ตอนอยู่บนยอดเขาสิงโตของอุตรกุรุทวีป ภายใต้หมัดของหลี่เอ้อ เฉินผิงอันใช้ขอบเขตหกเลื่อนเป็นขอบเขตเจ็ดร่างทอง
และการป้อนหมัดของหลี่เอ้อ แต่ไหนแต่ไรมาก็มีเป้าหมายชัดเจนมาโดยตลอด มีการพุ่งเป้าอย่างเปิดเผย เป็นเหตุให้หลายๆ หมัดไม่เหมาะกับการต่อยลงบนร่างของผู้ฝึกยุทธขอบเขตหก แต่กลับเหมาะให้เอามาหล่อหลอมเรือนกายของเผยเฉียน
ก็ถือว่ายังดีที่เวลาตลอดครึ่งปีนั้นหลี่ไหวคอยช่วยมารดาค้าขายอยู่ในเมืองเล็กตีนเขา ไม่เคยเห็นการฝึกหมัดของเผยเฉียนแม้แต่ครั้งเดียว ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เหลือความคิดที่จะหัดเรียนวิชาหมัดอย่างสิ้นเชิงไปแล้ว
ฝึกวิชาหมัดลำบากเกินไป นี่คือเรื่องจริงแท้แน่นอน
และคนที่กลัวความลำบากมากที่สุด เผยเฉียนในอดีต หลี่ไหวในวันนี้ อันที่จริงก็ไม่ได้ต่างกันแม้แต่น้อย
เพียงแต่ว่าหลี่ไหวโชคดีกว่าเผยเฉียนมากจริงๆ ตอนนี้จึงยังไม่รู้ว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องทนกับความยากลำบากเลยสักนิด
เพ่ยอาเซียงพลันถามว่า “หมัดแรกก่อนหน้านี้มีชื่อว่าอะไร?”
ในเมื่อปณิธานหมัดชัดเจนแล้ว การถามกระบวนท่าหมัดของอีกฝ่าย จึงไม่ถือว่าผิดกฎของยุทธภพอะไร
เผยเฉียนก้าวถอยหลังอย่างเชื่องช้า ทิ้งระยะห่างจากหลิ่วซุ่ยอวี๋อย่างต่อเนื่อง ตอบว่า “หมัดมาจากภูเขาลั่วพั่ว แต่ไม่ใช่อาจารย์พ่อที่ถ่ายทอดให้ข้า มีชื่อว่ากระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า”
เพ่ยอาเซียงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์พ่อของเจ้าอายุเท่าไรแล้ว?”
เผยเฉียนส่ายหน้า
อะไรที่พูดได้ อะไรที่ไม่ควรพูด เผยเฉียนล้วนรู้ชัดเจนดี
การถามหมัดที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีต อวี้เจวี้ยนฟูเคยสะบั้นปณิธานหมัดเทพตีกลองสายฟ้าของอาจารย์พ่อ
วันนี้อยู่นอกศาลเหลยกงจังหวัดหม่าหู เผยเฉียนเองก็ถูกหลิ่วซุ่ยอวี๋สะบั้นตัดท่าเทพตีกลองสายฟ้าเหมือนกัน ได้แต่ปล่อยหมัดออกไปสิบเจ็ดครั้งเท่านั้น
ใต้หล้านี้มีผู้ฝึกยุทธที่เป็นคนมหัศจรรย์อยู่มากมายจริงเสียด้วย
เผยเฉียนมั่นใจว่าขอแค่ตนสามารถปล่อยหมัดออกไปได้ยี่สิบสี่หมัด อีกฝ่ายต้องล้มลงไปกองอยู่กับพื้นแน่นอน ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
แต่หากเป็นช่วงก่อนและหลังหมัดที่ยี่สิบสอง แล้วอีกฝ่ายสามารถใช้หนึ่งหมัดนั้นตัดขาดปณิธานหมัดของตนได้ ไม่ว่าจะเป็นการประลองฝีมือตัดสินแพ้ชนะ หรือการเข่นฆ่าเอาชีวิต ก็ล้วนเป็นตนที่พ่ายแพ้
ช่วยไม่ได้ ความต่างหนึ่งขอบเขตระหว่างผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ยามที่อาจารย์พ่อรับมือกับศัตรูสามารถมองข้ามได้ แต่นางเผยเฉียนกลับยังคงทำไม่ได้
ตอนนี้สิ่งที่สามารถทำได้ก็คือปล่อยหมัดนี้ออกไปเท่านั้น
เป็นหมัดที่เผยเฉียนบรรลุมาด้วยตัวเอง
ยังไม่ได้ตั้งชื่อ รอให้อาจารย์พ่อกลับมาบ้านก่อนแล้วค่อยตั้ง
เรื่องของการตั้งชื่อนั้น อาจารย์พ่อเก่งกาจมาโดยตลอด
จิ่งชิง หน่วนซู่ เป็นคำที่งดงามถึงเพียงใด?
แล้วลองมามองดูตน เผยเฉียน ขาดทุน?
เผยเฉียนกวาดตามองรอบด้านแล้วกลั้นหายใจทำสมาธิ จิตวิญญาณจมจ่อมอยู่ภายใน ดวงตาทั้งคู่ทอประกายแสงเรืองรอง
เข่าทั้งสองงอลงเล็กน้อย ฝ่ามือข้างหนึ่งตั้งขึ้นวางห่างไปด้านหน้า หนึ่งหมัดกำแน่นแนบร่างเบื้องหน้า
หมัดนี้ยังไม่ได้ปล่อยออกไป แค่ตั้งท่าหมัดเท่านั้น
เซี่ยซงฮวากลับพาเด็กทั้งสองทะยานลมห่างไปไกลอีกหลายสิบจั้ง
เพ่ยอาเซียงที่อยู่บนขั้นบันไดหรี่ตาลง จากนั้นขยับเท้ามาขวางอยู่เบื้องหน้าหลิวโยวโจวเบาๆ
ด้านหลังหญิงสาวประหนึ่งมีดวงอาทิตย์ดวงโตแหวกผิวมหาสมุทร ผุดลอยขึ้นมาปรากฏตัวบนโลกเป็นครั้งแรก จากนั้นก็ทะยานขึ้นไปกลางอากาศสูงอย่างรวดเร็ว
หมัดนี้ของข้าปล่อยออกไป ประหนึ่งตะวันกลางนภา
ผู้ฝึกยุทธใต้หล้า ได้แต่โขกหัวให้
……
ราชวงศ์ใหญ่แห่งที่หกของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ราชวงศ์เส้าหยวน
ราชครูเฉาผู่และหลินจวินปี้ลูกศิษย์ที่เขาภาคภูมิใจเริ่มทำการทบทวนกระดานหมากของสถานการณ์ในช่วงแรกที่ซิ่วหู่วางไว้ในแจกันสมบัติทวีป
อากาศในศาลาอบอุ่นเหมือนช่วงฤดูใบไม้ผลิ ทว่าด้านนอกกลับมีหิมะใหญ่โปรยปราย
ราชครูท่านนี้ไม่ได้พูดอะไรมากนัก แต่ให้หลินจวินปี้เป็นคนอธิบายถึงกลยุทธอันซับซ้อนที่เชื่อมโยงกันเป็นทอดๆ ของบนภูเขาและล่างภูเขาของราชวงศ์ต้าหลีให้ตนฟัง วิเคราะห์ข้อดีข้อเสีย อธิบายว่าผลประโยชน์และการสูญเสียอยู่ที่ใด หลินจวินปี้ไม่ต้องกังวลว่าจะอธิบายผิด แค่พูดออกมาอย่างที่ตัวเองคิดก็พอ
เรื่องนี้อยู่ในจวนราชครูไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเฉาผู่คิดมาตลอดว่าปมของโรคใหญ่ในโลกมนุษย์นั้นอยู่ที่ความรู้ของแต่ละคนตื้นลึกไม่เท่ากัน แต่กลับชอบทำตัวเป็นอาจารย์ของคนอื่นโดยที่ไม่รู้เลยว่าการเป็นอาจารย์ของผู้อื่นควรทำตัวเช่นไร
ดังนั้นเฉาผู่จึงมีนิสัยประหลาดในการถ่ายทอดวิชาไขข้อข้องใจอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือชอบให้ลูกศิษย์ที่คิดว่าความรู้ของตัวเองค่อนข้างจะสำเร็จผลแล้ว ไม่สนว่าจะมีอายุเท่าใด ให้ลองเลียนแบบอาจารย์ในโรงเรียน ลองไขปัญหาอธิบายเหตุผลให้กับคนอื่นในโรงเรียน หรือไม่ก็พูดโน้มน้าวให้ตนเชื่อได้ก่อนในห้องหนังสือ ใช้เหตุผลมาสยบผู้คน
ในช่วงเวลาที่หลินจวินปี้ขบคิดไม่เอ่ยคำใด เฉาผู่ก็จะพูดชวนคุยไปหัวข้ออื่น พวกเขาอาจารย์และศิษย์ไม่มีทางที่จะหลุดออกนอกประเด็นเพียงเพราะพูดคุยกันแค่นี้
ราชครูที่อยู่เบื้องล่างคนคนเดียว อยู่เหนือคนนับหมื่นของราชวงศ์เส้าหยวนผู้นี้สวมกวานสูงรัดเข็มขัดหยก รูปร่างผอมเพรียว ในมือถือไม้ปัดฝุ่นสีขาวด้ามหนึ่งที่วางพาดไว้บนแขน
ประเด็นสำคัญคือเห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าดูเป็นคนสุภาพเข้ากับคนได้ง่าย ไม่เหมือนคนที่ฮ่องเต้วางใจมอบอำนาจของแคว้นไว้ในมือแม้แต่น้อย เหมือนปัญญาชนมีชื่อเสียงที่ว่างงานจึงออกมาท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจเสียมากกว่า
เฉาผู่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสามคนครึ่งของเหวิ่นเซิ่ง พอจะถือว่าเป็นสี่คนได้อย่างถูไถกระมัง แน่นอนว่าตอนนี้มีลูกศิษย์คนสุดท้ายอย่างอิ่นกวานเฉินผิงอันเพิ่มมาอีกคน ระบบลัทธิขงจื๊อของพวกเรา หลักๆ แล้วสามารถแบ่งสายบุ๋นออกเป็นหกสายหลัก สายของซิ่วไฉเฒ่าถือเป็นสายที่ควันธูปบางเบาที่สุด โดยเฉพาะคนหนึ่งในนั้นที่ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองอยู่ในสายบุ๋นของลัทธิขงจื๊อ ยอมรับแค่อาจารย์ แต่ไม่ยอมรับระบบของสายบุ๋น และสี่คนนี้ต่างคนก็มีความองอาจต่างกันไป เคยถูกขนานนามว่าวสันต์ คิมหันต์ สารท เหมันต์ พวกเขาต่างก็ได้ครอบครองกันไปคนละหนึ่ง”
ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อเล่าต่ออีกว่า “ไม่ว่าจะเป็นใคร เมื่อได้อยู่ร่วมกับฉีจิ้งชุนก็จะรู้สึกเหมือนได้อาบไล้อยู่ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ”
หลินจวินปี้ถาม “ได้ยินมาว่าก่อนที่อาจารย์ฉีจะได้เป็นเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษา อันที่จริงนิสัยของเขาก็ไม่ถือว่าดีสักเท่าไร?”
อาจารย์ของตนสามารถเรียกชื่อฉีจิ้งชุนออกมาตรงๆ ได้ หลินจวินปี้กลับต้องเรียกอย่างให้ความเคารพว่าอาจารย์ฉี ต่อให้จะอยู่กับอาจารย์ของตัวเอง หลินจวินปี้ก็ไม่ยินดีที่จะละเมิดกฎ
เฉาผู่ยิ้มกล่าว “แม้อากาศฤดูใบไม้ผลิจะหนาวเย็นเพียงเล็กน้อย แต่ก็ทำให้เด็กหนุ่มแข็งตายได้”
จากนั้นผู้เฒ่าก็เอ่ยว่า “บัณฑิตเข้ากับคนอื่นได้ง่าย มีเหตุผลมีมารยาท กลับไม่เป็นอาจารย์ดีๆ จิตใจและปณิธานของบัณฑิต ความหยิ่งในศักดิ์ศรีนั้น มีหรือจะปล่อยให้เป็นดั่งดินโคลนเละๆ กองหนึ่งได้”
“เซียนกระบี่จั่วโย่วผู้นั้นเหมือนฤดูร้อนที่อากาศแผดเผา ง่ายที่จะทำให้คนรู้สึกร้อนระอุ คนนอกสายเหวินเซิ่งยากที่จะสนิทสนมด้วยได้ จั่วโย่วศึกษาวิชาความรู้อย่างตรงไปตรงมา ไม่ชอบใกล้ชิดกับใคร ภายหลังหันไปฝึกกระบี่ ไม่ทันระวังเวทกระบี่ก็เลิศล้ำเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องเอ่ยถึง”
“ส่วนคนที่ถูกซิ่วไฉเฒ่าเรียกว่าเจ้าโง่ใหญ่ ชื่อจริงไม่เคยได้ข้อสรุปสักที ต่อให้จะเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องของสายเหวินเซิ่งก็ยังเคยชินที่จะเรียกเขาว่าหลิวสือลิ่ว ปีนั้นคนผู้นี้ออกไปจากสวนกงเต๋อแล้วก็หายตัวไปไม่รู้ร่องรอย บ้างก็บอกว่าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบที่อายุมากแล้ว แล้วก็มีคนบอกว่าเขากลายเป็นเซียนที่มีร่างเป็นภูตผี ถึงขั้นมีความเกี่ยวข้องกับคนที่ภาคภูมิใจที่สุดผู้นั้นด้วย เล่าลือกันว่าพวกเขาเคยขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรเยี่ยมเยียนเซียนด้วยกัน เกี่ยวกับคนผู้นี้ไม่มีบันทึกไว้ในศาลบุ๋น คาดว่าช่วงแรกๆ ก็น่าจะเคยถูกเขียนไว้ แต่กลับถูกซิ่วไฉเฒ่าแอบลบทิ้งไป”
“คนผู้นี้ไม่ชอบพูดคุย เป็นคนที่เงียบขรึมที่สุดของสายเหวินเซิ่ง คำพูดบางอย่างล้วนเป็นอาเหลียงที่เอามาบอกต่อ ไม่อาจเชื่อถือได้ ประดุจสายลมฤดูใบไม้ร่วงที่เยือกเย็น เพียงครั้งเดียวที่คนผู้นี้ลงมือก็ได้สร้างคลื่นมรสุมใหญ่เทียมฟ้า แต่เรื่องนี้สุดท้ายแล้วก็เป็นซิ่วไฉเฒ่าที่ออกหน้า ไม่รู้ว่าควรจะพูดว่าเป็นการเก็บกวาดเรื่องเละเทะ หรือทิ่มฟ้าให้เป็นรู กลายเป็นปัญหาใหญ่กว่าเดิมกันแน่ ถึงได้ทำให้ขุนเขาลูกหนึ่งทรุดตัวลงต่ำ ทว่าทุกวันนี้ใต้หล้าไพศาลเพียงแค่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในภายหลังเท่านั้น ไม่รู้สาเหตุของเรื่องนี้กันสักเท่าไร”
หลินจวินปี้ฟังมาถึงตรงนี้ก็กล่าวอย่างสงสัยว่า “บุคคลที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำผู้นี้ ยามที่ถ้ำสวรรค์หลีจูร่วงลงพื้นก็ไม่ปรากฎตัว ตอนที่เซียนกระบี่จั่วมุ่งหน้าไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยังไม่โผล่หน้ามา ตอนนี้ซิ่วหู่เฝ้าพิทักษ์แจกันสมบัติทวีป ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่มีข่าวของเขาแม้แต่น้อย อาจารย์ แบบนี้ดูจะไม่สมเหตุสมผลเกินไปหน่อยหรือไม่?”
เฉาผู่พยักหน้า “ดังนั้นถึงได้มีข่าวลือบอกว่าคนผู้นี้ได้ไปอยู่ใต้หล้าอื่นแล้ว นั่นคือดินแดนพุทธะสุขาวดี”
หลินจวินปี้มีสีหน้าปั้นยาก เคยมีครั้งหนึ่งที่อาเหลียงไปก่อเรื่องในสำนักศึกษาแห่งหนึ่ง ทำให้เกิดคำพูดติดปากผู้คน บอกว่าเป็นคำพูดที่ ‘มีค่าดุจหยกดุจทองคำ’ ซึ่งมีไว้แนะนำพวกนักปราชญ์และวิญญูชนทั้งหลาย ‘พวกเจ้านอนดึกกันให้น้อยหน่อย ทำเนียบของภิกษุไม่ได้เอามากันง่ายๆ ไม่ทันระวังหัวโล้นขึ้นมา ทางวัดจะไม่รับเอาไว้ด้วย’
เฉาผู่โบกไม้ปัดฝุ่น สลับข้างมือที่ใช้ถือ ยิ้มเอ่ยว่า “การที่อาเหลียงสนิทสนมกับสายของเหวินเซิ่งอย่างมาก ช่วงแรกเริ่มสุดผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันไม่น้อย หลังจากศึกตรีจตุปิดฉากลง อาเหลียงก็ไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไยจะไม่มีความหมายว่าผิดหวังอย่างใหญ่หลวงซ่อนอยู่”
จากนั้นผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อก็พูดถึงซิ่วหู่ ในฐานะลูกศิษย์คนแรกของสายเหวินเซิ่งในอดีต อันที่จริงชุยฉานก็คือบุคคลที่มีหวังว่าจะเป็น ‘ดวงตะวันฤดูหนาวที่น่าใกล้ชิด’
เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษา ผู้อำนวยการของสถานศึกษา รองเจ้าลัทธิศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง สุดท้ายกลายมาเป็นอริยะปราชญ์ที่มีเทวรูปตั้งอยู่ในระดับที่ไม่ต่ำของศาลบุ๋น เป็นไปตามขั้นตอน ยศทั้งหลายเหล่านี้ สำหรับชุยฉานแล้วย่อมได้มาง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ
ที่สำคัญที่สุดคือชุยฉานผู้นี้มีความสัมพันธ์อันดีเยี่ยมกับกองกำลังมากมายนอกศาลบุ๋น
เคยเล่นหมากล้อมเมฆหลากสีกับเจ้านครจักรพรรดิขาว เป็นสหายต่างวัย สหายเล่นหมากล้อมกับบรรพบุรุษตระกูลอวี้ เจ้าขุนเขาสำนักศึกษาที่ชื่อแห่งชะตาชีวิตคือ ‘สุ่ย’ (น้ำ) ขณะเดียวกันยังเป็นเซียนกระบี่ แล้วก็ยังมีพวกบรรพบุรุษของสำนักนักประพันธ์แห่งพื้นที่มงคลกระดาษขาว ฯลฯ …อันที่จริงพวกเขาต่างก็ยอมรับในวิชาความรู้และนิสัยใจคอของชุยฉานจากใจจริง เพียงแต่ว่าภายหลังคำวิพากษ์วิจารณ์ดังเซ็งแซ่ สถานการณ์ใหญ่พุ่งไปในทิศทางนั้น บวกกับที่ชุยฉานไม่ใช่คนที่ชอบเรียกพวกพ้องมาช่วยเหลือ จึงเป็นเหตุให้ยิ่งนานชุยฉานก็ยิ่งเงียบหาย กระทั่งฟ้าพลิกแผ่นดินคว่ำ ขุนเขาสายน้ำกำลังจะเปลี่ยนสี ชุยฉานถึงได้โผล่พรวดเข้ามาในสายตาของคนในใต้หล้าอีกครั้ง ต่อให้อยากจะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเขาก็ยังเป็นเรื่องที่ยากมาก
ยกตัวอย่างเช่นเฉาผู่ที่เกลียดขี้หน้าชุยฉานอย่างมาก นึกอยากจะให้ชุยฉานแก่ตายอยู่ในตำแหน่งของราชครูแคว้นต้าหลีแคว้นเดียวไปซะ ทุกวันนี้ชุยฉานช่วยต้าหลียึดครองหนึ่งทวีป ขัดขวางเผ่าปีศาจที่จะเดินทางขึ้นเหนือมายังแจกันสมบัติทวีป เฉาผู่เลื่อมใสก็ส่วนเลื่อมใส เพียงแค่ยอมรับในความรู้ที่ลึกซึ้ง แผนการอันยาวไกลของคนผู้นี้เท่านั้น นี่ไม่ได้เท่ากับว่าเฉาผู่จะสามารถยอมรับการที่ชุยฉานหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนได้ ถึงขั้นที่ว่าเฉาผู่มองทฤษฎีคุณความชอบและกิจการงานที่ชุยฉานผลักดันออกมาอย่างฉุกละหุก จากนั้นก็ทรยศออกจากสายเหวินเซิ่ง เป็นจุดหักเหสำคัญที่ทำให้สายเหวินเซิ่งเปลี่ยนจากเจริญรุ่งเรืองมาเป็นตกต่ำด้วยซ้ำ
เพียงแต่ว่าเฉาผู่เป็นถึงราชครูของหนึ่งแคว้น เมื่อเทียบกับบัณฑิตทั่วไปแล้วเขาก็จำต้องยอมรับว่าทฤษฎีคุณความชอบและกิจการงานของชุยฉานนั้น เมื่ออยู่ในแจกันสมบัติทวีปก็เรียกได้ว่าถ่ายทอดได้อย่างดีเยี่ยม
บนภูเขาล่างภูเขา พื้นที่ของหนึ่งทวีปล้วนอยู่ในกำมือของชุยฉาน
เฉาผู่ทอดถอนใจเสียงเบา “แดดฤดูหนาวเหมาะกับการตากหนังสือเป็นที่สุด จิตใจคนที่ดำมืดเห็นแก่ตัวก็ได้ถูกซิ่วหูเอาออกมาพบเจอกับแสงตะวันทั้งอย่างนั้น หากไม่ทำเช่นนี้ แคว้นใต้อาณัติของแจกันสมบัติทวีปแคว้นใดบ้างที่ไม่มีศัตรูคู่อาฆาต ใจคนย่อมไม่ได้ทางดีไปกว่าใบถงทวีปได้แน่”
หลินจวินปี้ก้มหน้ามองกระดานหมากของแจกันสมบัติที่วางอยู่บนโต๊ะ เอ่ยเบาๆ ว่า “ซิ่วหู่ช่างอำมหิตยิ่งนัก ใจเด็ดมาก แต่ฝีมือกลับโหดเหี้ยมยิ่งกว่า”
ต่อให้หายนะใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นกับแจกันสมบัติทวีปที่หนึ่งแคว้นก็คือหนึ่งทวีป บัณฑิตที่ต้องแขวนกวานลาออกจากตำแหน่งขุนนาง เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ต้องออกจากสำนัก ผู้ฝึกตนอิสระที่ต้องเก็บซ่อนตัวอยู่ตามป่าเขา มีไม่น้อย
ทว่าดูเหมือนราชวงศ์ต้าหลีจะคาดเดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว ไม่รอให้สถานการณ์เช่นนี้เลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ เพียงไม่นานก็งัดเอากลยุทธรับมือครบชุดออกมา แล้วดำเนินการอย่างว่องไว เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังรอคอยให้คนเหล่านี้โผล่พ้นผิวน้ำออกมา
ซ่งเหอฮ่องเต้หนุ่มของต้าหลีออกพระราชโองการไปทั่วแคว้นใต้อาณัติทุกแห่งในหนึ่งทวีป
แม่ทัพอัครเสนาบดีของแคว้นใต้อาณัติทั้งหมด ใครที่กล้าละเมิดกฎของต้าหลี ภายนอกต่อต้านลับหลังเชื่อฟัง หรือเกียจคร้านในการปฏิบัติหน้าที่ ล้วนลงโทษตามกฎระเบียบ มีขั้นตอนให้ทำตาม ทุกอย่างเป็นไปตามกฎที่วางไว้
ใครที่รู้สถานการณ์แต่ไม่รายงาน รายงานแต่เรื่องน่ายินดีไม่รายงานเรื่องกลัดกลุ้ม เจอเหตุการณ์แล้วทำตัวเลอะเลือน ต่อให้เป็นกษัตริย์ของแคว้นใต้อาณัติก็ต้องถูกจดลงบันทึกทั้งหมด แล้วยังต้องเอาเอกสารคดีที่ระบุรายละเอียดชัดเจนนั้นส่งมอบไปยังขุนนางบุ๋นบู๊ของต้าหลีที่มาตั้งค่ายทัพปักหลักในแคว้นต่างๆ ทันที กองทัพของต้าหลีในพื้นที่มีอำนาจเหนือกว่ากษัตริย์ของแคว้นใต้อาณัติ สามารถประหารก่อนค่อยรายงานทีหลังได้
ขุนนางที่ลาออกจากตำแหน่งหลายร้อยคนของแจกันสมบัติทวีปจะได้รับแจกจ่ายกฎหมายฉบับใหม่ล่าสุดจากต้าหลี ลูกหลานสามรุ่นต่อจากนี้ห้ามเข้ามาอยู่ในวงการขุนนาง เป็นได้แค่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไป ไม่เพียงเท่านี้ ที่ว่าการของราชสำนักประจำพื้นที่ต่างๆ จะยังยึดถอนศิลาสดุดี ซุ้มประตู กรอบป้ายที่เคยมอบให้แก่ทางตระกูลในประวัติศาสตร์คืนมาทั้งหมด บ้างก็รื้อถอน บ้างก็ทำลายทิ้งทันที ไม่เพียงแค่นี้ ทางราชสำนักยังออกคำสั่งให้ขุนนางหลักประจำท้องถิ่นทำการแก้ไขอักราขรานุกรมท้องถิ่นเสียใหม่ ต้องบันทึกชื่อของขุนนางที่ลาออกจากตำแหน่งลงไปอย่างชัดเจน
บัณฑิตคนหนึ่งที่ถูกขนานนามให้เป็น ‘วิญญูชนใหญ่’ ของสำนักศึกษากวานหูเป็นผู้รับผิดชอบจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ร่วมมือกับรองเจ้ากรมสองท่านจากกรมขุนนางและกรมพิธีการต้าหลีเดินทางไปทั่วทุกแห่ง
บัณฑิตผู้นี้มีนิสัยสุภาพอ่อนโยน ศึกษาหาความรู้อย่างครัดเคร่ง หากพูดให้น่าฟังก็คือเช่นนี้ แต่หากพูดให้ไม่น่าฟังสักหน่อยก็อาจเรียกได้ว่านิสัยอ่อนโยนนุ่มนวล ใจดีมีเมตตามากเกินไป ทว่าระหว่างการเดินทางไปเอาผิดกับกษัตริย์ของแคว้นใต้อาณัติทั้งหลายของต้าหลี เขาได้แสดงให้เห็นถึงการลงมือที่เด็ดขาดฉับไว ทุกครั้งคนผู้นี้จะปรากฎตัวอยู่ข้างกายกษัตริย์ แล้วเอ่ยประณามตำหนิอย่างรุนแรง โดยเฉพาะมีครั้งหนึ่งถึงกับละเมิดกฎของสำนักศึกษาไปปรากฎตัวอยู่ในท้องพระโรงที่กษัตริย์และเหล่าขุนนางกำลังประชุมปรึกษากัน แล้วเอ่ยตำหนิขุนนางบุ๋นบู๊ที่อยู่กันเต็มท้องพระโรงซึ่งๆ หน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งขุนนางบุ๋นที่มีคุณความชอบสูงศักดิ์ทั้งหลายที่ยิ่งถูกด่าเสียจนหน้าม้าน
คำพูดประโยคนั้นของเขา ขนาดราชวงศ์เส้าหยวนของหลินจวินปี้ยังรับรู้ เชื่อว่าตลอดทั้งศาลบุ๋นและสถานศึกษาสำนักศึกษาก็คงรู้กันหมดแล้ว
กินหนังสือเหมือนกินขี้ เวลาปกติก็ปล่อยให้พวกเจ้าเป็นปัญญาชนคร่ำครึไร้ประโยชน์ได้อยู่หรอก แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ใครยังกล้าขี้รดตำราอริยะปราชญ์ มีคนหนึ่ง ข้าก็ด่าคนหนึ่ง! กษัตริย์คนใดกล้าปกป้อง ข้ายินดีสละยศวิญญูชนทิ้งไป แต่ก็ต้องทำให้เจ้าไสหัวลงมาจากบัลลังก์มังกรให้ได้ ข้ายังจะสละยศนักปราชญ์ทิ้งไปอีก แล้วก็จะขับไล่ไปอีกคนด้วย จากนั้นแม้แต่สถานะลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อข้าก็สามารถทิ้งได้ แค่ให้แลกตำแหน่งของฮ่องเต้อีกคนได้เป็นพอ
เพราะวิญญูชนใหญ่ของสำนักศึกษากวานหูท่านนี้แสดงท่าทีป่าเถื่อนใช้อำนาจบาตรใหญ่ บวกกับกฎหมายที่ใกล้เคียงกับคำว่าโหดร้ายของต้าหลีซึ่งแต่ละพื้นที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเข้มงวดชุดนั้น
ในช่วงเวลาระหว่างนี้จึงมีผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า สถานการณ์อันตรายคับขันเช่นเวลานี้ ควรจะวางความผิดความถูกทั้งหลายลงก่อนหรือไม่ จากนั้นก็ผ่อนปรนให้กันเสียหน่อย ให้คนเหล่านั้นได้ทำความดีชดใช้ความผิด นี่จะไม่ยิ่งมีประโยชน์ต่อสถานการณ์ใหญ่มากกว่าหรอกหรือ?
จุดจบของคนผู้นี้ก็คือถูกรองเจ้ากรมขุนนางของต้าหลีที่นิ่งดูดายอยู่ด้านข้างมาโดยตลอดถีบจนล้มกลิ้งไปกับพื้น