ภาคกลางของใบถงทวีป
เดิมทีควรเป็นช่วงเวลาอากาศดีที่ฝนชุ่มฉ่ำพร่างพรมไปร้อยหุบเขา ชำระล้างพื้นดินให้สะอาดแจ่มใส น่าเสียดายที่ยังคงเป็นเหมือนกับปีก่อน ต้นทูนที่ก่อนฝนตกเนื้ออ่อนนุ่มเหมือนผ้าไหมกลับไร้คนมาเก็บ ภูเขาต้นชาจำนวนนับไม่ถ้วนที่เต็มไปด้วยสีเขียวขจีสดปลั่งก็ยิ่งเริ่มเปลี่ยนมาเป็นเปลี่ยวร้าง พืชหญ้าขึ้นรกชัฏ บ้านเรือนของคนมากมายที่ไม่ว่าจะยากดีมีจน กลับไม่ได้กลิ่นของใบชาฤดูใบไม้ผลิก่อนที่ฝนจะตกเลยแม้แต่น้อย
แคว้นเป่ยจิ้นสงบสุขมานานเกินไป เมื่อเทียบกับพื้นที่ของตลอดทั้งแคว้นยังโชคร้ายกลายเป็นสถานที่ที่สำนักการทหารต้องช่วงชิงมาให้ได้ เมื่อก่อนมีทะเลสาบซงเจินแปดร้อยลี้กับจวนเทพภูเขาจินหวงกั้นขวางกองทัพม้าเหล็กชายแดนตระกูลเหยาของราชวงศ์เฉวียนเอาไว้ ก็นับว่ายังปลอดภัยดี จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์วิปโยค ไม่ว่าจะแผนการสร้างความแยกแตก หรือการอุทิศตัวเพื่อปกครองบ้านเมืองล้วนเป็นเพียงฝุ่นควันที่ลอยผ่านไป ทุกวันนี้แคว้นเป่ยจิ้นไม่ใช่แคว้นอีกแล้ว ขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้มีแต่ซากปรักแตกพังไม่เหลือสภาพดี หนันฉีที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของราชวงศ์ต้าเฉวียนก็ไม่ได้ดีกว่าเป่ยจิ้นสักเท่าไร สุดท้ายเหลือเพียงราชวงศ์ต้าเฉวียนที่ฮ่องเต้ไม่เคยปรากฏตัว ปล่อยให้อ๋องเจ้าเมืองเป็นผู้สำเร็จราชการแทน และฮองเฮาเป็นผู้ว่าราชการหลังม่านที่ยังคงเปิดศึกเข่นฆ่ากับกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจซึ่งมาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แต่กระนั้นก็ยังไม่มีโอกาสชนะ ต้องถอยร่นก้าวแล้วก้าวเล่า กองทัพชายแดนตระกูลเหยาแห่งต้าเฉวียนไม่เหลือใครรอดชีวิต
เมืองหลวงเก่าของหนันฉีได้กลายเป็นพื้นที่ตั้งค่ายทัพของกระโจมทัพภูเขาทัวเยว่ไปแล้ว และราชวงศ์ต้าเฉวียนก็สูญเสียดินแดนไปแล้วเกินครึ่ง ทหารชายแดนบาดเจ็บล้มตายกันไปสิ้น กองกำลังประจำเขตต่างๆ จึงได้แต่ถอยมาเฝ้าพิทักษ์เมืองหลวง ว่ากันว่ารอให้ยึดครองเมืองเซิ่นจิ่งที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งทวีปได้แล้ว กระโจมทัพถึงจะย้ายไปที่อื่น
กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ในอดีตได้ขึ้นบกมาจากทะเลตะวันตกของใบถงทวีป กระโจมทัพสามสิบกว่าแห่งมีเป้าหมายต่างกันไป ทุกฝ่ายทำไปตามลำดับขั้นตอน เป็นฝ่ายไปโจมตีภูเขาตระกูลเซียนที่หยั่งรากลึกทั้งหลาย โดยภาพรวมแล้วเป็นการผลักดันขยับขยายไปตามแนวเส้นสองเส้นคือจากตะวันออกไปตะวันตก และจากใต้ไปเหนือ สำหรับราชวงศ์ แคว้นใต้อาณัติของโลกมนุษย์รายทางที่ต้องผ่านกลับไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก ก็แค่ใช้กระแสน้ำท่วมกลบทับ ทำลายให้เสียหายย่อยยับเท่านั้น ไม่มีการประกาศให้ข้าศึกยอมจำนน ไม่มีการบำรุงปลอบขวัญใดๆ เมืองแตกคนตาย จากนั้นก็ให้ผู้ฝึกตนที่เป็นปีศาจใหญ่ใต้บังคับบัญชาของปีศาจใหญ่ป๋ายอิ๋งบนบัลลังก์กระดูกทำการหล่อหลอมขึ้นเป็นกองทัพกระดูกขาว ใช้คนตายฆ่าคนเป็น สุดท้ายล้วนมีแต่คนตาย
ขุนเขาสายน้ำเก่าของแคว้นเป่ยจิ้น บนทะเลเมฆสีทองผืนใหญ่ที่ส่องแสงระยิบระยับใต้แสงอาทิตย์ส่อง สายรุ้งหกเส้นพลันมาหยุดลอยตัว จากนั้นจึงร่วงดิ่งลงไปยังพื้นดินด้านล่างอย่างว่องไว
ลมแรงบนฟากฟ้าพัดให้ผมตรงจอนหูของคนทั้งหกปลิวไสว เผยให้เห็นใบหน้าของคนหนุ่มสาว ชายหญิงอย่างละสามคน
พอพวกเขาแหวกทะเลเมฆให้ทะลุเป็นรูได้แล้ว การมองเห็นก็พลันเปิดกว้าง
คนหนึ่งในนั้นคือบุรุษชุดดำที่รัดมวยผมด้วยผ้าแพรต่วนสีขาวหิมะ
เมื่อหล่นจากฟ้าลงมายังโลกมนุษย์จึงดูเหมือนเจ๋อเซียนมากที่สุด
เบื้องล่างทะเลเมฆคือมหานครใหญ่โตโอฬารที่ตั้งตระหง่าน ทว่ารอบด้านกลับเต็มไปด้วยความเสียหายย่อยยับ
เป็นที่ตั้งของเมืองแห่งหนึ่ง คือหนึ่งในนครใหญ่ของเป่ยจิ้นที่เหลืออยู่อีกไม่มากซึ่งยังไม่ถูกชำระล้าง น่าจะพอถือว่าเป็นนครเดียวดายของแคว้นได้แล้ว
ค่ายกลใหญ่ขุนเขาสายน้ำของนครแห่งนี้ถึงขั้นมั่นคงกว่าค่ายกลของเมืองหลวงแคว้นเล็กใต้อาณัติหลายแห่ง ว่ากันว่าเพราะในนครมียอดฝีมือนอกโลกที่มาฝึกประสบการณ์ในโลกมนุษย์อยู่สองคน คนหนึ่งคือโอสถทองที่เชี่ยวชาญวิชาค่ายกล อีกคนหนึ่งคือก่อกำเนิดที่ตบะไม่ธรรมดา พวกเขาต้องออกแรงกันไปมากถึงพอจะรักษาเมืองที่ถูกทำลายจนย่อยยับเอาไว้ได้อย่างถูไถ แต่นี่ไม่ใช่สาเหตุหลัก สาเหตุที่ทำให้นครแห่งนี้โชคดีกลายเป็นดั่งปลาที่หลุดรอดหว่างแหก็เพราะก่อนหน้านี้ปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่งของกระโจมทัพ ถูกสวินยวนขอบเขตบินทะยานที่รับผิดชอบการโคจรค่ายกลใหญ่ซานหยวนซื่อเซี่ยงลงมือสังหารจากจุดที่ห่างที่แห่งนี้ไปไม่ไกลกะทันหัน เป็นเหตุให้ปีศาจใหญ่บางส่วนรังเกียจว่าสถานที่แห่งนี้อัปมงคลเกินไป จึงไม่ยินดีจะเปิดเผยตัว
หากไม่เป็นเพราะผีตอแยยากสองตัวแห่งสำนักกุยหยกอย่างสวินยวนและเจียงซ่างเจินคอยอาศัยค่ายกลใหญ่แห่งฟ้าดินที่รวบรวมโชคชะตาของแคว้นหนึ่งไว้มาคอยเล่นงานปีศาจใหญ่เซียนเหรินและบินทะยานในกระโจมทัพตลอดหลายปีมานี้ ใบถงทวีปคงพินาศวอดวายเร็วยิ่งกว่านี้ สวินยวนนั้นเป็นเพราะขอบเขตสูง อีกทั้งยังใช้หนึ่งทวีปมาเป็นฟ้าดินขนาดเล็ก ทำให้ปีศาจใหญ่บินทะยานหลายตนค่อนข้างจะกริ่งเกรง ส่วนเจียงซ่างเจินผู้นั้นที่ถึงแม้จะเพิ่งเป็นขอบเขตเซียนเหริน แต่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตกลับอำมหิตเกินไป ทุกครั้งที่ร่วงจากผืนฟ้าลงมายังโลกมนุษย์ก็จะไม่ไปหาเรื่องขอบเขตบินทะยาน ถึงขั้นไม่ยินดีจะเข่นฆ่าเอาชีวิตกับขอบเขตเซียนเหรินมากเกินไปด้วย แต่จะอาศัยฟ้าอำนวย ดินอวยพร คนสามัคคี ใช้ความได้เปรียบที่เทียบได้กับครึ่งขอบเขตมาคอยสังหารผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบของเผ่าปีศาจโดยเฉพาะ
ภายใต้คมกระบี่ของเขา ขอบเขตหยกดิบที่เดิมทีสามารถใช้กำลังของตัวเองคนเดียวมาช่วงชิงคุณความชอบในการทำลายครึ่งแคว้น หากไม่ตายก็ต้องขอบเขตถดถอย
ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์สองคนอย่างหย่างจื่อและเฟยเฟย หลังจากที่กลับมาจากน่านมหาสมุทรระหว่างแจกันสมบัติทวีปกับอุตรกุรุทวีปก็ได้ตั้งใจไปตามหาร่องรอยของสวินยวนและเจียงซ่างเจินโดยเฉพาะ
หย่างจื่อยังเคยเปิดฉากเข่นฆ่ากับสวินยวนอย่างสุดกำลังครั้งหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างก็ได้รับบาดเจ็บ หลังจากนั้นมาสวินยวนก็ยิ่งอำพรางตัวลึกล้ำกว่าเดิม
มีเพียงเจียงซ่างเจินที่ยังคงคอยทิ่มกระบี่ลงมายังโลกมนุษย์เป็นระยะ เฟยเฟยเคยตามเบาะแสสืบไปหาตัวเขาอยู่หลายครั้ง หมายจะสกัดขวางทางถอยของคนผู้นี้ แต่เจียงซ่างเจินกลับมีเวทอำพรางตานับไม่ถ้วน วิชาหลบหนีก็ยิ่งลึกลับผีไม่รู้เทพไม่เห็น ถึงขั้นไม่อาจสังหารเขาได้
หันกลับมามองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาต้าฝูที่การลงมือในทุกครั้งจะเพื่อปกป้องราชวงศ์โลกมนุษย์และค่ายกลใหญ่ขุนเขาสายน้ำของสำนักศึกษา ชะลอความเร็วในการบุกรุดหน้าของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเสียมากกว่า
เมื่อภูเขาไท่ผิงและสำนักฝูจีทยอยกันล่มสลายลง ใบถงทวีปไม่มีค่ายกลใหญ่ซานหยวนซื่อเซี่ยงอยู่อีก ฟ้าอำนวยเกิดการสับเปลี่ยน กลายเป็นสวินยวนกับเจียงซ่างเจินที่ต้องมาอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง โดยเฉพาะสวินยวนขอบเขตบินทะยานที่เมื่อปลายปีก่อนได้ถูกหย่างจื่อและเฟยเฟยร่วมมือกันดักฆ่าหนึ่งครั้ง เล่าลือกันว่าสวินยวนได้หนีออกจากใบถงทวีป เร้นกายเข้าไปในพื้นที่ลับของมหาสมุทรแห่งหนึ่ง จากนั้นก็มี ‘แม่นางน้อยมัดผมแกละ’ ตามเข้าไป
บุรุษชุดดำถือกระบี่ยาว ใช้หนึ่งกระบี่ฟันค่ายกลใหญ่ขุนเขาสายน้ำก่อน แล้วค่อยใช้อีกกระบี่ฟันสมบัติอาคมหลายชิ้นที่พุ่งเข้ามาโจมตี
เทพเกราะทองที่รูปปั้นรับควันธูปอยู่ในศาลบู๊องค์หนึ่งเดินก้าวใหญ่ๆ ข้ามธรณีประตูออกมา ดูเหมือนจะถูกเซียนซือเตือนว่าห้ามออกไปจากศาลเด็ดขาด ทว่าวิญญาณวีรบุรุษที่เคยจงรักภักดีต่อบ้านเมืองผู้นี้กลับยังคงถือดาบวิเศษที่อาบควันธูปมานานหลายร้อยปี เป็นฝ่ายปรากฏตัวมารับศึก เขาทะยานลมขึ้นสู่เบื้องบน แต่กลับถูกบุรุษชุดดำใช้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตฟันร่างทอง เทพเกราะทองที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยรอยร้าวเส้นเล็กเหมือนใยแมงมุมคำรามอย่างเดือดดาล สองมือยังคงจับดาบ กระทืบเท้าลงบนความว่างเปล่าหนักๆ หนึ่งที เงื้อดาบฟันเข้าใส่เจ้าเดรัจฉานน้อยเซียนกระบี่หนุ่มคนนั้น เพียงแต่ว่ากระบี่บินกลับวาดวงโค้งพุ่งมาถึงอีกครั้ง ร่างทองแตกโพล๊ะอยู่กลางอากาศ นครของโลกมนุษย์จึงคล้ายมีฝนสีทองตกลงมา
ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่เหลืออีกห้าคนทยอยกันพลิ้วกายลงในนคร แม้ว่าค่ายกลใหญ่ที่ปกป้องจะยังไม่ถูกทำลายทั้งหมด แต่ถึงอย่างไรก็ไม่อาจขัดขวางการบุกเข้ามาอย่างป่าเถื่อนของพวกเขาได้
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเผ่าปีศาจที่เรือนกายสูงจั้งกว่า พอพลิ้วกายลงพื้นแล้วก็กวาดตามองไปรอบด้าน ก่อนจะเลือกทิศทางหนึ่งแล้วพุ่งตัวออกไปเป็นเส้นตรง ชนทะลุทะลวงบ้านเรือนผู้คน กำแพงน้อยใหญ่ สิ่งปลูกสร้างต่างๆ ล้วนถูกชนทะลุทั้งหมด บางครั้งมีคนที่โชคร้ายอย่างถึงที่สุดถูกชนจนร่างแหลกเละ แม้แต่กระดูกก็ไม่เหลือ กระทั่งชนไปถึงกำแพงของเมืองด้านนอกจึงเปลี่ยนเส้นทาง ใช้เรือนกายที่แข็งแกร่งแทนคมดาบผ่าลงบนนครตรงๆ เพลิดเพลินไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งเลือกสถานที่ที่มีสิ่งปลูกสร้างรวมตัวกันแน่นหนา เดินเนิบช้าผ่านไป ทุกที่ที่ผ่าน ในรัศมีร้อยจั้งจะต้องดูดเอาจิตวิญญาณ แก่นเลือดของคนเป็นมาด้วย ทำให้ซากศพแห้งเหี่ยวนอนกองเกลื่อนพื้น
มีเผ่าปีศาจหมายตาในศาลเทพอภิบาลเมืองจึงพลันเผยร่างจริงที่เป็นงูเหลือมสูงสามร้อยจั้ง เกล็ดทอประกายระยิบระยับ ทันใดนั้นมันก็ปล่อยควันพิษออกไปกัดกร่อนต้นไม้ก้อนหิน ก่อนจะขดตัวล้อมศาลเทพอภิบาลเมืองทั้งแห่งเอาไว้ จากนั้นค่อยชูหัวขึ้นไปยังจุดสูงของศาล แล้วโหม่งชนกรอบป้ายที่จักรพรรดิเป่ยจิ้นพระราชทานซึ่งมีประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ไหลรินเต็มแรงจนมันแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มันปล่อยให้เวทคาถาของอาจารย์หล่อหลอมและสมบัติหนักที่ใช้ในการโจมตีทั้งหลายกระแทกลงบนร่าง ส่วนท่านเทพอภิบาลเมืองและกองกำลังใต้บังคับบัญชาอย่างเทพท่องทิวาราตรี เสมียนโลกมืดทั้งหลายที่บงการให้วัตถุหยินจำนวนมากเอามีดมาฟันเอาขวานมาจาม งูเหลือมยักษ์ก็ยิ่งไม่สนใจแม้แต่น้อย
สตรีอายุน้อยสวมชุดสีเขียวมรกตคนหนึ่งเรือนกายเพรียวบาง มือของนางทำมุทรากระบี่ เรียกกระบี่บิน ‘เชวี่ยผิง’ ออกมา ด้านหลังจึงเหมือนนกยูงรำแพนหาง เพราะมีแสงกระบี่พร่างพราวที่เกิดจากการหล่อหลอมขนนกยูงเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดชิ้น ขนนกปลดปล่อยประกายแสงเจิดจ้า งดงามอย่างถึงที่สุด
แสงกระบี่เล็กบางทุกเส้นยังมีตานกคู่หนึ่งที่เหมือนดวงตาของหญิงสาวอยู่ด้วย พวกมันกระเพื่อมกระบี่บินขนาดเล็กออกมามากกว่าเดิม นี่ก็คือวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บิน ‘เชวี่ยผิง’ ของนาง รวมแสงดวงตาให้เป็นแสงกระบี่ สุดท้ายเมื่อแสงกระบี่เปล่งวาบ กลางอากาศก็มีลำแสงสีเขียวปลั่งจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตัวลากยาวออกไป นางตรงดิ่งไปที่ที่ว่าการของเมือง สิ่งปลูกสร้างสองฝั่งถูกแสงกระบี่ที่หนาแน่นกวาดผ่านจนหายวับไปไม่มีอะไรเหลือ มีเพียงเศษฝุ่นผงที่ลอยคลุ้งมืดฟ้ามัวดินเท่านั้น
และยังมีผู้ฝึกกระบี่สาวอีกคนหนึ่งที่หน้าตาคล้ายกับนาง เหยียบอยู่บนกระบี่ยาวที่มีแสงสีรุ้งแพรวพราว พลิ้วกายลงบนหัวกำแพงเมืองที่มีทหารสวมเสื้อเกราะรวมตัวกันอยู่
อวี่ซื่อพลิ้วกายลงบนหลังคาหอสูงของตระกูลชนชั้นสูงหลังหนึ่ง เขาไม่ได้เข่นฆ่าผู้คนตามอำเภอใจอย่างสหาย
ครั้งนี้เขาแค่ถูกสหายลากมาผ่อนคลายอารมณ์เท่านั้น แค่มาหาความบันเทิงเล็กๆ น้อยๆ ทำจากเมืองหลวงแคว้นหนันฉี อีกห้าคนที่เหลือล้วนเป็นคนคุ้นเคยกันดี
ตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่เข่นฆ่าเคียงบ่าเคียงไหล่กันของกระโจมเจี่ยเซิน แน่นอนว่าก็เป็นเพื่อนของเขาอวี่ซื่อด้วย ทว่าแท้จริงแล้วพวกเขากลับไม่ได้สนิทกันเท่าใดนัก
นครน้อยใหญ่ใต้ฝ่าเท้าของอวี่ซื่อที่กระจายตัวอยู่ทั่วซึ่งยังไม่ถูกไฟสงครามแผดลามมาโดนเหล่านี้ ในบรรดานั้นมีเมืองอยู่น้อยนิด เศษซากเมืองของแคว้นใหญ่ที่ยังเหลืออยู่อย่างของแคว้นเป่ยจิ้นนี้ก็ยิ่งหาได้ยาก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นอำเภอ เป็นจังหวัดที่ค่อนข้างห่างไกลของแคว้นเล็กใต้อาณัติที่ถูกผู้ฝึกตนของกระโจมทัพเอามาซ้อมมือเพื่อแย่งชิงคุณความชอบทางการต่อสู้กันมากกว่า ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางเจอเรื่องดีเช่นนี้ได้
อวี่ซื่อนั่งลงบนหลังคา วางกระบี่พาดขวางไว้บนหัวเข่า ชำเลืองตามองเรือนใหญ่ที่วุ่นวายอลหม่านแวบเดียวแล้วก็ไม่ได้ให้ความสนใจอีก
นับตั้งแต่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกแบ่งออกเป็นสองท่อน นคร ‘บินทะยาน’ จากไปไกลยังใต้หล้าแห่งที่ห้า จนมาถึงการบุกเบิกเส้นทางจากที่ตั้งเก่าของภูเขาห้อยหัว ปูเส้นทางบนมหาสมุทรให้กับกองทัพใหญ่ กระทั่งถึงวันนี้ที่มาเยือนทวีปใหญ่สองแห่งของใต้หล้าไพศาล อันที่จริงช้ากว่าการคาดการณ์ไว้ถึงสองสามปี ไม่อย่างนั้นป่านนี้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ไม่ควรจะยึดครองได้แค่พื้นที่ครึ่งหนึ่งของเกราะทองทวีป แต่ต้องเก็บแจกันสมบัติทวีปทั้งแห่งเข้ามาอยู่ในกระเป๋าของตัวเองได้แล้ว
กำแพงเมืองปราณกระบี่เสียหายอย่างใหญ่หลวง ความเสียหายนั้นมากกว่าที่กระโจมเจี่ยจื่ออนุมานไว้แต่เดิมถึงสามส่วน
ในความเป็นจริงแล้วยังเป็นเพราะทางฝ่ายกระโจมเจี่ยจื่อจงใจพูดให้เบาสบาย เพราะอวี่ซื่อรู้ความจริงว่ามากกว่าถึงสี่ส่วน
กระตุกผมเส้นเดียวสะเทือนไปทั้งร่าง แล้วนับประสาอะไรกับที่สภาพอันน่าสงเวชของสงครามกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็มิอาจใช้แค่คำว่า ‘กระตุกผมเส้นเดียว’ มาบรรยายได้
กลยุทธที่กำหนดไว้ของกระโจมเจี่ยจื่อจะแบ่งทหารออกเป็นสามฝ่ายก็จริง ทว่าพลังการต่อสู้ชั้นสูงกลับมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นปีศาจใหญ่บนบัลลังก์สามถึงสี่ท่านซึ่งมีหลิวชาเป็นหนึ่งในนั้นจะนำกองกำลังทหารส่วนหนึ่งไปแสร้งทำท่าว่าคุมเชิงกับทักษินาตยทวีปเท่านั้น ส่วนฝูเหยาทวีปต้องฮุบมาให้ได้ แต่สำหรับเกราะทองทวีปแล้วกลับไม่ต้องรีบร้อน เพราะเส้นทางการโจมตีหลักที่ทางกระโจมเจี่ยจื่อกำหนดมาแรกสุด คือรุดหน้าขึ้นเหนือของใบถงทวีปไปตลอดทาง แล้วรวบเอาแจกันสมบัติทวีปกับอุตรกุรุทวีปมาในรวดเดียว จากนั้นใช้เวลาอย่างมากสุดสี่ปีฮุบกลืนและย่อยโชคชะตาขุนเขาสายน้ำของอาคเนย์ใบถงทวีปและหรดีฝูเหยาทวีป โดยเฉพาะใบถงทวีปที่เมื่อปีก่อนก็ควรจะเปลี่ยนมือกลายมาเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปแล้ว
เด็กหนุ่มมู่จี ผู้นำกระโจมเจี่ยเซินที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่เคยลองยกตัวอย่างให้ฟังว่า การที่กองทัพใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างกรูขึ้นบกของสองทวีปก็เหมือนการโปรยเมล็ดถั่วไปตามคันนา
ช่วงแรกที่ขึ้นมาบนฝั่งยังไม่มีการแบ่งกองกำลัง ขบวนทัพยิ่งใหญ่เกรียงไกร มองดูเหมือนพุ่งไปที่ไหนที่นั่นก็ราบเป็นหน้ากลอง แต่เมื่อเทียบกับอาณาบริเวณพื้นดินของหนึ่งทวีปแล้ว กองกำลังทหารแค่นั้นยังถือว่าน้อยเกินไป ยังคงต้องการทัพเสริมที่มีมาไม่ขาดสาย มาช่วยกันเติมเต็มรูโหว่นับร้อยนับพันบนดินแดนของสองทวีปอย่างต่อเนื่อง
หลังจากนั้นก็คือการ ‘ปลูกต้นกล้าตามร่องน้ำของผืนนา’ อย่างที่อาจารย์โจวบอก ไม่สามารถมองสองทวีปเป็นสถานที่ที่ต้องวิดน้ำให้แห้งขอดเพื่อจับปลาได้ เมื่อผ่านการสยบสะเทือนขวัญใจคนช่วงแรกมาแล้ว ก็จำเป็นต้องหันไปปลอบใจบำรุงขวัญราชสำนักที่เสียหายย่อยยับ รวบรวมผู้ฝึกตนบนภูเขาที่เป็นปลาหลุดรอดหว่างแหมาเป็นพรรคพวก พยายามให้ได้รับผลเก็บเกี่ยวครั้งแรกภายในสิบปี ไม่คาดหวังให้มีผลเก็บเกี่ยวที่อุดมสมบูรณ์ แต่ต้องเปลี่ยนกองกำลังเผ่ามนุษย์ส่วนหนึ่งของสองทวีปให้กลายมาเป็นกำลังการรบสำหรับการกรีฑาทัพขึ้นเหนือของใต้หล้าเปลี่ยวร้างให้ได้ จุดสำคัญก็คือผู้ฝึกตนอิสระที่รักตัวกลัวตาย ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่กระจายกันอยู่ตามยุทธภพด้วยความอัดอั้นไม่อาจทำตามปณิธาน ขุนนางบุ๋นบู๊ในราชสำนักที่รักชีวิตทั้งหลาย บุคคลรูปแบบต่างๆ เหล่านี้แรกเริ่มสุดจะต้องให้รวมมาอยู่ในกระโจมทัพแห่งหนึ่งก่อน จากนั้นก็เลือกสักคนสองคนเข้ามาอยู่ในกระโจมเจี่ยจื่อ แล้วคอยรับฟังให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของบุคคลกลุ่มนี้
เป็นเหตุให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ยึดแจกันสมบัติทวีปและเกราะทองทวีปมาได้หยัดยืนได้อย่างมั่นคง อย่างมากสุดก็แค่ต้องคืนฝูเหยาทวีปและเกราะทองทวีปครึ่งหนึ่งให้กลับไปเป็นของใต้หล้าไพศาล เพื่อนำมาแลกเปลี่ยนกับอุตรกุรุทวีปก็เท่านั้น
ถึงเวลานั้นใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็จะได้ครอบครองใบถง แจกันสมบัติและอุตรกุรุสามทวีป
ส่วนคำว่าคืนฝูเหยาทวีปมาให้ ในความเป็นจริงแล้วก็เป็นเพราะกระโจมเจี่ยจื่อมีแผนการเตรียมไว้อยู่แล้ว ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ทั้งหลายจะร่วมมือกันออกแรง ทำให้พื้นดินหนึ่งทวีปจมดิ่งลงมหาสมุทรไปอย่างสิ้นเชิง ในเมื่อใต้หล้าเปลี่ยวร้างมิอาจได้โชควาสนาของหนึ่งทวีปมาครอบครอง ใต้หล้าไพศาลก็ได้แต่เก็บเอา ‘เกาะ’ ที่เหมือนเครื่องกระเบื้องหล่นลงพื้นแล้วชิ้นส่วนแตกกระจายเต็มพื้นไปก็เท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ลำพังเพียงแค่ซ่อมแซมขุนเขาสายน้ำเดิมของทวีปที่อยู่ใกล้กับค่ายทัพของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ก็จะต้องเผาผลาญทั้งกำลังทรัพย์ กำลังกายและจิตใจคนของศาลบุ๋นทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางไปอย่างมหาศาล
เพราะอวี่ซื่อมีสถานะที่พิเศษ ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่เพราะเป็นผู้ฝึกตนกระโจมเจี่ยเซินและตัวอ่อนเซียนกระบี่ภูเขาทัวเยว่เท่านั้น เขาถึงได้สามารถรู้เรื่องวงในอันน่าตะลึงพรึงเพริดเหล่านี้ได้