ตอนที่ 3078

War sovereign Soaring The Heavens

มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่คิดจะปลูกต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ เพราะถึงมันจะให้ผลเลิศล้ำกับยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด หากแต่โอกาสที่จะเกิดผลก็มีแค่ 1 ใน 10 ส่วนเท่านั้น

 

อัตราความสำเร็จที่ต้ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดนี้ กับจำนวนเครื่องสังเวยที่ต้องใช้ เรียกว่ามันไม่คุ้มเสี่ยงอย่างแรง เช่นนั้นไม่ว่าใครก็ตาม หากได้รับเมล็ดพันธุ์ต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์มา มักจะนำไปใช้เป็นกระสายยาเสียมากกว่า

 

และในระนาบเทวโลก ก็มีคนที่ไม่อาจยอมรับโอกาสสุกงอมของผลเทพสังเวยสวรรค์ ได้ดิ้นรนขวนขวายหาวิธีเพิ่มโอกาสสุกงอมของผลเทพสวรรค์ไม่น้อย

 

บางคนพยายามอยู่นานปีแต่ไม่พบเจอหนทางใดๆ ก็ได้แต่ยอมแพ้เลิกราไป

 

และยังมีบางคนไม่คิดเลิกรา ดิ้นรนหาวิธีไปไม่หยุดและสุดท้ายก็พบเจอแต่ทางตัน

 

อย่างไรก็ตาม ยังมีบางคนที่ในที่สุดก็พบเจอวิธีเพิ่มโอกาสสุกงอมของผลเทพสังเวยสวรรค์ได้สำเร็จ

 

เจียงหลัน ก็เป็นบางคนในประเภทที่ 3 นั่นเอง

 

เจียงหลันนั้น ก็คือชื่อในชาติที่แล้วของจักรพรรดิที่กลับชาติมาเกิด ถึงแม้มันจะไม่ใช่จักรพรรดิอมตะสมญานาม แต่ก็นับเป็นจักรพรรดิอมตะที่พลังฝีมือไม่ใช่ชั่วคนหนึ่ง มีจักรพรรดิอมตะที่ไร้สมญานามเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เป็นคู่ต่อสู้ของมันได้

 

อย่างไรก็ตามด้วยเพราะรากฐานมันไม่ดี พรสวรรค์และเชาว์ปัญญาของมันก็ไม่สูง ทำให้มันไร้หนทางจะกลายเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานาม

 

ดังนั้นมันจึงเลือกที่จะเสี่ยงกลับชาติมาเกิดใหม่

 

และก่อนที่มันจะกลับชาติมาเกิดใหม่ มันก็ได้เมล็ดพันธุ์ต้นเทพสังเวยสวรรค์มา และได้ดิ้นรนขวนขวายจนหาวิธีเพิ่มโอกาสสุกงอมได้สำเร็จ

 

กล่าวไปต้องบอกว่าตัวมันมีโชคอยู่บ้าง เพราะในถ้ำโบราณแห่งหนึ่งที่มันพบเจอโดยบังเอิญ มีบันทึกโบราณที่บ่งบอกวิธีเพิ่มอัตราสุกงอมของผลเทพสังเวยสวรรค์เอาไว้ และวิธีดังกล่าวจะเพิ่มโอกาสสุกงอมให้สูงขึ้นเป็น 5 ส่วน!

 

หลังรับทราบความรู้จากถ้ำนั้นแล้ว มันก็เริ่มสร้างแดนลับและกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ที่จะเข้าไปได้ต้องเป็นตัวตนที่ด่านพลังต่ำกว่าขุนนางอมตะเท่านั้น จากนั้นมันก็ตระเตรียมค่ายกลต่างๆมากมาย และทำการปลูกต้นเทพสวรรค์เอาไว้

 

หลังจากมันปลูกต้นเทพสวรรค์และมั่นใจว่าจะเติบโตได้อย่างไร้ปัญหา มันก็เริ่มคำนวณหาเวลาที่ดีที่สุดเพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จในการกลับชาติมาเกิดใหม่

 

สุดท้ายมันก็ชนะเดิมพัน สามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ได้สำเร็จ จากนั้นมันก็บ่มเพาะฝึกปรือมาจนมีวันนี้

 

และจนถึงวันนี้ ก็เป็นเวลาเกือบร้อยปีแล้วที่มันได้ปลูกต้นเทพสังเวยสวรรค์เมื่อชาติก่อน

 

กล่าวให้ชัดก็คือปีหน้า ก็จะครบ 100 ปีที่มันปลูกต้นเทพสังเวยสวรรค์

 

ในชีวิตนี้พอเจียงหลันมีอายุได้ 50 ปี มันก็สามารถปลุกความทรงจำเมื่อชาติก่อนได้สำเร็จ จากนั้นมันก็ไปนำสมบัติที่มันซ่อนไว้เมื่อชาติที่แล้วมาใช้

 

อาศัยความทรงจำเมื่อชาติก่อน พร้อมด้วยสมบัติมากมาย ทำให้ตอนนี้ถึงมันจะยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี แต่ก็สามารถทะลวงถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดได้สำเร็จ อีกทั้งยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งน้ำได้ 4 ประการ

 

แน่นอนว่าใน 4 ประการนั่น รวมความหมายแห่งน้ำไว้แล้ว

 

นอกจากนั้นในสมบัติที่มันทิ้งไว้เมื่อชาติก่อน ยังมียันต์อมตะช่วยชีวิตมากมายและมีอุปกรณ์อมตะอีกด้วย

 

“อย่างไรก็ตามยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่ข้าไปเสาะหาทั่วระนาบเทวโลก หลายสิบคนที่ท้าประลองกับข้า ต่อให้เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังมิอาจรับมือข้าได้ถึง 100 กระบวนท่า…”

 

พอนึกถึงอัจฉริยะขอบเขตยอดเซียนอมตะที่มันไปชักชวนและท้ามันประลอง เจียงหลันก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมา

 

“เจ้าพวกเด็กน้อยนั่น กระทั่งข้าใช้ความลึกซึ้งให้ทัดเทียมกับพวกมัน ทั้งไม่ได้ใช้อุปกรณ์อมตะจักรพรรดิ หรือยันต์อมตะใดๆ พวกมันก็ไม่มีปัญญาสู้ข้าแล้ว…”

 

“หากข้าเอาจริง พร้อมด้วยอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ…ต่อให้พวกมันมัดรวมกันมา ก็ไม่พอมือให้ข้าฆ่า!”

 

พึมพำถึงจุดนี้ สีหน้าเจียงหลันที่นั่งขัดสมาธิกลางอากาศเหนือบึ้งน้ำ ก็ฉายชัดถึงความหยิ่งผยองออกมา

 

ตัวมันจะอย่างไรก็เป็นจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิด ต่อให้จะไม่ใช้อุปกรณ์อมตะหรือยันต์อมตะเลิศล้ำที่เตรียมไว้ตั้งแต่ชาติก่อน อาศัยแค่อุปกรณ์อมตะและความลึกซึ้งพอๆกัน ก็ยากจะหาคนรับมือมันได้

 

ประสบการณ์ที่มันสั่งสมมาตั้งแต่ชาติปางก่อน มากพอให้มันฉกฉวยโอกาสช่วงชิงชัยชนะได้ไม่ยาก

 

 

ณ หลิงหลัวเทียน

 

แดนสวรรค์ใต้ เขตปกครองงคฤหาสน์เฉวียนโยว เมืองฝูซาน

 

“เฮ่ ไม่ใช่ว่าเจ้าใช้กฏแห่งดินรึไง? ไฉนเจ้าซื้อแต่ลูกแก้วเงาลอยของผู้ใช้กฏแห่งไฟเล่า?”

 

หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่มาซื้อของกับต้วนหลิงเทียน อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วความสงสัย เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนเอาแต่ซื้อลูกแก้วเงาลอยของผู้ใช้กฏแห่งไฟ

 

“ใช้กฏแห่งดินแล้วข้าจะศึกษากฏแห่งไฟด้วยไม่ได้รึไง?”

 

ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มบางๆ

 

“อย่าได้กัดคำใหญ่เกินจะเคี้ยว”

 

หลิงเจวี๋ยอวิ๋นขมวดคิ้วกล่าวเตือน

 

ถึงแม้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะรู้ว่าต้วนหลิงเทียนสมควรรู้เรื่องนี้ดี แต่มันก็ยังกลัวต้วนหลิงเทียนจะใจโลเลเปลี่ยนไปสนใจกฏอื่น จนเสียเวลาไปเปล่าๆ

 

“ทำไมเล่า? หรือคิดว่าข้าจะดันทุรังเรื่องกฏแห่งไฟ?”

 

หลังกล่าวหยอกพลางหัวร่อ ต้วนหลิงเทียนก็หยีตามองจ้องหลิงเจวี๋ยอวิ๋นพลางถามว่า “หรือพวกเราลองประมือกันสักตั้งเป็นไร?”

 

“ข้ายังจำได้ ก่อนที่พวกเราจะแยกกันที่ทะเลสาบอวิ๋นโยว ข้าบอกเจ้าว่าวันหน้าพอพวกเราไปถึงคฤหาสน์เฉวียนโยว คอยมาลองประมือกันสักตั้ง…วันนี้พวกพวกเรามาประมือกันล่วงหน้าเลยเป็นไง?”

 

ต้วนหลิงเทียนยังจำได้ ว่าเมื่อไม่กี่ปีก่อนที่ทะเลสาบอวิ๋นโยว หลังที่ถูกหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวขู่ว่าหากเขาไม่ดีกับหวงเอ้อที่จะกลายเป็นจิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนให้เขา อีกฝ่ายจะไม่มีวันเลิกรากับเขาแน่

 

ตอนนั้นเขาก็เลยกล่าวไว้ว่า หลังไปเจอกันที่คฤหาสน์เฉวียนโยวจะประมือกัน

 

“สมใจข้าพอดี!”

 

สองตาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นทอประกายจ้า มันเห็นด้วยทันที

 

ราวๆครึ่งชั่วโมงต่อมา

 

เหนือแนวป่าเลียบภูเขาอันเปลี่ยวร้างห่างไกลจากเมือง ปรากฏร่างสองร่างลอยค้างกลางหาวเผชิญหน้ากัน เป็นต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่พึ่งเดินทางออกจากเมืองฝูซาน

 

เมื่อหลิงเจวี๋ยอวิ๋นตอบรับบคำท้าประลองของต้วนหลิงเทียน ทำให้ทั้งคู่เลิกเดินดูของและพากันเหินร่างมายังสถานที่ร้างผู้คนทันที

 

บัดนี้ต้วนหลิงเทียนลอยร่างอยู่เหนือภูเขา ส่วนหลิงเจวี๋ยอวิ๋นลอยร่างเหนือป่า

 

เสื้อคลุมทั้งคู่โบกพลิ้วไปตามลม แว่วเสียงเนื้อผ้าสะบัดดังเบาๆ

 

“เจ้าคิดประลองอย่างไร จะใช้หรือไม่ใช้อุปกรณ์อมตะ?”

 

หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอ่ยถามต้วนหลิงเทียน

 

“ไม่ต้องใช้หรอก มือเปล่าก็พอ”

 

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา จากนั้นบนร่างเขาก็ปรากฏเงาร่างเกราะอมตะสีดำหนึ่ง จากนั้นก็วูบหายไปในอากาศ

 

เห็นได้ชัดว่าต้วนหลิงเทียนเลือกที่จะเก็บเกราะอมตะที่ได้มาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ

 

เกราะอมตะดังกล่าวไม่ได้เป็นแค่เกราะอมตะระดับราชาธรรมดา แต่ยังเป็นเกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงโดยจอมราชันอมตะ

 

“ข้าก็ว่างั้น”

 

พอหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวจบคำ ร่างมันก็ปรากฏเงาร่างเกราะอมตะสีดำลักษณะคล้ายๆของต้วนหลิงเทียนขึ้นมา ก่อนจะหายวับไป

 

ก็เป็นเกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะมาเหมือนกัน และยังเป็น 1 ใน 3 เกราะอมตะที่มันแบ่งกับต้วนหลิงเทียนในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ

 

เกราะอมตะระดับราชานั้น แม้จะไม่จ่ายพลังลงไป แต่มันก็จะปกป้องผู้ใช้โดยอัตโนมัติ ต่างจากอุปกรณ์อมตะทั่วไปที่ต้องจ่ายพลังลงไปเพื่อใช้งาน

 

สำหรับกระบี่ที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นสะพายไว้ที่เอว ก็ยังคงสะพายไว้อย่างนั้น แค่ไม่ได้คิดจะชักออกจากฝัก

 

“ระหว่างเจ้ากับข้าเมื่อไม่ใช้อุปกรณ์อมตะ ก็คงได้แค่พึ่งความลึกซึ้งกับฝีมือส่วนตัวเท่านั้น…แต่เจ้าจะสู้ข้าได้เหรอ? ความแข็งแกร่งของข้าในตอนนี้ มันไม่เหมือนตอนที่อยู่ในแดนสวรรค์ใต้โบราณหรอกนะ”

 

หลิงเจวี๋ยอวิ๋นมองสบตาต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวอย่างทะนงตัว “และถึงข้าจะจำไม่ได้ แต่ข้าเชื่อว่าในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำนั่น ข้าไม่เคยใช้พลังฝีมือเต็มสิบส่วนแน่นอน”

 

ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่ได้พูด

 

ว่าในตอนนี้มันร้ายกาจกว่าตอนที่อยู่ในแดนสววรรค์ใต้โบราณมาก!

 

“ถ่อมาถึงนี่แล้ว…เจ้าคิดว่าข้าจะกลัวรึไง?”

 

แม้จะเห็นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแลดูมั่นใจในตัวเองมาก แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่หวั่นแม้แต่น้อย กลับกันสองตาเขายังทอประกายแหลมคมฉายความคาดหวังประการหนึ่ง พลังในร่างเริ่มโคจรดั่งน้ำเชี่ยว “ป้อนกระบวนท่าเถอะ!”

 

แทบจะทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ

 

“ตามคำขอ!”

 

หลังโพล่งคำดุดัน พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดพลันปะทุออกมาท่วมร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋น จากนั้นก็เริ่มแปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นสีดำ พาลให้บรรยยากาศโดยรอบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายทันที!

 

กลิ่นอายแห่งความตายที่กำจายออกมา ยังชวนให้ผู้คนรู้สึกหดหู่ซึมเซาไม่น้อย ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่เว้น

 

ฟู่มมม!!

 

อย่างไรก็ตามหลังหลิงเจวี๋ยอวิ๋นปะทุพลังออกมาไม่ทันไร ทั่วร่างต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏพลังพวยพุ่งออกมาดั่งเพลิงไฟ ทั้งพริบตาต่อมาพลังทั่วร่าง ยังกลายเป็นสีแดงเพลิงไม่ต่างอะไรจากเพลิงไฟจริงๆ

 

“หืม?”

 

ครู่ต่อมา ต้วนหลิงเทียนพลันพับว่า พลังของกฏแห่งความตายที่ปกคลุมร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอยู่ มันเริ่มควบรวมก่อเกิดเป็นเงาร่างดั่งภูตผีตัวเขื่อง

 

เงาร่างดังกล่าวมีขนาดใหญ่โตแลดูน่ากลัว ในมือถืออาวุธประเภทเคียว แถมตัวเคียวยังแผ่กลิ่นอายแห่งความตายอันน่าสะพรึงกลัวออกมา!

 

“นั่นมัน…เงาร่างยมทูต!”

 

เห็นรูปลักษณ์ของงเงาร่างมหึมาดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็ฉุกคิดถึงข้อมูลกฏแห่งความตายที่อ่านเจอในบันทึกของหอตำราฝ่ายในนิกายอมตะเป้าผู่ขึ้นมาทันที

 

บันทึกที่อยู่ในยันต์อมตะเก็บความทรงจำดังกล่าว ได้บอกไว้ว่าความลึกซึ้งประการหนึ่งของกฏแห่งความตายนั้น เมื่อใช้จะเริ่มควบรวมพลังแห่งความตายสร้างเงาร่างยมทูตหรือเทพแห่งความตายขึ้นมาก่อน

 

และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังคิดถึงจุดนี้ เขาก็พบว่าเงาร่างยมทูตตัววเขื่องที่ถือเคียวแห่งความตายนั้น กำลังหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นมันก็กลายเป็นกลุ่มก้อนพลังสีดำราวกับหมึก จากนั้นก็ค่อยๆเคลื่อนตัวลงมาซึมหายเข้าไปในศีรษะของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น

 

พริบตาต่อมาสองตาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็กลับกลายเป็นสีแดงฉาน ทั่วร่างแผ่ไอพลังสีดำออกมาอีกรอบ หากแต่ครานี้ไอพลังสีดำดังกล่าวเริ่มม้วนวนไปทั่วร่างปานพายุ

 

“นี่มัน…ความลึกซึ้ง ยมทูตครอบงำ ของกฏแห่งความตาย?”

 

ถึงแม้จะได้อ่านข้อมูลความลึกซึ้งของกฏแห่งตายจากยันต์อมตะเก็บความทรงจำในหอตำราฝ่ายในของนิกายอมตะเป้าผู่มาแล้ว แต่นับว่านี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆ ที่ต้วนหลิงเทียนได้เห็นใครสำแดงกฏแห่งความตายแบบนี้ เช่นนั้นเขาก็ทำได้แค่เดาเท่านั้น ไม่กล้ายืนยัน

 

อย่างไรก็ตามพอเห็นร่างหลิงเจวี๋นอวิ๋นโจนทะยานเข้ามาดั่งสายฟ้าฟาด! ความเร็วไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาตอนที่ใช้ความลึกซึ้งลุกโหมเลย ต้วนหลิงเทียนก็มั่นใจว่าเขาเดาถูก!!

 

“เป็นความลึกซึ้งยมทูตครอบงำของกฏแห่งความตายจริงๆ!”

 

ยมทูตครอบงำ ก็คือหนึ่งในความลึกซึ้งของกฏแห่งความตาย ยามใช้งานตัวผู้ใช้ควบรวมพลังแห่งความตายก่อลักษณ์เงาร่างเทพแห่งความตายขึ้นมา จากนั้นก็ควบแน่นพลังผสานเข้าสู่ร่างตัวเองอีกที สามารถเพิ่มความเร็ว ทั้งพลังให้กับผู้ใช้

 

ความลึกซึ้ง ยมทูตครอบงำ ของกฏแห่งความตายนั้น ก็ให้ผลลัพธ์ทำนองเดียวกับความลึกซึ้ง ลุกโหม ของกฏแห่งไฟ และคล้ายๆกับความลึกซึ้งลมกรด ของกกฏแห่งลม

 

‘ลุกโหม!’

 

เผชิญหน้ากับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่เหินร่างทะยานเข้ามาฉับไว ใจต้วนหลิงเทียนก็เคลื่อนไหวทันที

 

พริบตาทั้งร่างเขาก็คล้ายจมอยู่ในเพลิงไฟ กระทั่งเพลิงพลังยังลุกโชนประหนึ่งจะแผดเผาได้กระทั่งความว่างเปล่า