ตอนอยู่ที่ดินแดนโบราณมารโลหิต หลังจากลั่งเชียนเหิงทะลวงพลังปราณถึงขั้นสมบูรณ์ของระดับอมตะเคราะห์ด่านเก้า เคยแลกเปลี่ยนความรู้กับอริยะแท้จริงคนหนึ่งมาก่อน
ยามนั้นเขามีเพียงความรู้สึกเดียว…
สิ้นหวัง!
ระยะห่างต่างกันเกินไป เหมือนมดตัวน้อยไปเขย่าไม้ใหญ่ แสงหิ่งห้อยไปสู้แสงเจิดจ้าของตะวันจันทรา
ลั่งเชียนเหิงคิดไม่ถึงเลยว่าในดินแดนรกร้างโบราณนี้ ยามเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้คนหนึ่งที่อยู่ในระดับเดียวกันจะทำให้ตนเกิดความรู้สึกเช่นนี้ได้
ร่างมารทมิฬอะไร ดาบคู่มารสวรรค์อะไร สิ่งที่พึ่งพาและพลังทั้งหมดในยามนี้ล้วนดูไร้ความหมาย
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือยามเผชิญหน้ากับดรรชนีนี้ของหลินสวิน ลั่งเชียนเหิงสัมผัสได้อย่างชัดเจนหาใดเปรียบ ว่าต่อให้หลบหนีก็เปล่าประโยชน์!
ตูม!
ไม่อาจคิดมากความ พลังดรรชนีที่ม้วนกลืนเหมือนประวัติศาสตร์แห่งฤดูกาลนี้ก็บีบกดเข้ามาแล้ว
ลั่งเชียนเหิงพลันกัดฟันกรอด ส่งเสียงคำรามราวสัตว์ป่า ผมสีโลหิตทั้งศีรษะแผ่สยาย บุกตะลุยเต็มกำลัง ต่อให้ใช้พลังทั้งหมดเขาก็ต้องต้านกระบวนท่าที่สามนี้ให้ได้!
นี่เกี่ยวเนื่องกับผลแพ้ชนะ!
ตึงๆๆ…
เพียงแต่ลั่งเชียนเหิงยังประเมินความน่ากลัวของการโจมตีนี้ต่ำไป เพียงพริบตาการโจมตีของเขา รวมถึงพลังป้องกันที่อยู่รอบตัวเขา ถูกพลังดรรชนีที่ยิ่งใหญ่นั้นบดละเอียดทุกกระเบียดราวกระดาษเปื่อยยุ่ย
จากนั้นเกล็ดดำขลับที่ปกคลุมทั่วร่างเขาก็เริ่มเว้าเป็นโพรง แตกระแหง ระเบิดออก เลือดเนื้อปะปน กล้ามเนื้อและกระดูกฉีกแตก
มองจากไกลๆ เขาเหมือนมดปลวกตัวหนึ่งที่กำลังถูกบี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าดรรชนีพร่ามัวที่ประหนึ่งอำนาจยิ่งใหญ่คร่ำเคร่งนั้นก็เห็นได้ว่าตัวเล็กจ้อย
พลังบีบกดน่าพรั่นพรึงทำให้กล้ามเนื้อและกระดูกทั่วร่างของลั่งเชียนเหิงต้านทานไม่อยู่ เกือบจะฉีกแตก เลือดแดงสดไหลออกเจ็ดทวารราวน้ำพุ
ทั่วทั้งลานเงียบสงัด
ในแววตาทุกคู่ต่างเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
ก่อนหน้านี้พวกเขายังไม่เข้าใจ ไม่กล้าเชื่อว่าในกระบวนท่าทั้งสองของหลินสวินก่อนหน้านี้ไม่ได้ใช้พลังที่แท้จริง
แต่ตอนนี้เมื่อได้เห็นอานุภาพของดรรชนีนี้กับตาตนเอง พวกเขาก็เชื่อแล้ว
การโจมตีนี้ต่างจากแต่ก่อนอย่างสิ้นเชิง อานุภาพที่สูงส่งถึงขีดสุดกดอัดทุกอย่างนั้น ทำให้ในใจของอริยะบางส่วนยังสะท้าน
พวกมู่ไจซิง จู๋อิ้งเสวี่ยต่างสูดหายใจอย่างอดไม่อยู่ กำสองหมัดแน่น สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ตอนนี้พวกเขาถึงได้ตระหนักว่า ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้พวกเขาดูเบาหลินสวินมาตลอด เจ้านี่ไหนเลยจะเป็นบุคคลแห่งยุคธรรมดาคนหนึ่ง เป็นปีศาจตนหนึ่งชัดๆ!
ปึง!
กระดูกแขนของลั่งเชียนเหิงถูกบีบกดจนฉีกแตก ส่งเสียงทึบหนักออกมา
ปึง!
ไม่นานกระดูกส่วนไหล่ หน้าอก ขาและอีกหลายจุดเริ่มแตกละเอียดด้วยแรงกดดันของพลังดรรชนี
เลือดปานน้ำพุไหลออกจากร่างกายแต่ละส่วนของเขา หลั่งรินร่วงหล่นกลางอากาศ เปิดฉากม่านโลหิตหลากสายที่แดงก่ำงามวิจิตร
เห็นได้ชัดว่าเขาถูกโจมตีอย่างหนัก แต่ยังคงยืนหยัด ริมฝีปากแผดคำราม “ข้าไม่เชื่อ! ออกไปซะ…!”
แต่คำรามไปก็เปล่าประโยชน์
พลังดรรชนีที่ยิ่งใหญ่นั้นดั่งหินผาหนักแน่นพิฆาตลงมา
‘แย่แล้ว!’
มู่ไจซิงพลันหน้าถอดสี รู้ว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปลั่งเชียนเหิงคงได้ตายอย่างไม่ต้องสงสัย คิดแล้วจึงกล่าวออกไปทันใด
“สหายยุทธ์โปรดออมมือ การประลองนี้เจ้าชนะแล้ว!”
หลินสวินทำหูทวนลมเหมือนไม่ได้ยิน เพียงมองไปยังลั่งเชียนเหิงด้วยแววตาเฉยชา
ถ้าลั่งเชียนเหิงไม่เอ่ยปาก ต่อให้มู่ไจซิงพูดก็ไม่นับ!
พรูด!
ลั่งเชียนเหิงกระอักเลือดคำโต สีหน้าซีดเผือดราวกับกระดาษ ใครก็มองออกว่าเขาต้านไม่อยู่แล้ว
“นายท่าน ได้โปรดหยุดเถอะ”
ปี้เหินรีบตะโกน
สายตาเหล่าผู้ชมก็ต่างจับจ้องไปที่ลั่งเชียนเหิง ล้วนมองออกว่าลั่งเชียนเหิงเวลานี้ไม่ยินยอมและเดือดดาลแค่ไหน
แต่ก็รู้ดีว่าภายใต้การกดดันอย่างเด็ดขาดของพลังดรรชนีนี้ของหลินสวิน ต่อให้เขาไม่ยินยอมและพยายามแค่ไหนก็ต้องยอมแพ้!
บนอากาศ กระดูกสันหลังของลั่งเชียนเหิงถูกบีบกดจนโก่งงอ กล้ามเนื้อและกระดูกเข่าทั้งสองข้างแยกออกจากกัน ทั้งตัวเหมือนกุ้งต้มสุกหงิกงออยู่ตรงนั้น แทบจะถูกบีบให้คุกเข่า
ยามนี้ในที่สุดเขาก็สัมผัสได้ถึงความหวาดกลัว รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของความตาย ไม่จำเป็นต้องสงสัย พริบตาที่ตนถูกบีบให้คุกเข่าก็คือเวลาที่ร่างตนจะแหลกสลาย
“รีบยอมแพ้เร็วเข้า!”
มู่ไจซิงสีหน้าคล้ำเขียว
จู๋อิ้งเสวี่ยและแขกจากต่างดินแดนคนอื่นก็สีหน้าไม่น่าดู ทั้งร้อนรนทั้งกังวล ทั้งมีความรู้สึกอับอายอย่างบอกไม่ถูก
“อ๊าก…!”
ลั่งเชียนเหิงแผดคำราม ลูกตาแทบถลน แต่สุดท้ายเขาก็กล่าวด้วยเสียงแหบพร่าที่เหมือนลอดออกมาจากหน้าอก “ข้า ยอม แพ้!”
เขากล่าวเน้นทีละคำ เต็มไปด้วยความไม่ยินยอมเหลือคณา
นัยน์ตาดำของหลินสวินเผยแววผิดหวังเสี้ยวหนึ่ง เดิมเขาคิดจะกำจัดอีกฝ่ายให้สิ้นซาก หักกระดูกของอีกฝ่ายเป็นชิ้นๆ
แต่ตอนนี้ก็ได้แต่ปล่อยไป
ฮูม…
พลังดรรชนีที่ยิ่งใหญ่ถูกหลินสวินเรียกกลับ หายไปในอากาศ
แรงกดดันหายไปกะทันหัน ทั้งตัวลั่งเชียนเหิงซวนเซร่วงลงไปกองกลางอากาศ ดูน่าอนาถเป็นอย่างยิ่ง
ท่าทีของการพ่ายแพ้นี้ถูกทุกคนเห็นอยู่ในสายตา ทำให้ลั่งเชียนเหิงคับแค้นและอับอายจนอยากตาย
ณ ที่นั้นเงียบสงัดไปทั้งแถบ
ชนะแล้ว!
หลินสวินกำราบลั่งเชียนเหิงได้ในสามกระบวนท่าจริงๆ
ถึงขั้นที่คนมากมายยังดูออก ว่าหากไม่ใช่ด้วยฐานะ ‘ทูต’ นั้นของลั่งเชียนเหิง ในกระบวนท่าที่สามนี้ลั่งเชียนเหิงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!
บางทีอาจเป็นเพราะหลินสวินชนะอย่างสวยงามและสะท้านใจคนเกินไป จึงทำให้บรรยากาศ ณ ที่นั้นตกอยู่ในความเงียบสงัดเนิ่นนาน
“ต้านไม่ได้แม้แต่สามกระบวนท่าของข้า ก็กล้าพูดเพ้อเจ้อท้าประลองกับบุคคลขอบเขตมกุฎทั้งหมดของดินแดนรกร้างโบราณหรือ”
หลินสวินกล่าวราบเรียบ
ตั้งแต่เปิดศึกจนถึงตอนนี้ เขายืนอยู่จุดเดิม แน่นิ่งไม่ขยับ ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย เหมือนดวงตะวันลอยเด่นอยู่กลางฟ้า ไม่แปรเปลี่ยนชั่วนิรันดร์
เสียงเฉยชาก้องขึ้นกลางอากาศ บรรยากาศที่เงียบสงัดพลุ่งพล่านขึ้นมาในชั่วพริบตา
เสียงตื่นเต้นดีใจนับไม่ถ้วนดังก้องไปทั่ว
“ไชโยให้เทพมารหลิน!”
“ช่างหัวภูตผีปีศาจของเจ้าปะไร สุดท้ายก็สู้อานุภาพสามส่วนของคุณชายหลินไม่ได้!”
ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ลั่งเชียนเหิงสัญจรไปในดินแดนรกร้างโบราณ ซัดกวาดตลอดทางไม่เคยแพ้สักครั้ง ทำให้คนมากมายในดินแดนรกร้างโบราณต่างไม่อาจเงยหน้าขึ้น
แต่ในวันนี้ลั่งเชียนเหิงแพ้แล้ว!
แพ้ภายในสามกระบวนท่า ไม่อาจไม่ยอมแพ้ด้วยตัวเอง!
นี่จะไม่ให้ผู้คนสะใจได้อย่างไร
ไม่ใช่แค่ผู้แข็งแกร่งทั่วไปพวกนั้น แม้แต่พวกสัตว์ประหลาดเฒ่าในดินแดนรกร้างโบราณก็ยังยิ้มไม่หุบ รู้สึกเบิกบานใจ
ด้านบุคคลอย่างองค์ชายเซ่าเฮ่า เทพธิดารั่วอู่ต่างมองสบตากันไปมา สีหน้าแตกต่างกันออกไป ล้วนกำลังใคร่ครวญว่าหากตนต่อสู้กับหลินสวินจะมีโอกาสชนะแค่ไหน
เหวยหลิงเคอตื่นเต้นจนเหวี่ยงแขนขาวดุจหิมะไปมาแล้ว ตะโกนโห่ร้องยินดีไม่หยุด
บนอากาศหลินสวินไม่มองลั่งเชียนเหิงอีก เหลือบสายตาไปยังพวกมู่ไจซิง จู๋อิ้งเสวี่ย
“ก่อนหน้านี้ข้าพูดไปแล้วว่าจะให้โอกาสพวกเจ้าท้าประลองกับข้า มาเท่าไหร่ข้าจะกำราบเท่านั้น ตอนนี้พวกเจ้ากล้าสู้กันไหม”
ประโยคเดียวข่มเสียงดังกึกก้องในที่นั้นไปจนหมด ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างอ้าปากค้าง หลินสวินยังคิดจะสู้ต่ออีกหรือ
ทั้งยังท้าประลองกับแขกต่างดินแดนทุกคนอีก!
ทั่วลานเงียบไปทันที ทุกคนสะท้านพูดไม่ออก
แต่สำหรับพวกมู่ไจซิง จู๋อิ้งเสวี่ย คำพูดนี้ของหลินสวินเหมือนจุดชนวนเพลิงโทสะในใจของพวกเขา แต่ละคนต่างสีหน้าอึมครึมลง
เจ้าหมอนี่คิดจริงๆ หรือว่าเอาชนะลั่งเชียนเหิงแล้ว ก็จะมองข้ามพวกเขาทุกคนได้
หลงระเริง!
“ให้ข้าลุยเอง”
เนตรดาราของจู๋อิ้งเสวี่ยฉายแววอาฆาต รู้สึกเหมือนโดนดูถูกอย่างยิ่ง
“อย่าแย่ง ให้ข้าออกโรงเถอะ”
ชายร่างสูงประมาณสามจั้ง อาบไล้ด้วยแสงน้ำซัดสาดไปทั้งตัวคนหนึ่งกล่าวเสียงแข็ง
พวกเขาแต่ละคนอดรนทนไม่ไหว ไอสังหารแผ่ซ่าน
ต่อให้รู้ว่าพลังของหลินสวินลึกล้ำยากหยั่งถึง แต่ก็ระงับความชิงชังนี้ลงไม่ได้
มู่ไจซิงสีหน้าปรวนแปร พลันยกมือขึ้นห้ามไม่ให้ทุกคนพูด จากนั้นก็เหลือบสายตาไปที่หลินสวินแล้วกล่าว “เจ้าแน่ใจว่าจะท้าประลองกับพวกเราทุกคนรึ”
นัยน์ตาดำของหลินสวินเฉยชา กล่าวราบเรียบ “ไม่ผิด หากจะสู้ตัวต่อตัว ลั่งเชียนเหิงก็เป็นกระจกสะท้อนเงาให้พวกเจ้าแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าก็เข้ามาพร้อมกันได้เลย ดูซิว่าข้าหลินสวินจะเอาอยู่หรือไม่”
บรรยากาศเงียบสงัดยิ่งกว่าเดิม
แม้แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าในดินแดนรกร้างโบราณพวกนั้น ก็ยังถูกความห้าวหาญที่หลินสวินเผยออกมาเวลานี้ทำให้แปลกใจ คนไม่น้อยยังอดทอดถอนใจไม่ได้ คนรุ่นใหม่ช่างเหนือกว่าคนรุ่นเก่าจริงๆ ไม่ยอมรับคงไม่ได้
ส่วนพวกองค์ชายเซ่าเฮ่า เทพธิดารั่วอู่ในใจก็ไม่อาจนิ่งสงบ
ตอนอยู่ที่แดนมกุฎ ใช่ว่าหลินสวินจะไม่เคยสร้างความแตกตื่นแบบเดียวกันมาก่อน ถึงขั้นที่ว่าในการรับรู้ของผู้คน หลินสวินก็สร้างชื่อด้วยคำว่า ‘ใจกล้าสะท้านฟ้า อาละวาดเหิมเกริม’
แต่ครั้งนี้คู่ต่อสู้ที่เขาเผชิญหน้าด้วยต่างออกไป เป็นบุคคลแห่งยุคมากมายที่มาจากดินแดนอื่น เขาคนเดียวจะต้านทานได้จริงหรือ
แม้แต่พวกเซียวชิงเหอ เซี่ยวชางเทียนที่เชื่อมั่นในตัวหลินสวินยิ่ง เวลานี้ก็ยังไม่แน่ใจอยู่บ้างแล้ว
กลับเห็นมู่ไจซิงโกรธจัดจนกลายเป็นหัวเราะกล่าว “หลินสวิน นี่เจ้าพูดเองนะ!”
ถามตัวเองดูแล้ว หากอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องสู้ตัวต่อตัว เขาจะปฏิเสธทุกคำท้าประลองแน่ ด้วยการแพ้อย่างย่อยยับของลั่งเชียนเหิงยังคงติดตา
แต่หากลงมือพร้อมกัน เช่นนั้นก็ต่างออกไปแล้ว
อย่างน้อยมู่ไจซิงก็เชื่อว่าหลินสวินจะต้องตายอนาถเป็นแน่
พวกจู๋อิ้งเสวี่ยต่างหน้ามืดทะมึน พวกเขาล้วนเย่อหยิ่งเป็นอย่างยิ่ง เต็มไปด้วยความหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรี ให้พวกเขาลงมือสู้กับหลินสวินพร้อมกัน นี่เป็นการยอมรับอย่างไม่ต้องสงสัยว่าพวกเขาทุกคนล้วนสู้หลินสวินไม่ได้ ได้แต่พึ่งคนมากจึงจะได้เปรียบ
นี่ทำให้ในใจของพวกเขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ก็รู้ดีว่าทำเช่นนี้จึงจะเป็นวิธีที่ชาญฉลาดที่สุด
“รู้สึกผิดคาดมากใช่ไหม ประหลาดใจมากสินะ แต่สำหรับข้าอย่างนี้สิถึงจะปกติ ไม่อย่างนั้นถ้าต้องมาเอาชนะพวกเจ้าทีละคนจะไม่น่าเบื่อเกินไปหน่อยหรือ”
หลินสวินกล่าวเนิบช้า สง่างามไร้เทียมทาน
“เจ้าจะต้องเสียใจ!”
เสียงกระทบหนึ่งดังขึ้น ในหมู่กระบี่สามเล่มที่อยู่ด้านหลังมู่ไจซิง กระบี่เทพสีเงินยวงเล่มหนึ่งพุ่งออกมา จ่อปลายเฉียบคม พาให้แสงจากฟากฟ้าต่างมืดมน
บนตัวของพวกจู๋อิ้งเสวี่ย ต่างก็มีอานุภาพน่ากลัวราวทะยานขึ้นเหนือเมฆอบอวลออกมา
พวกเขาโกรธแล้ว!
สถานการณ์เปลี่ยนเป็นตึงเครียดอีกครั้ง
ผู้คนนับไม่ถ้วนหน้าเปลี่ยนสี จับจ้องอย่างใกล้ชิด ไม่มีแม้แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ ด้วยสถานการณ์ที่หลินสวินเผชิญหน้าในครั้งนี้อันตรายเกินไป
ลั่งเชียนเหิงตัวคนเดียว
แต่ตอนนี้เป็นบุคคลน่ากลัวเจ็ดคนที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าลั่งเชียนเหิง ถึงขั้นมีแต่จะเหนือกว่า
อย่างมู่ไจซิงก็เป็นบุคคลแห่งยุคที่มาจากดินแดนโบราณต้าหลัวโลกของผู้ฝึกกระบี่ พาดกระบี่อยู่สามเล่ม แข็งแกร่งกว่าลั่งเชียนเหิงไม่น้อย
หรืออย่างจู๋อิ้งเสวี่ยก็มาจากเผ่าจู๋หลงแห่งดินแดนโบราณยอดหยิน พรสวรรค์โดดเด่น พลังสะท้านฟ้า
ผู้มาเยือนจากต่างดินแดนคนอื่นส่วนใหญ่ต่างก็เป็นเช่นนี้
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลินสวินเอาความมั่นใจมาจากไหนถึงไปกำราบศัตรูทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว
ไม่มีใครรู้แน่ชัด
ด้วยก่อนหน้านี้หลินสวินหายไปจากดินแดนรกร้างโบราณเป็นเวลาสองปีกว่า ใครก็ไม่รู้ว่าในช่วงสองปีกว่านี้เขาผ่านอะไรมากันแน่ ทั้งพลังของเขาบรรลุถึงขั้นไหนแล้ว
เวลานี้ทั่วสารทิศจับตามอง ศึกใหญ่พร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ!
………………..