รูปปั้นหินร่างเพรียวบาง สวมหมวกปีกกว้างบดบังใบหน้า มือกุมทวนเล่มหนึ่ง ศีรษะเงยขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นคางงามสมบูรณ์แบบ

ก็แค่หินธรรมดาทั่วไปเท่านั้น แต่ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยจิตวิญญาณราวกับมีชีวิต

ในความรางเลือนเหมือนซย่าจื้อตัวจริงยืนอยู่ตรงหน้า กำลังพูดอย่างจริงจังว่า ‘หลินสวิน ข้าหิวแล้ว’

หลินสวินอึ้งงัน ครู่ใหญ่จึงเผยรอยยิ้มรับรู้อยู่ในที พึมพำในใจ ‘รอเจ้ากลับมา ข้าจะทำของอร่อยให้เจ้าเยอะๆ แน่นอน…’

ข้างๆ ชายชุดผ้ากระสอบก็ยิ้มแล้ว

การสลักรูปปั้นหินดูเหมือนง่าย ความจริงไม่ง่ายเลย รูปปั้นหินบนโลกส่วนใหญ่ล้วนเจือพลังของช่างสลัก เพราะสุดท้ายอย่างไรก็เป็นก้อนหินที่แข็งทื่อ

แต่ในมือของผู้ฝึกปราณกลับสามารถทำให้ ‘ก้อนหินมีชีวิต’ ได้

ครึ่งเดือน หลินสวินสลักก้อนหินไปไม่รู้เท่าไหร่ ความล้มเหลวแต่ละครั้งไม่ได้อยู่ที่ความเชี่ยวชาญชำนาญ

แต่อยู่ที่ความรู้สึกในใจว่ามีโอกาสถ่ายทอดออกมาหรือไม่

กล่าวได้ว่าขั้นตอนการสลักแต่ละครั้งก็คือการเผชิญหน้ากับใจตัวเองครั้งหนึ่ง เป็นการเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตน

คนไม่ใช่ต้นไม้ใบหญ้า จะได้ไร้ความรู้สึก

ต่อให้เป็นอริยะหรือจักรพรรดิก็ยังมีความยินดี โกรธ เศร้า สุข เกลียด แค้น หวาดกลัวเป็นของตน อีกทั้งเมื่อพลังปราณยิ่งสูงก็ยิ่งไม่ปิดบังความรู้สึกและเจตจำนงของตน

ด้วยตัวเองแข็งแกร่งพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องปิดบัง!

สำหรับหลินสวิน หลายปีนี้เขาผ่านการฆ่าฟันมาไม่รู้เท่าไร ก้าวผงาดไปข้างหน้าตลอดทางภายใต้การเคี่ยวกรำของเลือดและเปลวเพลิง

แต่ถามตัวเองดูแล้ว กลับไม่เคยเผชิญหน้ากับความรู้สึกต่างๆ ในใจของตนเหมือนตอนนี้

และกระบวนการสลักรูปปั้นหินก็เหมือนการระบายความรู้สึกทั้งหมดออกมา ทำให้หลินสวินมีโอกาสได้รำลึก จดจำ และเผชิญหน้ากับอารมณ์ของตัวเอง

ในที่สุดเขาก็ปล่อยวาง เมื่อวางลงได้ก็จะกล้าเริ่มใหม่

ไม่หวาดระแวง

สมปรารถนาดังใจ เข้าใจในเหตุผล

ก็เหมือนรูปปั้นหินตรงหน้านี้ สิ่งที่แสดงออกมาคือความคิดถึงที่ลึกล้ำ นี่ก็คือเจตนารมณ์ของหลินสวิน เป็นภาพสะท้อนความรู้สึกของหลินสวินอย่างหนึ่ง

ไม่นานหลินสวินก็หยิบหินขึ้นมาอีกก้อน แล้วสะบัดมีดสลัก

ครั้งนี้รูปปั้นที่เขาสลักคือภาพของจ้าวจิ่งเซวียน

ชายชุดผ้ากระสอบมองทุกอย่างนี้เงียบๆ ทอดถอนใจเนิบช้าอยู่ภายในใจ ‘เมื่อหลุดพ้นจากความกังวล จะไร้ซึ่งลมฝนและแสงตะวัน’

ผ่านไปหลายวัน

ข้างกายหลินสวินมีรูปปั้นหินเพิ่มขึ้นมาก

มีซย่าจื้อ จ้าวจิ่งเซวียน และมีเจ้าคางคก อาหลู่ หนิงเหมิง สืออวี่ เย่เสี่ยวชี หลินจง พญาแร้ง…

บ้างเป็นสหายของเขา บ้างเป็นญาติพี่น้องที่เขาห่วงหา

และมีศัตรูคู่อาฆาตที่เขาเกลียดชัง…

อย่างอวิ๋นชิ่งไป๋

รูปปั้นหินแต่ละรูป ท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏล้วนแตกต่าง แต่ไม่มีชิ้นใดที่ไม่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณประหนึ่งมีชีวิตจริงๆ

และทุกครั้งที่สลักรูปปั้นหินออกมาชิ้นหนึ่ง สภาวะจิตของหลินสวินก็เหมือนได้แปรสภาพ จนถึงตอนนี้ยิ่งเปลี่ยนเป็นปลอดโปร่ง นิ่งสงบขึ้นเรื่อยๆ

ด้วยรูปปั้นหินแต่ละรูปต่างสื่อความรู้สึกหนึ่งของเขา เล็กใหญ่หนาบาง มีมากมายนานัปการ

จนถึงตอนท้ายสุดหลินสวินวางมีดสลักในมือลง ส่งสายตามองไปยังรูปปั้นหินทั้งหมด ตั้งแต่หัวจรดเท้านิ่งสงบ ยากจับต้องและผ่องแผ้ว

ใจปราศจากกังวล เหลือไว้เพียงเจตจำนงแห่งตน

ทว่ามรรคที่ไร้ความรู้สึกกลับมีความรู้สึก!

“ขอบคุณผู้อาวุโส”

หลินสวินเงยหน้าประสานมือกล่าว

ชายชุดผ้ากระสอบกล่าวยิ้มเล็กน้อย “ข้าน้อยมีชื่อพยางค์เดียวว่า ‘เซิ่น’ (慎) จากคำว่าใจ (心) และจริง (真) มาจากหอฤทธิ์เทพ เมี่ยวเสวียนคือศิษย์น้องของข้า”

หลินสวินชะงัก จากนั้นก็ลุกขึ้นคารวะ

ตอนนั้นที่นอกเมืองหม่อนหิมะ ท่านเมี่ยวเสวียนแห่งหอฤทธิ์เทพมาเยือนพร้อมถือพู่กันวสันต์สารทและหนังสือบันทึกประวัติศาสตร์ เผยให้เห็นบุคลิกของผู้สูงส่งอย่างแท้จริง พาให้หลินสวินเลื่อมใส

แต่หลินสวินกลับคิดไม่ถึง ว่าจะได้เจอศิษย์พี่ของท่านเมี่ยวเสวียนในร้านค้าของเมืองเล็กแห่งหนึ่ง!

“ที่แท้ก็เป็นท่านเซิ่น”

ครั้งนี้หลินสวินลุกขึ้นคารวะ

“ไม่จำเป็นต้องมากพิธี นั่งเถอะ”

ชายชุดผ้ากระสอบยิ้มพลางโบกมือ ส่งสัญญาณให้หลินสวินนั่งลง รินเหล้าดอกซิ่งจอกหนึ่งให้เขา จากนั้นค่อยกล่าว

“เมื่อทักษะกลายเป็นมรรค จะเชื่อมต่อตรงไปยังเจตนาดั้งเดิมของมหามรรค ก็เหมือนทักษะการสลักหินนี้ ดูเหมือนเป็นของเล่น แต่กลับเหมือนหวีเล่มหนึ่งที่ช่วยสางความรู้สึกให้เจ้าได้ ทำให้สภาวะจิตดุจทะเลสาบ ต่อให้แสงแดดเงาเมฆเคลื่อนคล้อย ส่องสะท้อนบนผืนทะเลสาบ ก็ไม่อาจก่อให้เกิดคลื่นลม กลับเป็นการแต้มแต่งคลื่นงามตระการให้น้ำในทะเลสาบแทน”

ได้ยินดังนี้หลินสวินพยักหน้าด้วยรู้สึกแบบเดียวกัน

ชายชุดผ้ากระสอบยิ้มพลางยกจอกสุรา ร่วมดื่มกับหลินสวินแล้วจึงกล่าว “การพบกันครั้งนี้เป็นความตั้งใจของข้า แค่อยากเจอเจ้าสักหนเท่านั้น”

หลินสวินชะงัก

ไม่นานชายชุดผ้ากระสอบก็ยิ้มกล่าว “ตอนนี้ในใจข้าได้คำตอบแล้ว มรรคาที่เจ้าเดิน ข้าเองตัดสินลำบาก ก็ได้แต่ใช้วิธีสลักหินนี้มาสอนเจ้า”

“ขอบคุณผู้อาวุโส” หลินสวินรู้สึกอบอุ่นใจ

ไม่ว่าจะเป็นท่านเมี่ยวเสวียนหรือท่านเซิ่นตรงหน้าคนนี้ ล้วนทำให้เขารู้สึกเหมือนอาบไล้ด้วยลมวสันต์ มีบุคลิกของผู้สูงส่งที่แท้จริงอย่างหนึ่ง พาให้คนรู้สึกเลื่อมใส

“หากเป็นไปดังคาด หลังเข้าสู่สมรภูมิเก้าดินแดนครั้งนี้ เจ้าจะต้องรับเคราะห์มกุฎอริยะ ก่อนจะถึงตอนนั้นก็ลองสลักมรรควิถีของตนไว้ในรูปปั้นหินดูหน่อย”

ท่านเซิ่นกล่าวชี้แนะ “ทำเช่นนี้ก็เหมือนได้สำรวจมรรคาแห่งตน สามารถค้นหาสิ่งที่ขาด ซ่อมเสริมจุดบกพร่อง ยืนยันพิสูจน์มรรคของตนได้”

หลินสวินพยักหน้า

หลายวันหลังจากนั้นหลินสวินทำตามที่ท่านเซิ่นบอก ยามสลักรูปปั้นหินก็เริ่มใช้มรรควิถีแห่งตน ทุ่มไปที่มีดสลักแล้วจรดลงรูปปั้นหิน

รูปปั้นหินที่สลักออกมาแต่ละครั้ง ท้ายที่สุดแม้จะเสร็จสมบูรณ์อย่างราบรื่น แต่กลับทำให้หลินสวินรู้สึกว่ายังไม่พอใจอยู่บ้าง

ดังนั้นรูปปั้นหินพวกนี้จึงถูกเขาทำลายโดยไม่ลังเล

และในขั้นตอนนี้ท่านเซิ่นก็ไม่พูดจาและไม่ถามไถ่ แค่ดื่มเหล้า อ่านหนังสืออย่างสบายๆ เป็นครั้งคราว

ขณะเหลือเวลาก่อนวันนัดประลองแค่สามวัน หลินสวินสลักรูปปั้นหินออกมาชิ้นหนึ่ง สิ่งที่สลักคือรูปปั้นตัวเขาเอง

มองคนอื่นง่าย มองตัวเองยาก

การสลักรูปปั้นหินก็เหมือนการวาดมรรควิถีทั้งตัวของตน ทุกส่วนประหนึ่งภาพเหมือนของเอกภพและสภาพบรรยากาศอันยิ่งใหญ่

เพียงแต่ทุกครั้งที่ถึงตอนท้ายสุด รูปปั้นหินที่หลินสวินสลักออกมาจะขาดเพียงดวงตาคู่เดียว

วาดมังกรแต้มตา มังกรจึงมีชีวิตชีวา

สำหรับหลินสวินการสลักรูปปั้นหินของตัวเอง มรรควิถีจะสมบูรณ์หรือไม่อยู่ที่นัยน์ตาคู่เดียว แต่เขากลับลังเลไม่อาจลงมือ

นี่คือความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เหมือนจุดเปลี่ยนยังไม่มาเยือนเลยไม่มีความรู้สึกอะไรขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น

ยามหลินสวินคิดจะทำลายรูปปั้นหินนี้ ท่านเซิ่นก็พลันกล่าว “จุดเปลี่ยนไม่ถึง ไม่จำเป็นต้องฝืน อริยมรรคของเจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่อยู่ในสมรภูมิเก้าดินแดน”

หลินสวินชะงัก เหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน กล่าวยิ้มเยาะตนเอง “เป็นข้าที่ดันทุรังเกินไป”

ทว่าเขากลับรู้แจ้ง ในที่สุดก็รู้ว่าเหตุใดตนจึงรู้สึกไม่อาจลงมือได้อยู่ตลอด เพราะการ ‘แต้มตา’ นี้ ก็คือจุดเปลี่ยนยามเขาบรรลุอริยะ!

จุดเปลี่ยนยังไม่มา เร่งเร้าเสาะหาไปก็เหมือนวาดงูเติมขา กลับกลายเป็นว่าบกพร่อง

“ผู้อาวุโส ข้าน้อยขอลา”

วันนั้นหลินสวินไม่รั้งอยู่อีก ลุกขึ้นอำลา

ท่านเซิ่นราวกับรู้ว่าเขาจะไปทำอะไร คิดไปคิดมาก็กล่าว “ความแค้นของดินแดนรกร้างโบราณกับแปดดินแดนอื่น ได้แต่ใช้การเข่นฆ่าและโลหิตมาคลี่คลาย อย่าลืมว่าโอกาสก้าวสู่มกุฎของพวกเจ้ามาจากสิ่งที่ผู้แกล้วกล้านับไม่ถ้วนทุ่มแรงกายแรงใจทั้งหมดเก็บเอาไว้ อย่าทำให้พวกเขาผิดหวัง”

หลินสวินพยักหน้า จากนั้นก็หันหลังจากไป

มองส่งหลินสวินจากไป ท่านเซิ่นยิ้มแล้วเก็บม้วนตำราในมือลง เขาก็คิดจะกลับหอฤทธิ์เทพแล้ว

“เอ๋ รูปปั้นหินนี้น่าสนใจ เถ้าแก่ อันนี้ขายอย่างไร”

เวลานี้ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน พริบตาก็สะดุดใจกับรูปปั้นหินชิ้นนั้นที่หลินสวินเพิ่งสลักออกมา

ชายหนุ่มแต่งกายหรูหราฟุ้งเฟ้อ ห้อมล้อมด้วยข้ารับใช้มากมาย แน่นอนว่าฐานะย่อมเป็นชนชั้นสูงที่ร่ำรวย

“ถ้าเจ้าเอาไปได้ก็ให้เจ้า”

ท่านเซิ่นกล่าวลอยๆ

ชายหนุ่มชะงักเหมือนถูกคนดูหมิ่น แค่นเสียงเย็นชากล่าว “นี่เจ้าพูดเองนะ อย่ามานึกเสียใจแล้วกัน!”

เขาพูดพลางยกมือคว้าไปที่รูปปั้นหิน

สามารถมองความไม่ธรรมดาของรูปปั้นหินนี้ในหมู่รูปปั้นหินมากมายได้ในปราดเดียว เดิมทีก็พิสูจน์แล้วว่าสายตาของชายหนุ่มคนนี้ร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง

แต่สิ่งที่ทำให้เขาตื่นตะลึงคือ ไม่ว่าเขาจะออกแรงอย่างไรก็ไม่อาจหยิบรูปปั้นหินที่สูงแค่ฝ่ามือนั้นขึ้นมาได้!

“ข้าไม่เชื่อ!”

ชายหนุ่มกัดฟันกรอด เปล่งแสงมรรคชวนประหวั่นไปทั้งตัว เพียงแต่ออกแรงจนหน้าแดงก่ำ รูปปั้นหินนั้นก็ยังไม่ขยับแม้แต่น้อย

ในใจท่านเซิ่นแอบพูดว่า รูปปั้นหินนี้คือสิ่งสะท้อนมรรควิถีทั้งตัวของเจ้าหนูนั่น ในระดับต่ำกว่าอริยะเกรงว่าคงมีน้อยคนนักที่จะยกขึ้นได้ นับประสาอะไรกับเจ้าหนูโง่งมอย่างเจ้า?

นึกถึงตรงนี้เขาสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง

ตูม!

พวกชายหนุ่มรู้สึกเพียงเบื้องหน้าพลันฝ้าฟาง ภาพทั้งหมดเปลี่ยนไปราวดาวเคลื่อนดาราคล้อย

เมื่อทัศนวิสัยกลับมาชัดเจน ในจุดเดิมเหลือเพียงเพิงว่างเปล่าหลังหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าถูกทิ้งร้างมานาน ด้านในมีเศษฝุ่นเกาะอยู่ทั่ว ใยแมงมุมจับตัวกันเป็นก้อน

ชายหนุ่มตกตะลึง สูดหายใจเย็นเยียบ รู้ว่าครั้งนี้เจอผู้สูงส่งในตำนานเข้าให้แล้ว ในใจพลันนึกกลัวอย่างอดไม่อยู่

ข้ารับใช้พวกนั้นของเขายิ่งอึ้งงันไปนานแล้ว

ลักฟ้าเปลี่ยนตะวันในชั่วพริบตา!

ในเวลาเดียวกันนั้นเงาร่างของหลินสวินปรากฏอยู่นอกเมืองเล็ก

“คุณชาย ท่านก็จะไปนครหยกขาวหรือ”

ยานสำเภาที่ใหญ่มหึมาเหมือนหอใหญ่ลำหนึ่งค่อยๆ กดอัดชั้นเมฆอยู่กลางอากาศ ทอดเงามืดหนึ่งลงบนพื้น

บนยานสำเภา หญิงสาวร่างสูงโปร่งเพรียวบาง รูปโฉมงดงามคนหนึ่งกำลังโบกมือมาทางหลินสวิน

“ถูกต้อง”

หลินสวินพยักหน้า

“มาเถอะ พวกเราไปด้วยกัน สหายยุทธ์มากมายบนยานสำเภานี้ก็เหมือนกับคุณชาย จะมุ่งหน้าไปยังนครหยกขาว ชมการประลองนั้นของเทพมารหลินกับลั่งเชียนเหิงเหมือนกัน”

นิสัยของหญิงสาวเปิดเผยและกระตือรือร้นอย่างเห็นได้ชัด เชิญหลินสวินไปด้วยกัน

“ก็ดี”

หลินสวินคิดไปคิดมาก็ตกปากรับคำ

ในช่วงหนึ่งเดือนมานี้ เขาพักสลักรูปปั้นหินอยู่ในหอคัดศิลามาตลอด ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับโลกภายนอก ดวงตาทั้งคู่มืดสนิท

จะได้อาศัยโอกาสนี้มาทำความเข้าใจสักหน่อย

ฟุ่บ!

หลินสวินขึ้นไปบนยาน เมื่อก้าวเข้าไปในหอบนยานจึงพบว่ามีเงาร่างมากมายนั่งอยู่ในนั้นก่อนแล้ว มีทั้งชายและหญิง

เมื่อเห็นหลินสวิน ทุกคนต่างยิ้มทักทาย ไม่มีอุปสรรคอะไร

“คุณชาย นั่งตรงนี้สิ”

หญิงสาวคนนั้นโบกมือ ส่งสัญญาณว่าข้างกายนางยังมีที่ว่าง

หลินสวินอย่างไรก็ได้ เดินเข้าไปนั่งแล้วกล่าว “ขอบคุณมาก”

หญิงสาวยิ้มหวาน “คุณชายเกรงใจเกินไปแล้ว”

ผมยาวสลวยของนางเสมือนเมฆ เครื่องหน้าทั้งห้างดงาม ผิวขาวกระจ่างราวหยกมันแพะ รูปร่างเพรียวบางเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะช่วงขาที่เรียวยาว เป็นหญิงงามสมบูรณ์แบบคนหนึ่ง ดูไปแล้วอุปนิสัยก็เปิดเผยยิ่งนัก พาให้คนรู้สึกประทับใจโดยง่าย

ตรงหน้าหญิงสาวยังมีชายหนุ่มชุดหยกคนหนึ่งนั่งอยู่ เอวคาดเข็มขัดหยก ศีรษะประดับเกี้ยวขนนก ท่าทางสง่างามยิ่งนัก บุคลิกลักษณะไม่ธรรมดา

เมื่อสังเกตเห็นว่าหลินสวินนั่งลงข้างกายหญิงสาว ในดวงตาของชายหนุ่มชุดหยกก็เผยความไม่พอใจ เพียงแต่เขาไม่ได้พูดอะไรมาก

………….