คำตอบดังกล่าวของเจิ้งหงอี้ นับว่าเป็นการยืนยันข้อสันนิษฐานของเหล่าอาวุโสนิกายอมตะเป้าผู่อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ทั้งหมดเป็นเพราะเจิ้งหงอี้มีเส้นสายภายในจริงๆ ถึงสามารถจ้างองค์กรกะโหลกเลือดมาเอาชีวิตต้วนหลิงเทียนได้
“หึ! รู้จักกับลูกของระดับสูงในกะโหลกเลือด ทั้งได้รับ 2 โอกาสในการจ้างวานฆ่าคน…ไม่คิดเลยว่า 1 ใน 2 โอกาสนั่นเจ้าจะใช้มันกับข้าต้วนหลิงเทียน จะให้ข้าพูดว่าเป็นเกียรติของข้าดี หรือพูดว่าเจ้าให้ความสำคัญกับข้ามากเกินไปดี?”
ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดจากปากเจิ้งหงอี้ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวกล่าวเย้ย
“ต้วนหลิงเทียน ชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร…ข้าหวังว่าเจ้าจะทำตามคำพูด จัดการข้าอย่างรวบรัดเถอะ”
เจิ้งหงอี้กล่าวออกเสียงหนัก จากนั้นก็หลับตาลง ยอมรับความตายโดยสดุดี แต่ต้นจนจบไม่มีการวิงวอนร้องขอชีวิตใดๆทั้งสิ้น
ต้วนหลิงเทียนเองก็ไร้ซึ่งความลังเลใดๆ 2 นิ้วจี้ออกต่างกระบี่ เปล่งรังสีกระบี่เสือกทะลวงหว่างคิ้วของเจิ้งหงอี้ ป่นปี้ทำลายวิญญาณ คร่าชีวิตมันไปในบัดดล
หลังจากต้วนหลิงเทียนฆ่าเจิ้งหงอี้ไปแล้ว รองประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ จางกวงเจิ้น ก็หันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ต้วนหลิงเทียน ตอนนี้องค์กรกะโหลกเลือดล้มเหลวในการจัดการเจ้า 2 ครั้งแล้ว พวกมันสูญเสียนักฆ่าไป 2 คน…แถมหนึ่งในนั้นยังเป็นยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะ 6 ผสานอีก…”
“ข้าเกรงว่า…พวกมันไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่”
หลังยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูด จางกวงเจิ้งก็เอ่ยเตือนเสียงเข้มต่อว่า “วันหน้า เจ้าอย่าได้ออกจากเขตนิกายอมตะเป้าผู่เราโดยง่าย…ขอเพียงเจ้ายังอยู่ในเขตนิกายอมตะเป้าผู่เรา แม้องค์กรกะโหลกเลือดจะเป็น 1 ใน 3 องค์กรมือสังหารระดับต้นๆของแดนสวรรค์ใต้ แต่พวกมันก็ไม่กล้าบุกเข้ามาในนิกายอมตะเป้าผู่ของพวกเราอย่างอุกอาจแน่นอน”
“ข้าทราบ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เขาเองก็รู้ดีว่ากำลังของตัวเองยังน้อยนิดเกินไป เว้นเสียแต่จะเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ เขาย่อมไม่คิดออกจากนิกายอมตะเป้าผู่ง่ายๆอยู่แล้ว
คราวนี้พวกมันส่งนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 6 ผสานมา แต่กลับล้มเหลวตกตาย ครั้งหน้าไม่ทราบองค์กรกะโหลกเลือดจะส่งนักฆ่าขอบเขตใดมากันแน่ แต่ที่เขารู้อย่างหนึ่ง..พลังฝีมือต้องไม่อ่อนด้อยไปกว่าคนก่อนแน่นอน!
นอกจากนั้นเผลอๆองค์กรกะโหลกเลือดอาจตัดสินใจส่งนักฆ่าที่ทรงพลังเหนือกว่าซุนเหลียงเผิงหรือยอดฝีมือทุกคนในนิกายอมตะเป้าผู่มาเก็บเขาด้วยซ้ำ กล่าวได้ว่าต่อให้เขามีใครติดตามคุ้มครองก็คงไร้ผล!
ที่เขายังปลอดภัยดีอยู่ในนิกายอมตะเป้าผู่แบบนี้ ไม่ใช่ว่าองค์กรมือสังหารจะหวาดกลัวคฤหาสน์เฉวียนโยวแต่อย่างไร ที่พวกมันกริ่งเกรงจริงๆก็คือขุมกำลังเบื้องหลังคฤหาสน์เฉวียนโยวอีกทีต่างหาก จึงไม่กล้าบุกเข้ามาฆ่าเขาถึงในนิกายอย่างอุกอาจ
‘อย่างไรก็ตาม ต่อให้เป็นด้านในนิกายอมตะเป้าผู่เองก็ใช่ว่าข้าจะปลอดภัย…แววตานั่นของอาวุโสใหญ่ น่ากลัวตอนนี้มันคงแทบรอฆ่าข้าให้ตายเพื่อล้างแค้นให้หวังหงไม่ไหวแล้วกระมัง’
ถึงแม้การตายของหวังหง จะเกิดขึ้นเพราะการกระทำของนางทั้งนั้น
อย่างไรก็ตามเท่าที่เขาได้ฟังมาจากซุนเหลียงเผิง อาวุโสใหญ่นิกายอมตะเป้าผู่ หวังเชียนจ้าน ผู้นั้น มิใช่ตัวดีอันใด ยังเป็นคนจิตใจคับแคบเจ้าคิดเจ้าแค้นนัก
หลานที่มันรักและเอ็นดูปานแก้วตาดวงใจตกตายไปแบบนี้ ด้วยนิสัยคนถ่อยเช่นมัน ไม่มีทางที่จะไม่ฆ่าเขาเพื่อล้างแค้นแน่นอน!
ด้วยเหตุนี้เอง ซุนเหลียงเผิงถึงกับบอกให้เขาออกจากบ้านลานบนเกาะส่วนตัวของศิษย์ที่แท้จริง และมาพักอาศัยรวมถึงบ่มเพาะพลังในคฤหาสน์ส่วนตัวประจำตำแหน่งประมุขนิกายอมตะเป้าผู่…
เพราะซุนเหลียงเผิงเองก็กลัวหวังเชียนจ้านจะลงมือเข่นฆ่าต้วนหลิงเทียนเพื่อล้างแค้น!
วินาทีแรกที่ต้วนหลิงเทียนได้ยินเรื่องนี้จากซุนเหลียงเผิง เขาแทบอยากหอบข้าวหอบของไปให้ห่างนิกายอมตะเป้าผู่จริงๆ…
ไม่ปลอดภัยทั้งภายนอกภายใน แล้วนี่เขาจะมาที่นี่ทำเพื่อ!?
อย่างไรก็ตามพอนึกถึงตอนที่ซุนเหลียงเผิงตัดสินใจละทิ้งศิษย์สายตรงของตัวเอง กระทั่งเลือกจะแก้ปัญหาของหวังหงอย่างยุติธรรม เขาก็ล้มเลิกความคิดที่จะจากไปทันที
ถึงแม้การกระทำของเจิ้งหงอี้และหวังหงครั้งนี้จะเลวร้ายมาก แต่ตราบใดที่ซุนเหลียงเผิงเลือกที่จะปิดข่าว ก็คงไม่ยากอะไรที่จะรักษาชีวิตเจิ้งหงอี้และหวังหงเอาไว้ได้
ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้ดีแก่ใจ
ที่ซุนเหลียงเผิงไม่ปกป้องเจิ้งหงอี้กับหวังหงเลย ทั้งหมดนั้นทำเพื่อเขาล้วนๆ หากเป็นคนอื่นเขาเชื่อว่าซุนเหลียงเผิงอาจไม่จัดการเรื่องราวเด็ดขาดแบบนี้
เพราะการละทิ้งเจิ้งหงอี้นั้น ไม่นับเป็นอะไร
แต่การละทิ้งหวังหง ก็เสมือนละทิ้งหวังเชียนจ้านที่เป็นหนึ่งในเสาหลักของนิกายอมตะเป้าผู่ไปด้วยอีกคน!
ถึงเขาจะรู้ดีแก่ใจว่าทั้งหมดที่ซุนเหลียงเผิงทำไปนั้น เห็นแก่ความสำเร็จในอนาคตของเขา และสิ่งที่เขาจะมอบให้เป็นการตอบแทนในภายหลัง เมื่อเขาออกจากนิกายอมตะเป้าผู่ไปยังคฤหาสน์เฉวียนโยว กระทั่งไปยังเวทีที่เหนือกว่านี้
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ซุนเหลียงเผิงก็ไม่ยังได้รับประโยชน์ใดๆเป็นชิ้นเป็นอันจากเขาทั้งสิ้น ทำให้เขาจดจำไมตรีครั้งนี้ของซุนเหลียงเผิงอย่างดี
…
หลังจากอาวุโสหอคุมกฏของนิกายอมตะเป้าผู่ ได้ออกประกาศเรื่องความผิดของเจิ้งหงอี้และหวังหง ให้ทราบว่าทั้งคู่ถูกตัดสินโทษประหารไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้ย้อนกลับไปที่พักของตัวเอง แต่เลือกจะติดตามซุนเหลียงเผิงไปยังสถานที่พักของอีกฝ่ายทันที
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนติดตามซุนเหลียงเผิงเข้าไปในเขตที่พักของประมุขนั้น ห่างออกไปไม่ไกล ก็ปรากฏร่างหนึ่งยืนอยู่บนยอดเขา พลางมองจ้องมาด้วยสีหน้าอัปลักษณ์ปั้นยาก
“ประมุขนิกาย ทำแบบนี้เพื่อเห็นแก่คนนอกคนนึง…ไม่กลัวข้าเอาใจออกห่างงั้นหรือ…”
ในขณะที่หวังเชียนจ้านชักสีหน้าอัปลักษณ์ ลูกตาของมันก็เริ่มแดงฉาน สองหมัดกำแน่น พลังเซียนอมตะทั่วร่างคล้ายหลุดการควบคุม เริ่มเอ่อล้นออกมาสะท้านสะเทือนความว่างเปล่ารอบกาย
อย่างที่ซุนเหลียงเผิงเดาไว้ไม่มีผิด!
หวังเชียนจ้านตั้งใจจะฆ่าต้วนหลิงเทียนเพื่อล้างแค้น และถอนตัวออกจากนิกายอมตะเป้าผูโดยที่ไม่สนใจตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายอมตะเป้าผู่อีกต่อไป…
ด้วยพลังฝึกปรือและประสบการณ์ชั่วชีวิตของมัน ตัวมันเชื่อมั่นว่าต้องสามารถฆ่าคนและหลบหนีรอดพ้นเงื้อมมือซุนเหลียงเผิง ยอดฝีมืออันดับ 1 ของนิกายอมตะเป้าผู่ได้อย่างปลอดภัย…
อย่างไรก็ตาม มันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าซุนเหลียงเผิงเลือกจะให้ต้วนหลิงเทียนมาอาศัยอยู่ในสถานที่พักส่วนตัวของประมุข!
แบบนี้ ก็ยากที่มันจะลงมือเข่นฆ่าคนได้สำเร็จ!
ให้บุกเข้าที่พักประมุขหรือ? เผลอๆมันอาจไม่ทันได้เห็นตัวต้วนหลิงเทียนด้วยซ้ำ ซุนเหลียงเผิงก็คงปรากฏตัวออกมาขวางมันเอาไว้แล้ว!!
ในฐานะที่มันเป็นถึงผู้อาวุโสใหญ่นิกายอมตะเป้าผู่ หวังเชียนจ้านย่อมรู้ดีว่าสถานที่พักบ่มเพาะพลังของซุนเหลียงเผิง ประมุขนิกายอมตะเป้าผู่นั้น มีมาตรการป้องกันแน่นหนาขนาดไหน ต้องทราบด้วยว่านั่นคือสถานที่พักของประมุขนิกายทุกรุ่น! ค่ายกลป้อกันไม่ทราบพัฒนาและเพิ่มเสริมไปกี่ชั้นต่อกี่ชั้น จนเป็นดั่งปราการไร้ทลายไปแล้ว!!
อันที่จริงไม่ต้องกล่าวถึงค่ายกลป้องกันใดๆด้วยซ้ำ อาศัยด่านพลังฝึกปรือของซุนเหลียงเผิง กระทั่งมันย่างเข้าใกล้ที่พัก ซุนเหลียงเผิงก็คงค้นพบได้แต่แรก
“ต้วนหลิงเทียน…เก่งจริงเจ้าก็หดหัวอยู่ในนั้นให้ได้ตลอดชีวิตเถอะ…ขอแค่ข้าสบโอกาสเหมาะๆ ข้าจะฆ่าเจ้าให้ตายคามือ!!”
หวังเชียนจ้านมองไปยังคฤหาสน์ที่พักซุนเหลียงเผิงที่ห่างออกไปไม่ไกลเท่าไหร่ ด้วยสายตาเปี่ยมโทสะ เพลิงแค้นลุกโชนไปทั่วร่าง จิตสังหารแผ่ซ่านออกมาอย่างไม่คิดจะกักเก็บ แลดูดุร้ายราวกระหายเลือดเนื้อผู้คน
“หืม?”
ตั้งแต่ที่เดินทางมาถึงเขตคฤหาสน์ที่พักของซุนเหลียงเผิง ต้วนหลิงเทียนก็จับสัมผัสได้แต่แรกว่ามีคนกำลังเพ่งเล็งมาที่เขาด้วยความอาฆาต พอหันมองไป ก็พบว่าปรากฏร่างหนึ่งยืนอยู่บนยอดเขาไม่ไกล
“เจ้านั่น…”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงโดยพลัน
“เป็นผู้อาวุโสใหญ่นั่นล่ะ…”
เสียงซุนเหลียงเผิงดังขึ้นอย่างประจววบเหมาะ “มันติดตามพวกเรามาตั้งแต่แรกแล้ว…แน่นอนว่าทำเพื่อจับตาดูเจ้าโดยเฉพาะ”
“ดูเหมือนจะไม่ผิดจากที่ข้าเดาไว้จริงๆ…มันไม่คิดปล่อยเจ้าไปง่ายๆ”
ซุนเหลียงเผิงกล่าว
“อย่างไรก็ตาม ก่อนที่มันจะลงมือกับเจ้า ตามกฏของนิกายข้ามิอาจทำอะไรมันได้เลย…เพราะมิว่าจะให้กล่าวอย่างไร ตอนนี้มันก็ยังเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายอมตะเป้าผู่เรา”
กล่าวถึงจุดนี้ซุนเหลียงเผิงก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ฟังแล้วดูเหมือนจะจนปัญญาไม่น้อย
ถึงแม้ด้วยพลังฝีมือของมัน คิดฆ่าหวังเชียนจ้านทิ้งก็ไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง…
แต่คิดจะฆ่าอาวุโสใหญ่ของนิกาย ไหนเลยจะไร้เหตุผลอันสมควรได้?
ก็จริงที่อีกฝ่ายจ้องจะฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตาย แต่ในเมื่อยังไม่ริเริ่มลงมือทำอะไร ก็ถือว่าไร้ความผิด! อีกทั้งจะให้มันชิงลงมือก่อนโดยอ้างเหตุผลว่าตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม แต่อาวุโสคนอื่นๆของนิกายอมตะเป้าผู่สามารถยอมรับได้หรือ?!
วันหน้าเกิดมีใครทะเลาะกัน สุดท้ายจึงชิงลงมือฆ่าคนก่อน แล้วค่อยยกอ้างเหตุผลว่าคิดตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลมขึ้นมาบ้าง ไม่ใช่ว่าจะเหลวไหลใหญ่แล้วหรือ? มาตรฐานและกฏระเบียบของนิกายอยู่ที่ใด!?
ตัวมันเป็นประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ เรื่องจะขับไล่หวังเชียนจ้านให้ออกไปจากนิกายก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จำเป็นต้องมีเหตุผลอันเหมาะสมด้วย…
ดังนั้นต่อให้รู้ว่าหวังเชียนจ้านจ้องจะฆ่าต้วนหลิงเทียนทันทีที่มีโอกาส แต่ในเมื่ออีกฝ่ายยังไม่ได้ลงมือ จึงพูดได้ว่ายังไม่มีความผิด ตัวมันจะทำอย่างไรได้?
“ต้วนหลิงเทียน หลังจากนี้ไม่มีเหตุจำเป็นอันใด เจ้าก็บ่มเพาะฝึกฝนอยู่ที่นี่เถอะ และหากจำเป็นต้องออกไปที่ใดจริงๆ เจ้าต้องแจ้งข้าก่อนแล้วข้าจะไปกับเจ้าเอง ทั้งหมดเพื่อความปลอดภัยของตัวเจ้า”
ซุนเหลียงเผิงกล่าวกำชับต้วนหลิงเทียนเสียงหนัก
ตอนนี้นี่เป็นวิธีการแก้ปัญหาเดียว เท่าที่มันจะสามารถนึกออกได้…
“ส่วนเรื่องออกไปด้านนอกนิกาย…ข้าว่าเจ้าอย่าออกไปไหนเลยประเสริฐกว่า เพราะนักฆ่าที่ทางองค์กรกะโหลกเลือดจะส่งมาอีกครั้ง ข้าเกรงว่ากระทั่งตัวข้าเองก็คงมิอาจรับมือได้ไหว”
ซุนเหลียงเผิงกล่าวสืบต่อ
“เข้าใจแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
สำหรับเขาแล้วสถานที่พักของซุนเหลียงเผิงนั้น ก็มีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากลานบนเกาะส่วนตัวของศิษย์ที่แท้จริงเลย เรียกว่าเขาบ่มเพาะฝึกฝนที่นี่ก็ไม่มีอะไรแตกต่าง
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขาไม่ได้สนใจเรื่องสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะมากนัก
เนื่องเพราะกิ่งของพฤกษาเทพกำเนิดชีพที่ไปหยั่งรากในหัวใจของเขาตอนนี้ ทำให้เขาได้รับพลังวิญญาณฟ้าดินที่บริสุทธิ์ที่สุด และมีปริมาณสูงถึงขีดจำกัดเท่าที่เขาจะรับไหว
ด้วนการบ่มเพาะพลังจากพลังวิญญาณฟ้าดินบริสุทธิ์ดังกล่าว กระทั่งผลึกเทพที่ฮ่วนเอ๋อเหลือทิ้งไว้ให้เขา ยังไม่อาจเปรียบเทียบได้
และตอนนี้ด้วยความที่เพลิงเทพโกลาหลได้หลับไหลไปอีกครั้ง ความคืบหน้าในการทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟ จึงค่อยๆดำเนินไปอย่างช้าๆ แน่นอนว่าช้าที่ว่ายังเหนือกว่าคนอื่นหลายเท่าตัว นอกจากนั้นเขาก็เริ่มบ่มเพาะพลังหมายทะลวงไปให้ถึงขอบเขตขุนนางอมตะ
จากขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดไปยังขุนนางอมตะนั้น เสมือนการก้าวข้ามแม่น้ำสายใหญ่
ตราบใดที่ทะลวงถึงขอบเขตขุนนางอมตะ ก็จะสามารถเปิดโลกใบเล็กภายในกายของตัวเองได้ อีกทั้งเขายังได้ยินมาว่าหลังจากที่เปิดโลกใบเล็กภายในกายได้แล้ว สามารถอาศัยมันทำความเข้าใจกฏแห่งมิติได้อีกด้วย
กฏมิตินั้น เป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุด และยังเป็นกฏที่มิอาจเข้าใจผ่านวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังใดๆได้
ดุจเดียวกับกฏแห่งเวลา ชีวิต และความตาย กฏทั้ง 4 ที่ไม่อาจเข้าใจผ่านววรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังใดๆได้เลย หากแต่กฏแห่งมิตินั้น ยังพอจะทำความเข้าใจได้ผ่านโลกใบเล็กที่มีกฏแห่งมิติภายในตัว
เป็นธรรมดาว่ายังมีวิธีการอื่นๆที่ส่งเสริมให้เข้าใจกฏสูงสุดทั้ง 4 แต่ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นโชควาสนาอันเลิศล้ำทั้งสิ้น
วันเวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน
ต้วนหลิงเทียนที่จมจ่อมกับการบ่มเพาะทำความเข้าใจ ได้ลืมเลือนเวลาไปอย่างสิ้นเชิง
ไม่ทันรู้ตัวด่านพลังของเขาก็ใกล้จะทะลวงผ่านขอบเขตขุนนางอมตะอยู่รอมร่อ เรียกว่าเหลือเพียงแค่ก้าวเดียวก็จะทะลวงผ่านไปได้
อย่างไรก็ตามหนึ่งก้าวนี้ ยังประหนึ่งช่องว่างอันกว้างใหญ่ ไม่ใช่คิดจะข้ามผ่านก็ข้ามผ่านไปได้โดยง่าย
ในเรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง
“ฟู่วว…”
หลังผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ต้วนหลิงเทียนก็ลืมตาขึ้นมา หยุดการบบ่มเพาะพลังเอาไว้ชั่วคราว และเริ่มเปลี่ยนไปทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟแทน
หลังจากเข้าใจความลึกซึ้ง ความหมายแห่งไฟ และความลึกซึ้ง ลุกโหม ถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นแล้ว ความลึกซึ้งประการต่อมาที่ต้วนหลิงเทียนเลือกจะทำความเข้าใจ ก็คือความลึกซึ้ง เผาไหม้ ของกฏแห่งไฟ…
เพราะเพลิงเทพโกลาหลได้กล่าวแนะนำเขาไว้โดยละเอียดแล้ว ในฐานะที่เขาเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถนั้น เขาคลุกคลีอยู่กับความลุกซึ้งลุกโหมกับเผาไหม้มากกว่าความลึกซึ้งใดๆของกฏแห่งไฟ กล่าวได้ว่าตลอดเวลาที่เขาจุดเพลิงเทพโกลาหลเพื่อหลอมโอสถอมตะ เปลวไฟดังกล่าวก็ลุกไหม้แผดเผาอยู่ตลอดเวลา…
หากเริ่มต้นจากสิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุด เขาย่อมเข้าใจพวกมันได้เร็วกว่าความลึกซึ้งประการอื่นๆมากมาย
ว่ากันว่าการบ่มเพาะฝึกตนนั้น ไร้นิยามคำว่าเวลา…
และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะในขณะที่เขาจมจ่อมในภวังค์ทำความเข้าใจความลึกซึ้ง เขาก็ลืมเลือนเวลาไปโดยสมบูรณ์
ไม่ทันรู้ตัว ต้วนหลิงเทียนก็ได้พักอาศัยอยู่ในสถานที่พักส่วนตัวของประมุขนิกายอมตะเป้าผู่เป็นเวลา 5 ปีแล้ว…
ในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่าน ต้วนหลิงเทียนได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำความเข้าใจความลึกซึ้งเผาไหม้ ซึ่งตอนนี้ก็ห่างอีกแค่นิดเดียวเท่านั้นก็จะบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นแล้ว ขาดแค่สัญญาณเล็กๆดั่งลมบูรพาเท่านั้น
สำหรับจุดรอคอยขอบเขตขุนนางอมตะ ในที่สุดก็คลายตัว ด่านพลังเขาได้เพิ่มพูนขึ้นจวนเจียนจะทะลวงผ่านด่านยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดไปยังด่านพลังขุนนางอมตะเต็มที!
‘อีกไม่เกินหนึ่งปี สมควรทะลวงถึงขุนนางอมตะได้อย่างราบรื่น…’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ