บทที่ 1950 เพียงเพื่อกระเป๋าหนึ่งใบ + ตอนที่ 1951 เธอโง่เองอย่าไปโทษคนอื่น

ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น

ตอนที่ 1950 เพียงเพื่อกระเป๋าหนึ่งใบ

ต่อให้เซียวเวยไม่เต็มใจแต่เธอก็ต้องยอมทำตามอย่างเชื่อฟัง

เซียวจิ่งหมิงพูดแล้วว่าถ้าหากเธอไม่เชื่อฟังเหมยเหมยวันหลังก็อย่าคิดว่าจะได้เงินจากตระกูลเซียวอีก ตอนนี้เธอเป็นผู้ใหญ่แล้ว หากว่ากันตามกฎหมายตระกูลเซียวไม่มีภาระผูกพันที่จะต้องส่งเสียเลี้ยงดูเธออีก การให้เงินคือการแสดงความรักในครอบครัว ต่อให้จะไม่ให้เงินกฎหมายก็ทำอะไรไม่ได้

เซียวเวยเคยชินกับชีวิตที่ฟุ่มเฟือย ถ้าเซียวจิ่งหมิงตัดรายได้ของเธอจริง ๆ แล้วเธอจะใช้ชีวิตอย่างไร!

เซียวจิ่งหมิงรู้จักธาตุแท้ของน้องสาวคนนี้ดี ยื่นคำขาดไปก็ทำเอาเซียวเวยยอมจำนนอย่างง่ายดายแล้ว

“จ้าวเหมย โอหยางซานซานให้ฉันทำแบบนี้เพราะเขาให้กระเป๋าชาแนลฉันหนึ่งใบ ฉันชอบมันมากก็เลยทำเรื่องโง่ ๆลงไป อันที่จริงฉันวางแผนไว้ว่าจะลบกระทู้วันนี้ จริง ๆนะ…เธอเชื่อฉันนะ!”

เซียวเวยไม่ต้องการโพสต์จดหมายขอโทษในกระทู้ของมหาวิทยาลัยให้สาธารณชนรับรู้ แถมยังต้องโพสต์เป็นเวลาสามวันติดต่อกัน ถึงอย่างไรเธอก็เป็นคนดังในมหาวิทยาลัย ถ้าหากต้องโพสต์จดหมายขอโทษจริง ๆเธอยังจะเหลือศักดิ์ศรีอะไรอีกเล่า?

เพื่อนร่วมชั้นและเพื่อน ๆจะต้องหัวเราะเยาะเธอแน่ ๆ!

นี่ไม่ต่างจากที่เหมยเหมยคาดคิดไว้เพราะเธอเดาออกนานแล้วว่าต้องเป็นอู่เยวี่ย เมื่อก่อนโอหยางซานซานและเซียวเวยเคยเป็นเพื่อนสนิทกัน หลังจากไปต่างประเทศความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนก็ค่อย ๆห่างกันไป แต่คนอย่างอู่เยวี่ยจะปล่อยเซียวเวยไปเหรอ?

คนที่เกิดมาเป็นคนโง่เพื่อช่วยบังกระสุนแทนคนอื่น!

“เพียงแค่เพื่อกระเป๋าชาแนลหนึ่งใบเธอถึงขนาดกล้าหาเรื่องฉันเลยเหรอ? เซียวเวย หรือว่าเธอคิดว่าฉันใจดีมากใช่ไหม?” เหมยเหมยส่งเสียงเยาะเย้ยแล้วสะบัดฝ่ามือตบไปโดยไม่คิดทันที

เวลานี้พวกเธออยู่ที่ชั้นล่างของหอพัก ตอนเที่ยงมีนักศึกษาเข้าออกพลุกพล่านดังนั้นการตบของเหมยเหมยจึงดึงดูดจำนวนคนไม่น้อย

คนหนึ่งก็อดีตดาวมหาวิทยาลัย อีกคนก็ดาวมหาลัยคนปัจจุบัน อีกอย่างกระแสของโพสต์นั้นก็ยังไม่จบจึงมีคนมามุงดูมากขึ้นเรื่อย ๆ

เซียวเวยปิดใบหน้าของเธอและมองไปที่เหมยเหมยอย่างเหลือเชื่อ “แกกล้าตบฉัน? แก…”

“เพี๊ยะ”

เหมยเหมยตบอีกครั้ง ช่วงนี้มีเรื่องแย่ ๆมากเกินไปจนเธอไม่มีที่ให้ระบายความโกรธเลย ตอนนี้เซียวเวยมาหาถึงที่ก็ไม่ใช่เพื่อให้เธอระบายอารมณ์เหรอ?

“ฉันตบเธอแล้วจะทำไมเหรอ? เพราะเธอมันสมควรโดนไง เพียงเพื่อกระเป๋าชาแนลใบเดียวเธอถึงขนาดโพสต์กระทู้บนเพจมหาวิทยาลัยเพื่อใส่ร้ายว่าฉันเป็นเมียน้อย เซียวเวย ฉันควรจะพูดว่าเธอฉลาดเกินไปหรือโง่เกินไปดีนะ?”

เหมยเหมยด่าด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทุกคนได้ยินเต็มสองหูและตอนนี้เองถึงได้ถึงบางอ้อ

ที่แท้ฮวาจิงหลิงก็คืออดีตดาวมหาวิทยาลัยเซียวเวยนี่เอง!

จุ๊ ๆ ที่แท้คนเราจะมองเพียงหน้าตาภายนอกไม่ได้จริง ๆ รุ่นพี่เซียวเวยที่มักจะใจดีและอ่อนโยนต่อหน้าผู้คน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นคนต่ำทรามแบบนี้?

อีกอย่างเมื่อวานนี้ฮวาจิงหลิงยังปฏิเสธว่าเธอไม่ใช่เซียวเวย แต่วันนี้ถูกดาวมหาวิทยาลัยตบหน้าหัน นี่ช่างน่าอับอายขายขี้หน้าชะมัด!

“จ้าวเหมย…เธออย่าทำเกินไปนักเลย ฉันขอโทษเธอแล้วไง เธอยังจะเอายังไงอีก?” เซียวเวยตวาดเสียงดัง

เธอไม่รู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองโพสต์จะเป็นความผิดใหญ่โตอะไรเลย ก็แค่เมียน้อยคนหนึ่งไม่ใช่เหรอ? ยุคสมัยนี้การเป็นเมียน้อยก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แถมโอหยางซานซานยังบอกอีกว่าเดิมทีคุณชายหมิงชอบอู่เยวี่ยพี่สาวของจ้าวเหมย แต่จ้าวเหมยกลับแย่งคุณชายหมิงไป

แล้วมันแตกต่างอะไรกับเมียน้อย?

“ฉันพูดแล้วนะว่าเขียนจดหมายขอโทษลงในเพจมหาวิทยาลัยให้สาธารณชนได้รับรู้เป็นเวลาสามวันติดกัน หากทำไม่ได้งั้นก็รอจดหมายจากทนายความของฉันแล้วกัน พวกเราเจอกันที่ศาล!” เหมยเหมยมองไปที่เซียวเวยที่กำลังร้องไห้อย่างเย็นชา

ถ้าหากขอโทษแล้วมีประโยชน์ งั้นจะมีตำรวจไว้ทำไม?

ประโยคนี้พูดถูกต้องเหลือเกิน สำหรับคนสารเลวอย่างเซียวเวยคุกก็เป็นสถานที่ดีสำหรับเธอเช่นกัน

เพียงแต่น่าเสียดายที่เธอเป็นลูกสาวของอาจารย์เซียวถึงอย่างไรก็ต้องไว้หน้าบ้าง เธอจะโหดเหี้ยมไร้ความปรานีไม่ได้

เซียวเวยทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ เธอร้องไห้พลางสบถด่าออกมาว่า “ฉันพูดไม่ผิดสักหน่อย โอหยางซานซานบอกฉันว่า คุณชายหมิงคือคนที่เธอแย่งมาจากพี่สาวของเธอ ถึงแม้ตอนนั้นคุณชายหมิงจะยังไม่ได้แต่งงานกับพี่สาวของเธอ แต่พวกเขาก็ต่างชอบพอกันอยู่ มีความรู้สึกดี ๆให้กันแต่เธอกลับแทงข้างหลังแล้วแย่งคุณชายหมิงไปจนทำให้พี่สาวของเธอเป็นบ้า หลังจากนั้นเธอก็กระโดดตึกตาย หรือว่าเธอไม่รู้สึกละอายใจต่อความผิดชอบชั่วดีของตัวเองเลยเหรอ?”

……………………………………………..

ตอนที่ 1951 เธอโง่เองอย่าไปโทษคนอื่น

นักศึกษาที่มุงล้อมอยู่เผลอสูดปากกันถ้วนหน้า โอ้โฮ…ข่าวร้อนแรงจัง!

ดาวมหาวิทยาลัยมีพี่สาวอีกหนึ่งคนแถมยังเป็นผู้ป่วยทางจิตอีกด้วยหรือนี่?

แล้วยังผิดหวังจากความรักถึงขั้นกระโดดตึกฆ่าตัวตายอีก?

นี่รู้สึกเหมือนกำลังดูละครน้ำเน่าอยู่เลยนะเนี่ย!

เหมยเหมยเบิกตากว้างฉับพลันพลางมองเซียวเวยอย่างไม่เชื่อหู โอ้โฮ…นี่คงเป็นตัวอย่างของคนที่มีสมองหมูอย่างแท้จริงสินะ?

ถ้อยคำเหลวไหลของอู่เยวี่ยแม้แต่เด็กอายุสามขวบยังไม่เชื่อแต่หมูตัวนี้กลับเชื่อเสียอย่างนั้น

“อย่างแรกฉันต้องขอชี้แจงประเด็นแรกก่อนว่าฉันไม่มีพี่สาว พ่อแม่ฉันมีลูกสาวคนเดียวก็คือฉัน คนที่ป่วยทางจิตแล้วกระโดดตึกฆ่าตัวตายที่เธอว่าคืออู่เยวี่ยสินะ? หล่อนไม่ใช่พี่สาวของฉัน หล่อนเป็นศัตรูของฉัน ระหว่างฉันกับหล่อนมีความแค้นมากถึงขั้นอยู่ใต้ผืนฟ้าเดียวกันไม่ได้ด้วยซ้ำ”

เหมยเหมยพูดเสียงเล็ดลอดไรฟันฉายชัดถึงความแค้นเคืองที่มีต่ออู่เยวี่ยมากจนทำเอานักศึกษาละแวกนั้นต่างรู้สึกกันอย่างถ้วนหน้า ทั้งยังนึกสงสัยในตัวอู่เยวี่ยว่าเป็นผู้วิเศษมาจากไหน แล้วทำอะไรดาวมหาวิทยาลัยไปบ้างถึงได้สร้างความแค้นใจให้เธอนัก?

“อย่างที่สองอู่เยวี่ยไม่เคยรักกับคู่หมั้นฉันมาก่อน ฉันรู้จักคู่หมั้นฉันตั้งแต่อายุสิบสองปีจนกระทั่งตอนนี้เราสองคนต่างรักกันดี คู่หมั้นฉันเคยคุยกับอู่เยวี่ยแค่ไม่กี่ประโยคแล้วพวกเขาจะรักกันได้อย่างไร? ถ้าพวกเธอไม่เชื่อเรื่องพวกนี้เธอลองไปตามสืบที่โรงเรียนอีจงที่เมืองจินก็ได้ ดูสิว่าฉันพูดโกหกหรือเปล่า?”

“อย่างที่สามเรื่องที่อู่เยวี่ยป่วยทางจิตไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับฉันสักนิดเดียว นั่นเป็นโรคที่ถ่ายทอดต่อกันมาทางพันธุกรรมของเธอเอง เพราะแม่ของอู่เยวี่ยป่วยทางจิตเหมือนกันและเคยฆ่าคนตอนที่อาการกำเริบมาก่อน แม่ของอู่เยวี่ยฆ่าสามีคนที่สองและลูกเลี้ยงของเธอ ตอนโรคของอู่เยวี่ยกำเริบก็เคยฆ่าแม่แท้ ๆของเธอจากนั้นเธอก็กระโดดตึกฆ่าตัวตาย ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฉันเลยตั้งแต่แรก”

ทุกคนพลันรู้สึกเสียวสันหลังวาบในทันที อู่เยวี่ยแปลงร่างมาจากมารร้ายหรือเปล่า?

แม้แต่แม่แท้ ๆยังกล้าฆ่าได้ลงคอ นี่มันไม่ใช่คนแล้ว!

แน่นอนว่าแม่แท้ ๆของเธอก็ไม่ใช่คนดีอะไรเช่นกัน โรคจิตที่ถ่ายทอดต่อกันมาทางพันธุกรรมนี่ช่างน่าเหลือเชื่อเสียจริง แต่โชคดีที่ตายไปแล้ว ไม่อย่างนั้นหากมีลูกหลานที่ป่วยทางจิตอีกคนก็เท่ากับทิ้งตัวหายนะไว้ไม่ใช่หรือไง?

เซียวเวยกลับไม่เชื่อพลางส่ายศีรษะแรง ๆ “ไม่ใช่แบบนี้ โอหยางซานซานไม่ได้บอกฉันว่าเป็นแบบนี้…”

เหมยเหมยแค่นหัวเราะ “นั่นก็โทษได้แค่ว่าเธอโง่เอง สิ่งที่ฉันพูดไปคือความจริงทั้งหมด เรื่องพวกนี้เธอสามารถไปตามสืบความจริงได้ที่เมืองจิน คดีลูกฆ่าแม่ที่เป็นข่าวโด่งดังในเมืองจินเมื่อสี่ปีก่อนตอนนี้ต้องมีคนที่จำได้อยู่แล้ว พวกเธอลองไปตามสืบได้ตามสบายเลย!”

“ฉันยืนยันได้ ตอนนั้นเคยเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นจริง ๆ ฉันกับรุ่นพี่จ้าวจบจากโรงเรียนอีจงที่เมืองจินเหมือนกัน ฉันเป็นรุ่นน้องรุ่นพี่จ้าวหนึ่งปี เรื่องเมื่อสี่ปีก่อนน่ากลัวมากจนถึงตอนนี้ยังมีคนพูดถึงอยู่เลย!”

นักศึกษาสาวหน้าตาน่ารักที่มีใบหน้ากลมก้าวออกมาเอ่ยเสียงดังเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เหมยเหมยพูดเป็นความจริง

พอมีคนหนึ่งก้าวออกมาก็จะมีคนที่สองตามมา นักเรียนจบจากเมืองจินอีกหนึ่งคนก็ก้าวออกมาช่วยยืนยันอีกเสียง “ฉันก็รู้เรื่องนี้เหมือนกัน ฉันเองก็จบจากโรงเรียนอีจงเหมือนกัน อู่เยวี่ยกับรุ่นพี่จ้าวเป็นนักเรียนของอีจงทั้งคู่ ส่วนโอหยางซานซานที่รุ่นพี่เซียวพูดถึงก็เป็นนักเรียนของอีจงแต่เป็นรุ่นพี่ของฉันสองปี แต่รุ่นพี่โอหยางลาออกไปเรียนต่อต่างประเทศหลังจากเรื่องที่จ้างมือปืนมาช่วยเขียนหนังสือถูกเปิดโปง”

เหมยเหมยก้มศีรษะอมยิ้มเป็นเชิงขอบคุณให้รุ่นน้องทั้งคู่น้อย ๆทำเอาหญิงสาวน่ารักทั้งสองหน้าแดงระเรื่อและรู้สึกดีใจอย่างมาก

รุ่นพี่จ้าวเป็นไอดอลของพวกเธอเชียวนะ!

ตอนนี้สามารถช่วยเหลือรุ่นพี่จ้าวได้อย่าให้ต้องพูดถึงเลยว่าพวกเธอจะมีความสุขขนาดไหน!

ตอนนี้แนวโน้มสถานการณ์ชัดเจนแล้วว่าเซียวเวยกำลังใส่ร้ายขณะที่ดาวมหาวิทยาลัยอย่างจ้าวเหมยพูดมีหลักฐานเป็นไปตามเหตุและผล ทั้งยังมีพยานบุคคลคอยยืนยันความจริงให้อีกเสียง เมื่อความจริงเปิดเผยแม้แต่คนโง่ยังรู้ว่าควรเชื่อใคร

เหมยเหมยเน้นย้ำอีกที “เซียวเวย เธอโง่เองจะโทษคนอื่นไม่ได้นะ นี่ฉันเห็นแก่อาจารย์เซียวหรอก นับว่าฉันใจกว้างกับเธอมากแล้ว สามวันห้ามขาดและเริ่มจับเวลาตั้งแต่วันนี้ ฉันจะรอนะ!”

……………………………