บทที่ 708.3 ใช้หนึ่งนครช่วงชิงใต้หล้า

กระบี่จงมา! Sword of Coming

สิ่งที่กู้เจี้ยนหลงพูดคือการพูดไปตามสถานการณ์ แต่เจ้าคนนอกประตูกลับอคติต่อตัวบุคคล อีกทั้งยังพุ่งเป้าโจมตีมายังผู้ฝึกกระบี่สายคฤหาสน์หลบร้อนเก่าทั้งสายด้วย

เรื่องใหญ่ของบ้านเมือง คุณธรรมประจำบุคคล ดีเลว คุณความชอบความผิดพลาด ความถูกความผิด เป็นเรื่องที่ซับซ้อนเพียงใด หากถูกคนไม่ถูกเรื่อง จะอธิบายหลักการเหตุผลบางข้ออย่างชัดเจนได้อย่างไร

หนิงเหยาเห็นทุกคนเงียบกริบ ไม่มีใครเปิดปากพูด ก็เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “คนที่นั่งอยู่ที่นี่ไม่ต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่ก็ได้ ขอบเขตไม่ต้องสูงก็ได้ แต่สมองจะโง่เง่าเกินไปไม่ได้ ทุกวันนี้นครบินทะยานมีคนน้อยนิดเพียงแค่นี้ พื้นที่โดยรอบมีแค่พันลี้ก็มีอุปสรรคมากมายขนาดนี้แล้ว ดังนั้นคิดจะใช้วิธีของพวกคนในราชสำนักล่างภูเขาจึงยังเร็วเกินไป การประชุมในศาลบรรพจารย์มีกฎเพียงข้อเดียว นั่นคือพุ่งเป้าไปที่เรื่องราวไม่พุ่งเป้าไปที่ตัวบุคคล ผู้ที่ชอบพุ่งเป้าไปที่คนไม่พุ่งเป้าไปที่เรื่องราว ก็อย่ามายึดตำแหน่งที่นี่ให้เปล่าประโยชน์”

จากนั้นหนิงเหยาก็มองไปทางฉีโซ่ว ถามว่า “คนผู้นี้ได้ใครในสายสิงกวานเป็นคนแนะนำและคนรับรอง?”

ฉีโซ่วบอกชื่อไปสองชื่อ

ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองสองคนที่ถูกขานชื่อรีบลุกขึ้นยืนในศาลบรรพจารย์ทันที

หนิงเหยาหันไปพูดกับสวีหนิง “บันทึกเรื่องนี้เอาไว้ แล้วค่อยไปเปิดดูเอกสารของคนที่อยู่นอกประตูผู้นั้นอีกที”

สวีหนิงลุกขึ้นรับคำสั่งแล้วนั่งลงอีกครั้ง

หนิงเหยาเอ่ยเนิบช้า “แม้แต่สายของอิ่นกวานเอง วันหน้าแม้แต่กู้เจี้ยนหลงก็ด้วย ทุกคนเวลาพูดเรื่องอะไรต้องระวังกันให้มาก เมื่อก่อนการประชุมในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ขอบเขตหยกดิบทั่วไปยังไม่มีคุณสมบัติจะโผล่หน้ามาด้วยซ้ำ ต้องเป็นขอบเขตเซียนเหรินถึงจะปรากฏตัวได้ และมีเพียงเซียนกระบี่ผู้เฒ่าเท่านั้นที่ถึงจะเปิดปากพูดได้”

กู้เจี้ยนหลงรีบพยักหน้ารับทันที “ทราบแล้ว ข้าจะระวังให้มาก”

หนิงเหยาหันไปมองทางนอกประตูใหญ่ของศาลบรรพจารย์ “ยังไม่ทันถึงเจ็ดปี แต่ละคนก็ใจใหญ่กว่าแผ่นฟ้ากันแล้วหรือ?”

บรรยากาศเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียดอย่างถึงที่สุด

เติ้งเหลียงได้แต่ลุกขึ้นยืน อธิบายว่า “หากพวกเรายังมองผู้ฝึกลมปราณทุกคนของนครบินทะยานที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่เป็นศัตรูแฝง ถ้าอย่างนั้นสุดท้ายแล้วนครบินทะยานของพวกเราก็จะกลายเป็นพื้นที่โดดเดี่ยวของสำนักการทหารที่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูรอบด้าน หากพวกเรายังมองผู้ฝึกลมปราณทุกคนในใต้หล้าเป็นดั่งหมอนปักลายบุปผาที่พลังพิฆาตต่ำต้อย ถ้าอย่างนั้นพวกเราต้องเสียเปรียบอย่างหนัก จะถูกกองกำลังอื่นใช้กลยุทธยุแยงภายในตีประกบภายนอก ไม่ช้าก็เร็วพวกเราจะค้นพบว่าการถามกระบี่กับคนอื่นไม่ได้อยู่ที่กระบี่อีกต่อไป มีแต่จะเกิดเรื่องไม่คาดคิดมากมาย กระทั่งร่างดับมรรคาสลาย”

เติ้งเหลียงเพิ่มน้ำหนักเสียงเอ่ยต่ออีกว่า “ในใจคิดอย่างไร มือทำอย่างไร เป็นเรื่องสองเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หากผู้ฝึกกระบี่ของศาลบรรพจารย์พวกเราประมาทเช่นนี้จะไปพูดถึงผู้ฝึกกระบี่ฝ่ายนอกได้อย่างไร นี่จะไม่เป็นการทำตัวยโสโอหังมากไปหรอกหรือ? ชอบมองคนนอกทุกคนเหมือนหมูหมากาไก่ รู้สึกว่าชีวิตของคนอื่นไม่มีความสำคัญ ทุกคนที่ไม่ว่าจะควรฆ่าหรือไม่ควรฆ่าล้วนใช้กระบี่สังหารทิ้งทั้งหมด ถ้าอย่างนั้นข้าก็รู้สึกว่านครบินทะยานไม่ต้องไปช่วงชิงใต้หล้าอะไรแล้ว สามารถโชคดีหยัดยืนได้มั่นคงภายในเวลาร้อยปีก็ควรจุดธูปกราบไหว้ภาพแขวนในศาลบรรพจารย์ได้แล้ว ผู้ฝึกลมปราณใต้หล้าไพศาลเมื่อเทียบกับผู้ฝึกกระบี่ของนครบินทะยานแล้ว ขอบเขตไม่สูงพอ พลังพิฆาตไม่มากพอ แต่แล้วอย่างไรเล่า? การเข่นฆ่าบนภูเขามักวางแผนปัดแข้งปัดขา แผนการชั่วร้ายมีสารพัดรูปแบบ เส้นสายฝังไกลพันลี้ หยั่งรากลึกนานร้อยปี ดังนั้นถึงได้สามารถสังหารคนได้อย่างไร้ร่องรอย คำพูดประโยคนี้ไม่ใช่ว่าข้าเติ้งเหลียงพูดยุแยงปลุกปั่นอย่างแน่นอน!”

สุดท้ายเติ้งเหลียงกุมหมัดเอ่ยว่า “หากเป็นสำนักแห่งอื่นในใต้หล้าไพศาล ผู้ถวายงานคนหนึ่ง ถึงอย่างไรก็เป็นคนนอกครึ่งตัว คำพูดที่ล่วงเกินทุกคนเช่นนี้ อันที่จริงไม่ควรพูด การที่ข้ายังคงอดไม่ไหวพูดออกมาก็เพราะตำแหน่งที่เติ้งเหลียงได้ครอบครองมีค่าพอให้ข้ากล้าสาดน้ำเย็นใส่หน้าทุกคน!”

สุ่ยอวี้ผู้ฝึกกระบี่ของเรือนป้อจี้ลุกขึ้นยืนเอ่ยว่า “รับคำสั่งสอนแล้ว”

เกาเหย่โหวเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อนอย่างที่หาได้ยาก “ในใต้หล้าแห่งนี้ นครบินทะยานของพวกเราได้ครอบครองทั้งฟ้าอำนวย ดินอวยพรและคนสามัคคี ภายในเวลาหนึ่งร้อยปีในอนาคต ต่อให้ใจคนจะเป็นดั่งเม็ดทรายถาดหนึ่งที่กระจัดกระจาย แต่ก็จะไม่มีกองกำลังใดที่สามารถงัดข้อกับพวกเราได้ ทว่าหากคิดจะพัฒนาไปในระยะยาว ก็จะเป็นเหมือนอย่างที่ผู้ถวายงานเติ้งกล่าว เราจะต้องตั้งใจศึกษาข้อดีของผู้ฝึกลมปราณในใต้หล้าไพศาล เพื่อนำมาชดเชยข้อเสียของนครบินทะยานพวกเรา ถึงเวลานั้นพวกเราจะมีทั้งเวทกระบี่สูงส่งเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า แล้วก็จะยังมีวิธีการช่วงชิงอำนาจที่ไม่แพ้ให้กับใครที่ไหน นครบินทะยานถึงจะมีหวังได้ฮุบใต้หล้าแห่งนี้เพียงหนึ่งเดียว ไม่อย่างนั้นอีกร้อยปีให้หลัง ข้อเสียที่สั่งสมไว้ถูกเปิดเผยมาจนหมด แล้วค่อยเกิดความวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง นั่นก็จะสายไปแล้ว เมื่อสถานการณ์ใหญ่ผ่านไป ต่อให้นครบินทะยานจะยังคงมีเซียนกระบี่มากที่สุดก็ยังช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี”

นี่คือการพูดคุยอย่างสุขุมรอบคอบและมีประสบการณ์

ผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่ในศาลบรรพจารย์ต่างก็รู้สึกว่ามีเหตุผล

ฉีโซ่วเอ่ยคล้อยตามว่า “ผู้ฝึกกระบี่และใจคนจึงจะเป็นรากฐานในการหยัดยืนของนครบินทะยาน นอกจากนี้แล้ว ขอบเขตสูง พื้นที่อิทธิพลกว้างใหญ่ จำนวนคนมีมาก ล้วนเป็นเพียงข้อได้เปรียบบนหน้ากระดาษเท่านั้น”

เกาเหย่โหวพยักหน้ารับ “ภารกิจเร่งด่วนในตอนนี้ก็คือกลุ่มอิทธิพลสามสายอย่างสิงกวาน อิ่นกวานและจวนเฉวียนฝู่ของนครบินทะยานจะต้องขีดเส้นแบ่งให้ชัดเจน ลดความสิ้นเปลืองที่ไม่จำเป็น สามสายนี้นอกจากต้องรู้อย่างชัดเจนว่าควรทำอะไรแล้ว นอกจากนี้พวกเรายังสามารถทำอะไรได้ ไม่สามารถทำอะไรได้ ล้วนควรเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้ชัดเจนในใจ”

คำพูดประโยคนี้อันที่จริงถือว่าสายจวนเฉวียนฝู่ของเกาเหย่โหว ‘พูดผดุงความเป็นธรรม’ แทนสายสิงกวานแล้ว

มองดูเหมือนไร้เหตุผล แต่แท้จริงแล้วกลับเหมาะสมอย่างยิ่ง

คาดว่านี่ก็คือภาพรวมที่เกาเหย่โหวพูดถึง

เกาเหย่โหวร่างคำพูดมาไว้ก่อนแล้ว เขาจึงเริ่มบรรยายถึงอำนาจหน้าที่และเส้นแบ่งระหว่างสามสาย

ระหว่างนี้มีเซ่อโจวของสายสิงกวานเสนอความคิดเห็นที่แตกต่าง ส่วนสายอิ่นกวานก็มีสวีหนิงกับหลัวเจินอี้ที่มีความเห็นต่างออกไป

เพียงแต่ว่ามีการโต้เถียงโดยใช้อารมณ์ก่อนหน้านี้ปูเป็นพื้นฐาน ผู้ฝึกกระบี่ของสามสายในเวลานี้จึงพูดคุยกันไปตามเหตุการณ์ ต่อให้จะมีการโต้เถียงกันบ้างก็ยังมีท่าทางผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด

สุดท้ายทั้งสามฝ่ายพูดคุยเรื่องนี้กันจนได้ข้อสรุป เหลือแค่รายละเอียดอีกบางส่วนที่ต้องขัดเกลากันต่อเท่านั้น

หนิงเหยาไม่เอ่ยอะไรสักคำเดียว

เรื่องพวกนี้ยังคงเป็นพวกต่งปู้เต๋อ สวีหนิงที่จัดการได้ดีกว่า

ดังนั้นหนิงเหยาจึงคร้านจะพูดอะไรมาก

แต่ไหนแต่ไรมาหนิงเหยาก็ไม่ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านอยู่แล้ว รอกระทั่งนางจำเป็นต้องเข้ามายุ่ง นั่นก็หมายความว่านครบินทะยานเกิดปัญหาที่ไม่เล็กขึ้นแล้ว

คำพูดสรุปแบบตอกปิดฝาโลงของฉีโซ่วต่อจากนั้นไม่ต่างจากสายฟ้าที่ฟาดผ่าลงมาบนพื้นดินอย่างไม่ต้องสงสัย “นับแต่วันนี้ไป ความคิดของผู้ฝึกกระบี่นครบินทะยานที่อยากจะเหนือกว่าคนอื่นสามารถมีได้ แต่อย่าให้ชัดเจนเกินไปนัก ในศาลบรรพจารย์ คนที่ชอบใช้ขอบเขตสูงต่ำมาตัดสินเหตุผลเล็กใหญ่ก็ควรจะต้องเปลี่ยนนิสัยนี้สักหน่อย”

ทุกคนต่างพากันหันไปมองหนิงเหยาคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา

เพราะคำพูดประโยคนี้ของฉีโซ่วคล้ายจะมีความนัยพุ่งไปที่นาง

คาดไม่ถึงว่าหนิงเหยาจะพูดด้วยสีหน้าเป็นปกติว่า “วันหน้าหากผู้ฝึกกระบี่ของสายอิ่นกวานมีการกระทำที่ล้ำเส้นกฎเกณฑ์ใดๆ ก็ตาม สองสายอย่างสิงกวานและจวนเฉวียนฝู่ล้วนสามารถใช้กฎลงโทษโดยข้ามข้าไปได้โดยตรง อีกทั้งทุกครั้งที่มีการลงโทษ ต้องลงโทษสถานหนักอย่างเดียวเท่านั้น”

นี่ทำให้ทุกคนทั้งประหลาดใจ แล้วก็ทั้งโล่งอก

ที่น่าแปลกก็คือผู้ฝึกกระบี่ของสายอิ่นกวานทุกคนกลับมีสีหน้าราบเรียบ ไม่มีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจแม้แต่น้อย

หนิงเหยาเชื่อใจผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานทุกคน

นอกจากนี้ก็เพราะนางคิดถึงว่าเวลาสั้นๆ อีกไม่กี่ปี หรืออย่างมากสุดก็อีกแค่ไม่กี่สิบปี หากนางไม่ไปหาเขา ก็ต้องเป็นเขาที่มาที่นี่ ถึงเวลานั้นก็ให้เขามายุ่งวุ่นวายเอาเองแล้วกัน

นางไม่ยินดีจะมาคบค้าสมาคมกับเรื่องพวกนี้ ถึงอย่างไรเขาก็ถนัดจะทำเรื่องพวกนี้ที่สุด

แล้วนับประสาอะไรกับที่ขนบธรรมเนียม กฎเกณฑ์ เหตุผลของคฤหาสน์หลบร้อน เดิมทีก็เป็นเขาที่สร้างขึ้นมากับมืออยู่แล้ว

วันหน้าเค่อชิงและผู้ถวายถวานงานที่ได้รับการบันทึกชื่อและไม่ได้รับการบันทึกชื่อ รวมไปถึงคนต่างถิ่นที่บ้างก็มาหาประสบการณ์ บ้างก็มาตั้งรกรากถิ่นฐานอยู่ที่นี่ ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องมีมากขึ้นเรื่อยๆ

นครบินทะยานจะค่อยๆ กลายเป็นสถานที่ที่ปลาและมังกรปะปนกัน

ความขัดแย้งระหว่างคนต่างถิ่นกับผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของนครบินทะยาน บ้างก็ในที่ลับ บ้างก็ในที่แจ้ง มีแต่จะสะสมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังจะแว้งกลับมาส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของนครบินทะยาน ความซับซ้อนของใจคนจะยิ่งกลายเป็นปัญหามากกว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีตอีกด้วย

บทใจคนในตำราของคฤหาสน์หลบร้อนเล่มนั้นได้ป่าวประกาศเรื่องนี้มานานแล้ว ในเมื่อเลือกที่จะใช้เส้นทางใหม่เอี่ยมนี้ก็ได้แต่เดินไปหนึ่งก้าวหันกลับมามองก้าวหนึ่ง ทำผิดก็แก้ไข ทุกๆ ความผิดไม่เพียงแต่ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร กลับยังกลายเป็นผลเก็บเกี่ยวชนิดหนึ่ง คนผู้นั้นพูดอย่างมั่นใจว่า ขอแค่พวกเราใช้วิธีการโง่ๆ อย่างการแก้ไขความผิดพลาดเล็กๆ อย่างต่อเนื่องจนกระทั่งสุดท้ายไม่มีความผิดใหญ่ ใจคนก็จะไม่มีทางวุ่นวายแน่

อย่าได้เลียนแบบภูเขาอักษรจงทั้งหลายของใต้หล้าไพศาลที่ใช้ความสามารถส่วนใหญ่ไปกับการปกปิดความผิด ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่พวกเราจะต้องมีความกล้าและศักยภาพมากพอที่จะแก้ไขความผิดให้เป็นความถูกต้องได้

ด้านหลังประโยคนี้ในหนังสือ คนผู้นั้นเพิ่มสองคำว่า ‘แน่นอน’ ซ้ำอีกรอบ พู่กันที่ตวัดเขียนเน้นหนักจนทะลุหลังกระดาษ

เมื่ออำนาจที่กุมอยู่ในมือใหญ่ขึ้น ส่วนใหญ่แล้วความยโสโอหังก็จะเพิ่มมากขึ้น

ในเมื่อผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่มีศัตรูคู่อาฆาตตัวฉกาจอย่างใต้หล้าเปลี่ยวร้างอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นศัตรูที่แท้จริงก็มีเพียงตัวเองเท่านั้น ดังนั้นหลังจากนี้ไปจะต้องตั้งใจฝึกฝนจิตใจให้มาก

การประชุมในห้องโถงของศาลบรรพจารย์ ขอแค่มีจุดเริ่มต้นคือทำไปเพื่อนครบินทะยาน ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของสายอิ่นกวานก็จะต้องยอมให้มีคนที่พูดจาไม่น่าฟัง ยอมให้มีคนตบโต๊ะด่ามารดา คนประเภทนี้เมื่อออกไปจากประตูใหญ่ของศาลบรรพจารย์แล้วต้องไม่มีทางถูกผู้อื่นอาฆาตแค้น ยิ่งไม่มีทางถูกตั้งแง่รังเกียจอย่างแน่นอน

เมื่อเป็นเช่นนี้ นานวันเข้า ถ้าอย่างนั้นศาลบรรพจารย์มีหรือไม่มีเซียนกระบี่ จำนวนเซียนกระบี่มากมายเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าหรือไม่ ความหมายก็ไม่มากอีกแล้ว

ยังต้องให้เด็กทุกคนที่เติบโตในนครจดจำผู้อาวุโสที่เป็นผู้ฝึกกระบี่เอาไว้ แล้วก็ต้องจำผู้ฝึกกระบี่ที่มาจากใต้หล้าไพศาลเอาไว้ ต้องจดจำทั้งสองฝ่ายไว้ให้ขึ้นใจ อาศัยโรงเรียนแต่ละแห่ง อาศัยอาจารย์แต่ละท่านมาสั่งสอนพวกเขาว่าอะไรคือผู้ฝึกกระบี่ แล้วเซียนกระบี่ที่แท้จริงนั้นมีมาดอย่างไร

บนหน้าสุดท้ายของตำราสอดกระดาษไว้หนึ่งแผ่น อิ่นกวานหนุ่มที่เคยชินกับการเขียนตัวอักษรแบบบรรจง เขียนประโยคหนึ่งลงไปด้วยตัวอักษรแบบหวัดอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ‘ทำให้เจ้าเสียสมาธิ หาใช่ความต้องการของข้า’

กวอจู๋จิ่วเป็นคนแรกที่เปิดอ่านตำราแล้วเจอกระดาษแผ่นนี้ นางเดินอาดๆ ถือกระดาษไปขอความดีความชอบจากอาจารย์แม่ ผลคือหนิงเหยารับกระดาษมาแล้ว กวอจู๋จิ่วที่น่าสงสารก็ถูกเคาะหน้าผากปึงๆๆ สามที

หนิงเหยาเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยเสริมอีกว่า “ส่วนข้อที่ว่าข้าจะออกกระบี่เมื่อไหร่ จะออกที่ไหน ใครจะลองมาขวางดูก็ได้”

กวอจู๋จิ่วยกมือขึ้นปรบกันอย่างรวดเร็ว แต่ฝ่ามือไม่กระทบโดนกัน เป็นการปรบมือแบบไร้เสียงที่ต้องใช้ทักษะสูงมาก

แต่พอหนิงเหยาที่เป็นผู้นำพาสายของอิ่นกวานให้ถอยก้าวใหญ่โดยที่มองไม่เห็นเอ่ยประโยคนี้ออกมาแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้คนรู้สึกอารมณ์หนักอึ้ง กลับกันยังเป็นความรู้สึกคุ้นเคยที่…ไม่ได้สัมผัสมานาน

ราวกับว่ามีหนิงเหยาอยู่ ให้นางเป็นคนพูดประโยคนี้กลับยิ่งพิสูจน์ได้ว่านครบินทะยานในทุกวันนี้ยังคงเป็นกำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีต

ยังคงเป็นกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ เซียนกระบี่มีมาดสง่างามที่สุด

ยังคงเป็นบ้านเกิดที่ผู้ฝึกกระบี่ของทั้งเมืองต้านทานเผ่าปีศาจของใต้หล้าหนึ่งแห่ง

หลังจากหนิงเหยาเอ่ยจบแล้วก็รับฟังเรื่องที่ประชุมกันต่อพลางแบ่งสมาธิปล่อยความคิดล่องลอยไปคิดเรื่องอื่นด้วย

ทุกวันนี้นางค่อนข้างสนใจการรับมือกับผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่มีประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัด นั่นก็คือหลิวไฉที่ได้เลื่อนขั้นอยู่ในอันดับคนรุ่นเยาว์สิบคนในหลายใต้หล้าเช่นกัน

คนผู้นี้ได้ครอบครองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สองลูก ใช้ ‘ซินซื่อ’ มาหล่อเลี้ยงกระบี่บิน ‘ปี้ลั่ว’ ใช้น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ‘ลี่จี๋’ มาหล่อเลี้ยงกระบี่บิน ‘ป๋ายจวี’

ดังนั้นคนผู้นี้ต่างหากถึงจะเป็นคนนอกเพียงคนเดียวที่หนิงเหยาค่อนข้างให้ความสนใจ ไม่ใช่เพราะคำกล่าวที่ว่า ‘ผู้ที่จะช่วงชิงกับหนิงเหยาในขอบเขตเดียวกันได้ มีเพียงหลิวไฉในอีกร้อยปีให้หลังเท่านั้น’

แต่เป็นเพราะวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินสองเล่มของหลิวไฉแปลกประหลาดเกินไป ลางสังหรณ์ของนางบอกว่ามันจงใจตั้งตัวเป็นศัตรู หรือถึงขั้นสามารถพูดได้ว่ามันมีไว้เพื่อกำราบเฉินผิงอันโดยเฉพาะ

กระบี่บินป๋ายจวีมองข้ามแม่น้ำแห่งกาลเวลา สยบกำราบนกในกรงของเฉินผิงอัน

กระบี่บินปี้ลั่ว หนึ่งกระบี่ทำลายหมื่นกระบี่ เล่นงานดวงจันทร์ในบ่อของเฉินผิงอันได้พอดี

หนิงเหยาขมวดคิ้วน้อยๆ

ฉีโซ่วพูดถึงเรื่องพากลุ่มคนออกเดินทางไกลไปหาประสบการณ์ เพราะถึงอย่างไรเมื่อไม่มีกำแพงเมืองปราณกระบี่ ความเร็วในการเติบโตของผู้ฝึกกระบี่ก็จะต้องช้ากว่าเดิมมากๆ

และยังมีเรื่องที่ต้องแทรกสายลับไว้ทางทิศเหนือและทิศใต้สองแห่ง เพื่อรวบรวมกองกำลังของภูเขาภายนอกมาเป็นพรรคพวก

รวมไปถึงเรื่องของการเลือกตัวอ่อนผู้ฝึกยุทธ แล้วยังต้องแบ่งลำดับศักดิ์สูงต่ำให้กับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวหกสิบคนของนครบินทะยานในตอนนี้ด้วย หากคิดจะให้มีการสืบทอดที่เป็นลำดับขั้นตอนอย่างแท้จริง เรื่องบางอย่างที่มองดูเหมือนเป็นพิธีการยิบย่อยย่อมไม่อาจขาดได้

ส่วนเรื่องของการอบรมปลูกฝังสายลับเดนตาย เรื่องนี้สำคัญอย่างมาก นี่จะเกี่ยวพันไปถึงความเป็นไปได้ในการเปิดสายอีกสายหนึ่ง

หรือไม่ก็ให้ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานทำหน้าที่รับผิดชอบอย่างเต็มที่ อาศัยสิ่งนี้มาเพิ่มอำนาจให้กับตัวเองอีกส่วนหนึ่ง

สำหรับเรื่องนี้ฉีโซ่วตัดสินใจมาไว้นานแล้ว หลังจากเสนอเรื่องนี้ขึ้นมาก็พูดตามตรงว่า “เรื่องนี้มอบให้สายอิ่นกวานรับผิดชอบก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นลำพังเพียงแค่การตรวจตราดูแลนครบินทะยานจะเป็นการเอาคนมีความสามารถมาใช้ในงานที่เล็กเกินไป”

เติ้งเหลียงพยักหน้ารับเบาๆ

เป็นสิงกวานก็ควรจะใจกว้างเช่นนี้

ทั้งสามารถป้องกันไม่ให้สายอิ่นกวานหาข้อจับผิดสายสิงกวาน ทุกวันคล้ายว่าทั้งสองฝ่ายเอาแต่เบิกตาจ้องมองกันไปมา เป็นเหตุให้สิ้นเปลืองพลังไปกับความขัดแย้งภายในมากเกินจำเป็น ยังสามารถให้ผู้ฝึกกระบี่คฤหาสน์หลบร้อนที่คุ้นเคยกับเรื่องรายงานและการดำเนินการด้านศึกสงครามที่สุดปลดปล่อยฝีมือได้อย่างเต็มที่ ช่วยให้นครบินทะยานได้มองเห็นใต้หล้าทั้งแห่งอย่างแท้จริง

ผ่านการประชุมในศาลบรรพจารย์วันนี้ไป เติ้งเหลียงก็ยิ่งเข้าใจในตัวฉีโซ่ว เกาเหย่โหว รวมไปถึงผู้ฝึกกระบี่สามคนซึ่งมีเซ่อโจวเป็นหนึ่งในนั้นที่ตำแหน่งฐานะเพิ่มขึ้นสูงเรื่อยๆ ได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น

ในสายตาของเติ้งเหลียง บางทีผู้ฝึกกระบี่ที่ได้ครอบครองวิชาอภินิหารเฉพาะของสำนักตัวเองอย่างเซ่อโจว สุ่ยอวี้ เยี่ยนเจินสามคนนี้ ตัวพวกเขาเองอาจจะยังไม่รู้ว่า ภูเขาลูกเล็กที่มีศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักสามคนลูกนี้ บวกกับก่อกำเนิดผู้เฒ่าอีกสองคน อันที่จริงเป็นบุคคลสำคัญที่คล้ายคลึงกับกรมขุนนางครึ่งหนึ่งบวกกับกรมกลาโหมอีกครึ่งหนึ่งแล้ว อีกทั้งเมื่อเทียบกับผู้เฒ่าสองคนแล้ว เซ่อโจวสามคนหนุ่มกว่า ความสำเร็จบนมหามรรคาก็สูงยิ่งกว่า

ดังนั้นหากมีโอกาสเติ้งเหลียงจะต้องไปดื่มเหล้ากับพวกเขาสามคนแน่นอน