เย่เฉินตอบรับคำหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ได้ครับ เพียงแต่บันไดนี้ค่อนข้างชัน ตอนลงคุณระวังหน่อยนะ”
ซ่งหวั่นถิงยื่นมือนุ่มนิ่มออกมาอย่างเขินอาย ออกไปตรงหน้าเย่เฉิน พูดเสียงเบาหวิว “ปรมาจารย์เย่ รบกวนช่วยพยุงฉันลงไปหน่อยได้ไหมคะ? ไม่งั้นฉันเกรงว่าจะลื่นล้มเอา…”
อันที่จริง เธอไม่ได้กลัวจะลื่นล้มหรอก แต่อยากจะอาศัยโอกาสนี้ ใกล้ชิดสนิทสนมกับเย่เฉินให้มากขึ้นหน่อย
เย่เฉินเห็นว่าบันไดศิลานี้ยาวมากจริงๆ แถมยังชันมากด้วย ทอดยาวจากริมฝั่งยื่นตรงเข้าไปในชายหาด เด็กสาวตัวคนเดียวอย่างซ่งหวั่นถิง หากว่าลื่นล้มลงไปจริงๆ ล่ะก็ ผลลัพธ์คงเลวร้ายจนไม่อยากจะนึกถึงเลย
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงจับมือกระจ่างนวลเนียนของซ่งหวั่นถิงไว้ จูงเธอเดินอย่างระมัดระวัง ลงบันไดศิลาไป
ตอนนี้บนชายหาดก็ไม่มีใครเลยสักคน บนแม่น้ำมีเรือสองสามลำแล่นผ่านบ้างเป็นครั้งคราว เครื่องยนต์ดีเซลดังครึกๆ เสียงดังมาก แต่เมื่อแล่นบนผิวน้ำกลับไม่รู้สึกว่าหนวกหูสักเท่าไหร่
หลังจากมาถึงชายหาดแล้ว เย่เฉินก็ปล่อยมือของซ่งหวั่นถิง เงยหน้ารับสายลมเย็นฉ่ำบนแม่น้ำ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ที่นี่ไม่เลวเลยจริงๆ นะคะ”
ซ่งหวั่นถิงยิ้มน้อยๆ แวบหนึ่ง ทัดปอยผลไปไว้หลังหู เอ่ยไปว่า “ตอนยังเด็กฉันชอบมาที่นี่ที่สุดเลยค่ะ ตอนนั้นคุณพ่องานค่อนข้างยุ่ง ดังนั้นทุกวันล้วนเป็นคุณแม่ที่พาฉันมา”
พอพูดไปแล้ว เธอก็ถอนหายใจอย่างโศกหมองอยู่บ้าง เอ่ยต่อว่า “ตอนนั้น คุณแม่จะขับรถพาฉันมาจอดรถไว้ตรงนั้น จากนั้นก็เดินลงบันไดศิลามา จูงมือฉันอย่างระมัดระวังเหมือนที่คุณทำเมื่อกี้”
เย่เฉินหยักหน้านิดๆ
ช่วงที่ตนเติบโตขึ้นมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ก็มักจะนึกถึงพ่อแม่ของตนอยู่บ่อยครั้ง
ตอนเด็กๆ ยังไม่เข้มแข็งเท่าปัจจุบันนี้ ทุกครั้งที่นึกถึงพวกเขาตนจะซุกตัวอยู่ในโปงผ้าห่ม หรือไม่ก็ซ่อนตัวอยู่ในซอกมุมหนึ่งแล้วร้องไห้อย่างขมขื่น
แต่พอเวลาผ่านไปนานเข้า ตนก็ค่อยๆ เคยชินไปเสียแล้ว
ชีวิตที่ยากลำบากในวันวาน ทำให้เขาได้ทราบถึงหลักการอันล้ำค่ามากมาย
อย่างเช่นคนตายก็คือจากไปแล้ว อย่างเช่นเมื่อเรื่องราวที่โศกเศร้าผ่านพ้นไปแล้ว เช่นนั้นก็ปล่อยให้มันผ่านพ้นไปเถิด
ตอนนี้ ซ่งหวั่นที่อยู่ข้างๆ เอ่ยอย่างทอดถอนใจอีกครั้ง “ตอนเช้าวันนี้ ฉันไปปัดกวาดหลุมศพของคุณพ่อคุณแม่มาค่ะ ไม่กล้าจะเชื่อเลยว่าพวกท่านจากไปกว่าสิบปีแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างในวัยเด็กยังคงแจ่มชัดอยู่ดวงตาของฉัน มีอยู่หลายครั้งนักที่ฉันหลงรู้สึกไปชั่ววูบ รู้สึกว่าตัวเองยังอยู่ในช่วงอายุแปดเก้าขวบ”
เย่เฉินยิ้มหยันตัวเองแวบหนึ่ง ถอนหายใจเบาแล้วตอบไปว่า “คุณยังสามารถไปปัดกวาดหลุมศพของพ่อแม่ได้นะครับ ผมน่ะสิที่ไม่รู้เลยว่าตอนนี้พ่อแม่ผมถูกฝังอยู่ที่ไหนกันแน่”
“หือ?” ซ่งหวั่นถิงถามอย่างแปลกใจ “หาไม่พบเหรอคะ? หรือว่าในปีนั้นเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้น?”
เย่เฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น “ตอนที่พ่อแม่ของผมจากโลกไป ผมก็เพิ่งจะแปดขวบเหมือนกัน ตอนนั้นผมดูแลตัวเองไม่ได้ จะกินข้าวให้อิ่มสักมื้อก็ยังไม่รู้เลยว่าต้องไปทำอะไรที่ไหน ย่อมไม่มีความสามารถไปจัดการเรื่องพิธีศพให้พวกเขาได้ ต่อมาพอผมคิดจะออกตามหาก็หาไม่พบเสียแล้ว”
เอ่ยไปแล้ว เย่เฉินก็พูดขึ้นมาอีกว่า “เพียงแต่อัฐิของพวกเขาอาจจะถูกคนที่บ้านของคุณปู่นำกลับไปแล้วก็ได้ แต่เรื่องราวโดยละเอียดผมก็รู้ไมค่อยกระจ่างเหมือนกัน”
ซ่งหวั่นถิงอดจะถามเขาไม่ได้ “ปรมาจารย์เย่ คุณยังมีญาติอยู่บนโลกนี้ไหมคะ?”
เย่เฉินพยักหน้า “มีครับ แต่ผมยังไม่พร้อมจะเจอหน้าพวกเขาชั่วขณะ”
ซ่งหวั่นถิงผงกหัวนิดๆ กะพริบแพขนตาอันน่ามอง กล่าวไปว่า “ปรมาจารย์เย่คะ พวกเราไปเดินเล่นเลาะริมแม่น้ำกันเถอะค่ะ”
“ได้สิครับ” เย่เฉินตอบรับอย่างง่ายดาย แล้วเดินเล่นเลียบแม่น้ำเคียงข้างซ่งหวั่นถิง
เวลานี้เองซ่งหวั่นถิงแย้มยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ใช่แล้วปรมาจารย์เย่คะ คุณยังจำเหตุการณ์ในครั้งแรกที่พวกเราพบกันได้ไหม?”
เย่เฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนสิครับ ตอนนั้นอยู่ที่จี๋ชิ่งถัง อดีตพ่อตาของผมพลั้งมือทำแจกันโบราณใบหนึ่งของพวกคุณแตก”
ซ่งหวั่นถิงพยักหน้า เอ่ยตอบ “ตอนนั้นฉันก็ถูกวิธีซ่อมแซมแจกันของคุณทำเอาตกตะลึงไปเลยค่ะ รู้สึกว่าเป็นเป็นได้ยังไงกันที่คนหนุ่มอายุน้อยคนหนึ่งจะเชี่ยวชาญทักษะการซ่อมแซมที่ขาดช่วงไปแล้วได้ คนๆ นี้ช่างร้ายกาจเหลือเกิน แต่ว่า ตอนนั้นต่อให้ฝันอยู่ฉันก็คาดไม่ถึงเลยค่ะว่า นั่นจะเป็นทักษะเล็กๆ น้อยๆ ของปรมาจารย์เย่เท่านั้น คุณช่วยเหลือฉันเอาไว้มากมายเหลือเกิน…”
——–