค้งเว้าได้รูปยิ่งทำให้ดูเร่าร้อนผิดธรรมดา เผยความเย้ายวนชวนให้ใจสั่น

นัยน์ตาของปี้เหินเผยความหวาดกลัวสายหนึ่ง

หญิงสาวทรงเสน่ห์นี้มีชื่อว่าจู๋อิ้งเสวี่ย มาจากเผ่ามังกรจู๋หลงแห่งดินแดนโบราณยอดหยิน เป็นชนชั้นสูงยิ่งผู้หนึ่ง

ต้องรู้ว่าในดินแดนโบราณยอดหยิน เผ่าจู๋หลงเป็นเผ่าจักรพรรดิที่สมชื่อ เบื้องลึกเบื้องหลังน่าพรั่นพรึง ในดินแดนโบราณยอดหยินยังมีจำนวนแค่นับนิ้วได้

และจู๋อิ้งเสวี่ยคนนี้ก็คือคนในเผ่าสายตรงคนหนึ่งของเผ่าพันธุ์นี้ มีพลังปราณน่ากลัวในระดับอมตะเคราะห์ด่านเก้า เทียบกับลั่งเชียนเหิงแล้วก็ไม่ด้อยไปกว่ากันเท่าไร

ต่างจากดินแดนรกร้างโบราณ การไปมาหาสู่กันระหว่างแปดดินแดนอื่นบ่อยครั้งกว่านัก ต่อให้พวกเขามาจากต่างดินแดน แต่ปี้เหินก็เคยได้ยินเรื่องอานุภาพของเผ่าจู๋หลงมาก่อน

ลั่งเชียนเหิงขมวดคิ้วมุ่น “จู๋อิ้งเสวี่ย เรื่องของข้าเจ้าไม่จำเป็นต้องเข้ามายุ่ง”

“เจ้าคนที่ได้ชื่อว่าเทพมารหลินนั่น เป็นถึงบุคคลชั้นนำอันดับหนึ่งในหมู่บุคคลขอบเขตมกุฎของดินแดนรกร้างโบราณ ชื่อเสียงกิตติศัพท์เกรียงไกร คู่ต่อสู้เช่นนี้ข้าก็อยากลองดูว่าเขาจะมีความสามารถมากแค่ไหน”

จู๋อิ้งเสวี่ยยิ้มหวาน เนตรดาราวาววาบ เผยความเย้ายวนน่าอัศจรรย์

นัยน์ตาสีเขียวมรกตของลั่งเชียนเหิงฉายแววดุดัน “ทำไม เจ้าคิดจะแย่งข้ารึ”

บรรยากาศพลันตึงเครียด

“นี่ๆ พวกเจ้าสองคนอย่าทะเลาะกันเชียว อย่าลืมว่าครั้งนี้พวกเรามาเยือนดินแดนรกร้างโบราณนี้ด้วยกัน หากตีกันเองขึ้นมาเกรงว่าจะถูกหัวเราะเยาะ”

เสียงเกียจคร้านหนึ่งดังขึ้น ก็เห็นชายชุดเทาที่หลังพาดกระบี่สามเล่ม หน้าตาเหมือนเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินเนิบๆ เข้ามา

เขาผมยาวกระเซิง ผิวทองแดงราวหล่อจากทองแดง ดูเอ้อระเหยลอยชายไปทั้งตัว ท่าทางเกียจคร้าน

ที่หลังพาดกระบี่เล่มหนึ่งไม่แปลก แต่พาดกระบี่สามเล่มเลยดูผิดแผกยิ่งนัก

แต่ไม่ว่าจะเป็นลั่งเชียนเหิงหรือจู๋อิ้งเสวี่ย เมื่อเห็นผู้ฝึกกระบี่ท่าทางเกียจคร้านที่ดูเหมือนเด็กหนุ่มคนนี้แล้วต่างก็นัยน์ตาหดรัด

มู่ไจซิง!

ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่มาจากดินแดนโบราณต้าหลัว ภายนอกดูเหมือนสกปรกเกียจคร้าน ความจริงแล้วมีจิตมรรคที่อำมหิตเลือดเย็น

กระบี่สามเล่มที่อยู่ด้านหลังเขา เป็นตัวแทนของมรดกมรรคกระบี่ชั้นสูงสามอย่าง

ดินแดนโบราณต้าหลัวเดิมก็เป็นโลกของผู้ฝึกกระบี่ สำนักกระบี่เรียงราย แต่มู่ไจซิงคนนี้กลับสามารถโดดเด่นในหมู่คนหนุ่ม พลังของเขาย่อมไม่อาจดูหมิ่นได้ง่ายๆ

ด้วยเหตุนี้ต่อให้เป็นลั่งเชียนเหิงหรือจู๋อิ้งเสวี่ย ยามเผชิญหน้ากับมู่ไจซิงก็ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย

“จุดประสงค์การมาของพวกเราครั้งนี้ง่ายมาก หนึ่งคือคุยค้าขายกับพวกสัตว์ประหลาดเฒ่าของดินแดนรกร้างโบราณ สองคือลองหยั่งตื้นลึกหนาบางของผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์ในดินแดนรกร้างโบราณ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนที่ใกล้จะมาเยือน”

มู่ไจซิงยิ้มน้อยๆ พลางกล่าว “แน่นอน ข้ารู้ว่าก้นบึ้งหัวใจของพวกเจ้าดูถูกดูแคลนดินแดนรกร้างโบราณ เชื่อว่ามกุฎมรรคาของดินแดนนี้ถูกตัดขาดมาเนิ่นนานแล้ว ไม่มีทางเจอคู่ต่อสู้ที่ควรค่าแก่การให้ความสำคัญอะไรแต่แรก”

“แต่ตอนนี้พวกเจ้าก็รู้แล้วว่าหลายปีก่อนแดนมกุฎมาเยือน ทำให้ดินแดนรกร้างโบราณปรากฏอัจฉริยะที่เหยียบเส้นทางมกุฎกลุ่มหนึ่ง นี่ก็หมายความว่าพวกเราอาจจะเจอคู่ต่อสู้เพิ่มขึ้น”

พูดถึงตรงนี้เขาก็ยิ้มอีกครั้ง “อืม มรรคาที่ตัดขาดมีคนเหยียบใหม่อีกครั้ง แม้จะพูดว่าพลังทั้งหมดยังไม่อาจเทียบกับพวกเราเหล่าผู้แข็งแกร่งที่มาจากแปดดินแดนอยู่มาก แต่ถึงอย่างไร… ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย คู่ต่อสู้อ่อนแอเกินไปกลับพาให้คนเบื่อหน่ายไม่ใช่หรือ”

ฟังถึงตรงนี้ลั่งเชียนเหิงอดมุ่นคิ้วไม่ได้ “เจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่”

มู่ไจซิงถอนหายใจ “ยังฟังไม่ออกอีกหรือ คนที่ควรดูหมิ่นยังคงดูหมิ่นได้ แต่คนที่ควรให้ความสำคัญก็ต้องให้ความสำคัญ ดินแดนรกร้างโบราณนี้… ไม่เหมือนก่อนหน้านี้แล้ว”

“เจ้าสามารถดูถูกพวกเขา เชื่อว่าดินแดนรกร้างโบราณนี้ไม่คู่ควรจะเปรียบเทียบกับแปดดินแดนอื่นได้อย่างสิ้นเชิง แต่ผู้แข็งแกร่งของดินแดนรกร้างโบราณที่ก้าวสู่มกุฎพวกนั้น แน่นอนว่าต้องให้ความสำคัญดีๆ”

มู่ไจซิงพูดจบก็นำกาสุราหนึ่งออกมา เงยหน้าดื่มด่ำครู่หนึ่ง

ลั่งเชียนเหิงเยาะหยัน “หลายวันมานี้บุคคลขอบเขตมกุฎของดินแดนรกร้างโบราณที่แพ้ในมือข้ามีมากถึงหลายสิบคน ไม่มีสักคนที่ต้านได้เกินสิบกระบวนท่า เจ้ายังมาเตือนข้าให้มอบความสำคัญกับพวกเขาอีกรึ”

ในน้ำเสียงเผยแววปรามาสเข้มข้น

มู่ไจซิงยิ้มน้อยๆ กล่าว “แต่หญิงรับใช้ของเจ้าก็แพ้แล้ว ถูกคนใช้ก้าวเดียวบีบบังคับให้คุกเข่า”

ประโยคเดียวช่างเหมือนตบหน้ากันซึ่งหน้า สีหน้าของลั่งเชียนเหิงพลันอึมครึม สีหน้าของปี้เหินที่อยู่ข้างๆ ยิ่งไม่น่าดูถึงขีดสุด

“ไม่ต้องสนใจ ข้าไม่ได้จะเยาะเย้ย”

มู่ไจซิงยังยิ้มสดใส ส่ายหน้ากล่าว “ข้าแค่จะบอกว่า ยอดบุคคลขอบเขตมกุฎบางส่วนที่ร้ายกาจอย่างแท้จริงในดินแดนรกร้างโบราณ นอกจากหลินสวินแล้วยังมีอีกมากที่ไม่ปรากฏตัว อย่างเซ่าเฮ่า รั่วอู่ หยวนฝ่าเทียน ราชันเผิงปีกทองน้อย โม่เทียนเหอ…”

จู๋อิ้งเสวี่ยที่อยู่ข้างๆ พลันสอดปาก “เจ้าพูดผิดแล้ว ไม่นานมานี้โม่เทียนเหอเพิ่งแพ้ไป”

มู่ไจซิงชะงัก กล่าวประหลาดใจ “ทำไมข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”

จู๋อิ้งเสวี่ยยิ้มโปรยเสน่ห์ กล่าวเสียงอ่อนโยน “เพราะข้าเป็นคนเอาชนะเขา น่าเสียดาย ก่อนจะสู้มีกฎข้อหนึ่ง ไม่สามารถประกาศผลการต่อสู้ออกไปได้”

มู่ไจซิงร้องอ้อคราหนึ่ง ยิ้มเยาะกล่าว “กลัวเสียหน้ารึ ช่างเป็นตายก็ต้องรักษาหน้า เป็นก็ต้องรับกรรมจริงๆ หากอยู่ในสมรภูมิเก้าดินแดนคงไม่ใช่แค่เสียหน้า ยังจะเสียชีวิตด้วย”

“ดังนั้นการที่เจ้าอยากให้ข้ามอบความสำคัญกับบุคคลขอบเขตมกุฎพวกนั้นของดินแดนรกร้างโบราณ ข้าเองไม่รู้สึกสนใจสักนิด ผู้อ่อนแอก็คือผู้อ่อนแอ ในอดีตที่ผ่านมาการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนทั้งสองครั้ง ดินแดนรกร้างโบราณล้วนปิดฉากด้วยการแพ้ย่อยยับ”

จู๋อิ้งเสวี่ยกล่าวเนิบช้า “ครั้งนี้ก็จะไม่มีข้อยกเว้น”

มู่ไจซิงยิ้มน้อยๆ กล่าว “แน่นอนว่าย่อมไม่มีข้อยกเว้น แปดดินแดนร่วมมือกัน ต่อให้ดินแดนรกร้างโบราณนี้มีบุคคลขอบเขตมกุฎมากแค่ไหนก็ไม่มีทางพลิกสถานการณ์กลับมาได้ เพียงแต่…”

พูดถึงตรงนี้ มู่ไจซิงคิดไปคิดมาแล้วกล่าว “ความพ่ายแพ้ของดินแดนรกร้างโบราณไม่อาจพลิกผัน แต่ถ้าทำให้พวกเราสูญเสียมากเกินไปก็ไม่ดีแน่”

ลั่งเชียนเหิงยิ้มหยัน “สูญเสียมากเกินไป? เป็นไปได้รึ”

มู่ไจซิงกล่าว “เช่นนั้นก็ต้องดูว่าเจ้าจะเป็นคู่ต่อสู้ของหลินสวินนั่นได้หรือไม่แล้ว เมื่อคิดดูอย่างจริงจัง คนผู้นี้และเซ่าเฮ่า รั่วอู่ ล้วนเรียกได้ว่าเป็นผู้นำในหมู่ผู้แข็งแกร่งขอบเขตมกุฎของดินแดนรกร้างโบราณ ขอแค่ลองหยั่งตื้นลึกหนาบางของพวกเขาได้ ก็จะรู้ว่ายามการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนปะทุขึ้น คู่ต่อสู้พวกนี้จะสร้างความเสียหายให้พวกเราได้แค่ไหน”

“คิกๆ ดังนั้นข้าจึงอยากจะประลองกับคนผู้นี้ ถึงอย่างไรช่วงที่ผ่านมานี้ บุคคลขอบเขตมกุฎคนอื่นในดินแดนรกร้างโบราณก็แทบจะหดหัวกันหมด บ้างปิดด่าน บ้างจำศีล บ้างสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ เห็นจะมีเพียงเจ้าหลินสวินนี่ที่ก้าวออกมาแล้ว”

จู๋อิ้งเสวี่ยยิ้มกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ยิ่งต้องนำเขามาลงดาบ! พวกเจ้าลองคิดดู บุคคลชั้นผู้นำคนหนึ่งในหมู่ผู้แข็งแกร่งขอบเขตมกุฎของดินแดนรกร้างโบราณ กลับใกล้จะถูกข้าเหยียบไว้ใต้ฝ่าเท้า รสชาตินี้จะต้องวิเศษหาใดเปรียบ สำหรับดินแดนรกร้างโบราณของพวกเขา จะต้องเป็นการโจมตีที่หนักหน่วงอย่างที่สุด”

ยิ่งพูดนัยน์ตาของนางก็ยิ่งส่องประกาย เจือความรู้สึกกระตือรือร้นอยากลองดู “หากเป็นเช่นนี้ ยามการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนมาเยือน พวกเขายังจะกล้าสู้กับพวกเรารึ”

ลั่งเชียนเหิงแค่นเสียงเย็นชา “หลินสวินเป็นของข้า!”

จู๋อิ้งเสวี่ยทัดผมไว้ข้างหู ไม่ถอยแม้เพียงก้าว กล่าวเนิบช้า “ใครแย่งไปได้ก็เป็นของคนนั้น”

มู่ไจซิงที่เห็นภาพนี้อยู่ในสายตายิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “หลังจากนี้หนึ่งเดือนพวกเราก็จะจากไป หากอยากจัดการคนผู้นี้พวกเจ้าต้องเร่งมือแล้ว ถึงตอนนั้นข้าจะมาชมการประลองด้วยตัวเอง ดูว่าพวกเจ้าจะเหยียบคนผู้นี้ไว้ใต้ฝ่าเท้าได้อย่างไร”

พูดจบเงาร่างเขาก็วูบหาย ลอยล่องจากไป กระบี่สามเล่มที่อยู่ด้านหลังสะดุดตายิ่งนัก

“หลังจากนี้หนึ่งเดือน ลั่งเชียนเหิงจะนัดประลองกับหลินสวินบนหอหลอมจิตนครหยกขาว!”

วันนี้ข่าวแพร่ออกไป ระเบิดลั่นบนท้องฟ้าเหนือดินแดนรกร้างโบราณราวฟ้าผ่า ดึงดูดให้ทั่วหล้าหันมามอง

“นี่คิดจะแก้แค้นให้หญิงรับใช้ของเขาหรือ”

“ยังคิดเพ้อเจ้อมาท้าสู้กับเทพมารหลิน ไม่ประมาณตนเอง!”

“นครหยกขาวรึ นั่นเป็นถึงอาณาเขตของสำนักกระบี่เทียมฟ้า คนทั่วไปใครเล่าจะไม่รู้ ว่าหลินสวินฆ่าอวิ๋นชิ่งไป๋จนกลายเป็นหนามยอกอกของสำนักกระบี่เทียมฟ้าไปแล้ว เจ้าลั่งเชียนเหิงนี่กลับนัดประลองที่นครหยกขาว เจตนาชั่วช้าจริงๆ!”

“ใช่แล้ว เทพมารหลินแม้จะแข็งแกร่ง แต่ปัจจุบันยังไม่มีพลังพอไปงัดข้อกับสำนักกระบี่เทียมฟ้าด้วยตัวคนเดียว มีหรือจะรับคำท้าแล้วมุ่งหน้าไปยังนครหยกขาว”

เพียงพริบตาเสียงวิพากษ์วิจารณ์ฮือฮานับไม่ถ้วนดังขึ้นทั่วดินแดนรกร้างโบราณ

แม้แต่สำนักโบราณพวกนั้นยังถูกทำให้ตกใจ

“ผู้มาเยือนจากต่างดินแดนพวกนี้คิดจะฉวยโอกาสนี้เอาชนะหลินสวิน แล้วมอบการโจมตีอย่างหนักแก่เหล่าผู้ฝึกปราณของดินแดนรกร้างโบราณรึ”

“ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ สุดท้ายหลินสวินก็เป็นคนระดับผู้นำอันดับหนึ่งในหมู่บุคคลขอบเขตมกุฎ หากเขาแพ้ในการประลองนี้แล้ว เช่นนั้นการโจมตีที่มีต่อดินแดนรกร้างโบราณคงมากเกินไปจริงๆ เป็นไปได้สูงว่าจะส่งผลต่อขวัญกำลังใจในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนด้วย!”

“รู้อยู่แล้วเชียวว่าการมาของศัตรูต่างดินแดนพวกนี้ไม่มีเจตนาดี!”

เสียงวิจารณ์ครึกโครมกำลังบ่มเพาะ สายตาของใต้หล้าก็มองไปยังนครหยกขาว ทุกคนต่างกำลังให้ความสนใจ

หลินสวินจะรับคำท้าและไปตามนัดหรือไม่

ขณะที่ข่าวนี้แพร่ออกไป หลินสวินเดินเข้าไปในเมืองเล็กเก่าแก่ที่ค่อนข้างห่างไกลแห่งหนึ่ง

บนฟ้ามีฝนตกพรำๆ ริมถนนที่ปูด้วยหินเขียวอบอวลกลิ่นอายของกาลเวลา ดอกซิ่งขาวอ่อนผลิบานอยู่กลางหมอกฝน ผู้คนที่สัญจรบนท้องถนนเกาะกลุ่มเล็กๆ สวนกันไปมาอยู่ในอาคารเก่าแก่ที่เรียงรายเป็นระเบียบ

เมื่อเข้ามาในเมืองนี้ก็เหมือนก้าวเข้าไปในภาพทิวทัศน์จากหยาดหมึก พาให้คนรู้สึกถึงกลิ่นอายเก่าแก่ งดงามและเงียบสงบ

หลินสวินสวมชุดสีขาวพระจันทร์ สองมือไพล่หลัง ย่างก้าวเนิบช้าอยู่ในเมือง ท่าทางสบายๆ ชื่นชมทัศนียภาพที่พบเห็นระหว่างทาง

เขาไม่รู้เลยว่าในดินแดนรกร้างโบราณ ด้วยการนัดประลองของลั่งเชียนเหิงทำให้ใต้หล้าพลุ่งพล่านนานแล้ว

‘พลังของมรรคาสามสายมาถึงขั้นสมบูรณ์แล้ว การหยั่งรู้มหามรรคก็มาถึงปลายทางของระดับ ‘ระเบียบมรรค’ แล้ว…’

หลินสวินสงบจิตสัมผัสระดับของตน เดินเล่นบนถนนเก่าแก่ท่ามกลางฝนโปรยปรายเหมือนผู้ผ่านทางคนหนึ่ง

‘การฝึกยุทธ์แม้จะถึงระดับกระจ่างจิต แต่หากบรรลุอริยะก็ควรพิจารณาเรื่องสร้างมรดกแห่งตน เริ่มสรรสร้างวิชามรรคในแบบของตัวเอง!’

ปัจจุบันหลินสวินฝึกมรดกวิชายุทธ์มากมาย อย่างพลังยุทธ์ในคัมภีร์กระบี่ไท่เสวียน ดรรชนีมหาอุดมสลายมายา หกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้า มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร คัมภีร์มหาครรภ์จุติเป็นต้น

มรดกวิชายุทธ์แต่ละอย่างล้วนมีนัยเร้นลับเฉพาะตัว อานุภาพเกินคาดเดา

แต่หลินสวินรู้ดีว่า โดยทั่วไปผู้ที่มีระดับความรู้ลึกซึ้งเป็นเลิศบนอริยมรรค จะเริ่มสรรสร้างวิชามรรคที่เป็นของตน

ใช้มรรคาแห่งตนสร้างวิชาให้ตัวเอง!

นี่คือแก่นแห่งการตั้งต้นของบุคคลระดับอริยะทุกคน

…………..