ภายใต้ผลกระทบจากกฎเกณฑ์บางอย่าง ทำให้ดาวมรณะจำนวนมากรวมตัวกันอยู่ ณ ที่แห่งนี้ จนประกอบเป็นห้วงดาราพิเศษ หรือเขตพื้นที่ที่หลัวซิวกำลังอยู่นั่นเอง

หลังจากผ่านพ้นกาลเวลามาอย่างยาวนาน พลังออร่าความตายก็ตกตะกอน และค่อย ๆ วิวัฒนาการกฎขึ้นมา ซึ่งมีเส้นทางการเปลี่ยนแปลงจากดาวดวงหนึ่งที่เจริญรุ่งเรืองจนถึงช่วงสิ้นอายุไขซ่อนอยู่ภายใน

“สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่เหมาะกับการฝึกตนสำหรับข้าเสียจริง”

ข้างนอกมีผู้แข็งแกร่งราชาเทพคนหนึ่งจ้องตาเป็นมัน เฝ้าคอยจัดการเขาอยู่ข้างนอก หลัวซิวเข้าใจดีมาก ๆ ว่าตัวเองไม่มีทางย้อนกลับไปยังเส้นทางเดิมได้อีกแล้ว มีเพียงข้ามผ่านห้วงดาราที่ดาวมรณะรวมตัวกัน และหนีจากไปจากอีกฟากหนึ่ง

“จิตที่จะฆ่าข้าของจี้เฟิงนั้นแน่วแน่มาก ๆ หากมันเห็นว่าข้ายังไม่ออกไป มันก็ไม่มีทางจากไปง่าย ๆ อย่างแน่นอน หากข้าสามารถทะลุข้ามผ่านเขตพื้นที่ดังกล่าวและออกจากที่นี่ได้ก่อน บางทีข้าอาจสามารถอาศัยค่ายวาร์ฟล่องหนในเมืองฟ้าเยือกออกจากที่นี่ก่อนจี้เฟิงจะย้อนกลับไปถึงเมืองฟ้าเยือกได้”

เมื่อคิดเช่นนี้ได้ หลัวซิวจึงรีบบินเข้าไปในส่วนลึกของสถานผนึกดารามรณะ ยิ่งเข้าไปลึก ชี่มรณะบริเวณรอบ ๆ ก็ยิ่งรุนแรงมากยิ่งขึ้น หากอาศัยลูกแก้วความเป็นตายเพื่อผสมเป็นหนึ่งเดียวกับชี่มรณะ ไม่มีการแบ่งแยกซึ่งกันและกัน ชี่มรณะที่ล่องลอยอยู่ ณ ที่แห่งนี้ก็จะสามารถทำให้เขากลายเป็นอันตรธาน

ระหว่างทางหลัวซิวมองเห็นดวงดาวนับร้อยดวง ทุก ๆ ดวงล้วนมีหมอกสีดำปกคลุม มีชี่มรณะสูงเทียมฟ้า

และแล้วสีหน้าท่าทางของเขากลับดูตกตะลึงขึ้นมากะทันหัน เนื่องจากเขาสามารถสัมผัสได้ลาง ๆ ว่าดาวมรณะนับร้อยดวงที่เรียงกันนี้ เหมือนมีร่องรอยค่ายกลที่ใหญ่โตมโหฬารซ่อนอยู่ยังไงอย่างนั้น

ดาวมรณะทุกดวงที่อยู่ใกล้กันล้วนมีชี่มรณะเล็กน้อยคอยเชื่อมต่อกัน การเชื่อมต่อประเภทนี้เหมือนดั่งร่องรอยค่ายกล ลายเส้นค่ายกล มีความเร้นลับในแบบที่ไม่สามารถอุปมาด้วยคำพูดได้ซ่อนอยู่

หลัวซิวรู้สึกสงสัย ก่อนที่เขาจะเสาะหาไปตามร่องรอยชี่มรณะที่ตนพบเจอ และไปถึงศูนย์กลางพื้นที่ที่มีดวงดาวนับร้อยดวงโอบล้อม

เมื่อเขาแหงนหน้าขึ้นไปมอง หัวใจก็สั่นเทิ้มขึ้นมาทันที

เขามองเห็นระลอกคลื่นสีดำขนาดใหญ่ ภายในระลอกคลื่นดังกล่าว ราวกับมีโลกนิรนามอีกใบหนึ่งซ่อนอยู่ยังไงอย่างนั้น

และสิ่งที่ทำให้หลัวซิวรู้สึกช็อกคือ เมื่อมองผ่านระลอกคลื่น เขาพบว่าภายในระลอกคลื่นมีโครงกระดูกและซากศพลอยขึ้น ๆ ลง ๆ เป็นจำนวนมาก มันดูลึกลับและมืดทึมน่ากลัว

ถัดจากนั้น เขายิ่งมองเห็นโลงศพโบราณที่ใหญ่โตมโหฬารอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ซึ่งทำมาจากทองสัมฤทธิ์ ในช่วงเวลาที่ไม่รู้ตัว เหมือนมีดวงตาคู่หนึ่งที่มองไม่เห็นได้เพ่งมองมาจากภายในโลงศพโบราณทองสัมฤทธิ์นั่น ทำให้สภาพจิตใจของหลัวซิวสั่นเทาอย่างบ้าคลั่ง รู้สึกเหมือนเลือดในร่างกายกำลังจะหยุดไหลเวียนแล้ว

แต่ทว่าความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้นเร็วและหายไปเร็วเช่นกัน ภาพเหตุการณ์ที่มองเห็นภายในระลอกคลื่นเป็นเพียงมุมมุมหนึ่งเท่านั้น โลงศพโบราณทองสัมฤทธิ์หายไปแล้ว แต่ก็ยังมีโครงกระดูกและซากศพจำนวนมากลอยขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ภายในเช่นเคย

“ช่างเป็นสถานที่ที่แปลกประหลาดยิ่งนัก!”

จิตใจหลัวซิวผวา เขาจะรู้สึกเกรงกลัวสิ่งของจำพวกที่ไม่รู้จักเช่นนี้โดยสัญชาตญาณอยู่เล็กน้อย

เขารู้สึกว่าสถานผนึกดารามรณะนี่ บางทีมันอาจไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เป็นฝีมือมนุษย์ที่นำดาวมรณะนับร้อยดวงมารวมกัน และจัดเรียงจัดวางค่ายกลขนาดใหญ่ขึ้นมาเพื่อเชื่อมต่อกับห้วงเวลาปริศนา

หลัวซิวสูดหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นเขาก็รีบถอยออกอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าหยุดอยู่ที่นี่ต่อ

สถานผนึกดารามรณะนี้เป็นสถานที่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยภัยอันตรายสำหรับผู้อื่น แต่สำหรับเขาแล้วกลับเหมือนดั่งกระดี่ได้น้ำ ไม่ประสบพบเจออะไรที่อันตราย

เขตพื้นที่ของห้วงดารานี้ไม่เล็ก หลัวซิวที่อาศัยปีกเทพมังกรครามยักษ์ในการบินก็ใช้เวลาไปเจ็ดวันเช่นกัน ถึงจะออกไปจากอีกฟากหนึ่งของสถานผนึกดารามรณะ

หลังจากที่ออกมาแล้ว สิ่งแรกที่เขาทำคือหยิบม้วนหยกออกมา เพื่อยืนยันตำแหน่งที่อยู่ของตน ก่อนที่เขาจะพบว่าตนไม่ได้อยู่ห่างไกลจากเมืองฟ้าเยือกมากนัก หากอาศัยความเร็วในการเคลื่อนที่ของปีกเทพมังกรครามยักษ์ละก็ น่าจะต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือน

แต่ทว่าหากใช้เรือรบดาราเร่งการเดินทางละก็ ใช้เวลาเพียงห้าวันก็เพียงพอแล้ว

เขายกมือขึ้นมาโบก เรือรบดาราที่ใหญ่โตมโหฬารก็ถูกเขาเรียกออกมาจากห้วงกาลแดนในแหวนเก็บของ เมื่ออยู่ด้านหน้าเรือรบที่ใหญ่โตมโหฬารแล้ว ร่างกายของเขาก็ดูเล็กน้อยมากอย่างเห็นได้ชัด แทบจะสามารถมองข้ามร่างเขาได้เลย

ตรงหว่างคิ้วมีแสงเรืองกระพริบ ร่างกลวัฏสงสารทั้งสองต่างปรากฏออกมา เนื่องจากหากต้องการควบคุมเรือรบลำนี้ แค่กำลังแรงของเขาคนเดียวจะทำได้ยากมาก ๆ