ตอนที่ 1573 : ร่างบรรพกาลขั้น 6

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 1573 : ร่างบรรพกาลขั้น 6

ท้องฟ้าที่มืดหม่นในโลกที่น่าเบื่อ มันไม่มีดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์หรือดวงดาว พื้นดูเปล่าเปลี่ยว มันไม่มีร่องรอยของชีวิตให้เห็นเลย พื้นดินมีแค่ความเงียบสงัด

ชายหนุ่มอายุราว 20 ปีนั่งอยู่ใจกลางโลกแห่งนี้ สองกระบี่ลอยอยู่ตรงหน้าเขา อันหนึ่งเปล่งแสงสีฟ้า อีกอันเปล่งแสงสีม่วง ไฟในมือของชายหนุ่มแผ่ความร้อนอันน่ากลัวออกมา ตอนนี้เขากำลังทำการซ่อมกระบี่ทั้งสองเล่มอยู่

หากมองใกล้ ๆ มันชัดแล้วว่ากระบี่ทรั้งสองมีรอยแตกบาง ๆ รอยแตกนี้มีเต็มไปทั่วตัวกระบี่ราวกับใยแมงมุม

กระบี่ที่แตกนี้ได้รับการซ่อมโดยเปลวไฟที่น่ากลัว แม้ว่าจะไม่ได้ซ่อมตัวรวดเร็วนัก แต่รอยแตกจะหายไปหากยังเป็นแบบนี้ต่อไป

ชายหนุ่มคนนี้คือเจี้ยนเฉิน เขาอยู่ที่นี่มา 3 ปีแล้ว แน่นอนว่า 3 ปีมานี้คือเวลาสำหรับโลกภายนอก แต่ในโลกอันน่าเบื่อนี้ที่ไม่มีความต่างระหว่างกลางวันและกลางคืนนั้น มันเป็นไปไม่ได้ที่จะรับรู้ถึงเวลาที่ผ่านไปเพราะรอบข้างนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย เขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ตั้งแต่ที่เข้าเก็บตัวบ่มเพาะ

กว่า 3 ปีที่ผ่านมา เจี้ยนเฉินและซ่างกวนมู่เอ๋อมักจะบ่มเพาะด้วยการดูดซับปราณหยินและหยางจากศิลาเซียนหยินหยาง ความแข็งแกร่งของทั้งสองคนเพิ่มขึ้นอย่างมากระหว่าง 3 ปีที่ผ่านมา อัตราการพัฒนาของซ่างกวนมู่เอ๋อนั้นรวดเร็วจนนางก้าวข้ามเจี้ยนเฉินไปได้

ร่างบรรพกาลของเจี้ยนเฉินยังอยู่ที่ขั้น 5 แม้ว่าจำนวนพลังงานที่เขาดูดซับมาตลอด 3 ปีจะไม่ไม่เพียงพอที่จะให้ร่างบรรพกาลขึ้นไปขั้น 6 ได้ แต่เม็ดพลังบรรพกาลของเขาก็เต็มเปี่ยมแล้ว ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปเขาก็จะก้าวข้ามได้ในไม่ช้า

เนื่องจากแต่ละขั้นของร่างบรรพกาลต้องการพลังมากกว่าเดิม 10 เท่า การบ่มเพาะของเจี้ยนเฉินจึงยากขึ้นไปเรื่อย ๆ หากยิ่งก้าวหน้าต่อไป

เจี้ยนเฉินนั่งเปลี่ยนพลังบรรพกาลเป็นเปลวไฟบรรพกาลเพื่อซ่อมแซมกระบี่ทั้งสอง แม้ว่าการควบรวมกระบี่นี้จะล้มเหลวและทำให้กระบี่ทั้งสองเสียหายจนทำให้จิตวิญญาณกระบี่อ่อนแอลง แต่ความเสียหายในครั้งนี้ไม่ได้หนักหนาอะไรมาก เขาแค่ต้องใช้เวลาสักพักในการซ่อมแซมพวกมันและรอยแตกก็จะหายไป

เจี้ยนเฉินไม่รู้ว่าเขาใช้เวลาในการซ่อมกระบี่ที่โลกนี้ไปนานแค่ไหนและไม่อาจรับรู้ถึงเวลาได้ สุดท้ายในที่สุดเขาก็ซ่อมรอยแตกที่กระบี่ทั้งสองเสร็จ แม้ว่าจิตวิญญาณกระบี่จะยังคงอ่อนแอแต่กระบี่นั้นก็เป็นเหมือนกับตอนที่มันสร้างขึ้นมาใหม่ พวกมันยังเปล่งแสงออกมาได้

ในพริบตา เจี้ยนเฉินก็ปรากฏตัวขึ้นในจุดที่ห่างไปหลายสิบกิโลเมตร มีกระท่อมตั้งอยู่บนพื้นดินอันอ้างว้าง มันดูเหมือนเรียบง่ายแต่มีพลังที่แข็งแกร่งแผ่ออกมาจากมัน กระท่อมดินแห่งนี้งอกออกมาจากพื้นผ่านทักษะของซ่างกวนมู่เอ๋อ ดังนั้นมันจึงแข็งแกร่งอย่างมากแม้ว่าจะดูเหมือนกระท่อมธรรมดาก็ตาม

เจี้ยนเฉินยืนอยู่ด้านนอกและมองไปที่กระท่อม สายตาของเขาเหมือนจะมองผ่านกำแพงไปได้และตอนที่เขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้านใน สายตาเขาก็แสดงวามอบอุ่นออกมา

“มู่เอ๋อ ยังปรับปราณหยินและหยางไม่เสร็จ ดูเหมือนว่าต้องรอด้านนอกอีกสักพัก” เจี้ยนเฉินคิด เขาชินกับการรอหลังจากที่ผ่านมา 3 ปีแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่ทั้งสองดูดซับปราณหยินและหยาง เขามักจะปรับพลังงานได้อย่างรวดเร็วเพราะร่างบรรพกาลของเขา แต่ซ่างกวนมู่เอ๋อต้องใช้เวลามากกว่าเจี้ยนเฉิน

เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาดูดซับปราณหยินและหยาง ซ่างกวนมู่เอ๋อจะใช้เวลาสิบวันรึครึ่งเดือน ส่วนเจี้ยนเฉินนั้นใช้เวลาเพียงแค่ 3 วัน

แต่ เจี้ยนเฉิน ไม่กล้าจะดูดซับปราณหยินและหยางโดยปราศจากซ่างกวนมู่เอ๋อ

ถ้าเขาทำแบบนั้น มันจะหมายถึงความตาย ผลก็คือเจี้ยนเฉินได้แต่รอตอนที่ซ่างกวนมู่เอ๋อปรับพลังงาน ตอนนั้นเองประตูกระท่อมก็เปิดออกช้า ๆ ซ่างกวนมู่เอ๋อ ดผล่มาที่ทางเข้าก่อนจะเดินออกมา

” มู่เอ๋อ เจ้าออกมาแล้ว ! ” เจี้ยนเฉิน ยิ้มทันที

ซ่างกวนมู่เอ๋อยิ้มหวานตอบกลับ รอยยิ้มของนางทำให้โลกรอบข้างนั้นดูด้อยลงไปทันที แม้แต่จิตที่มั่นคงของ เจี้ยนเฉิน แต่รอยยิ้มนี้ก็ยังทำให้เขาอึ้ง

“ข้ามาถึงขั้นย้อนกลับแล้ว ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปข้าก็จะขึ้นเป็นขั้นแลกเปลี่ยนได้ในอีกไม่กี่ปี” ซ่างกวนมู่เอ๋อยิ้ม นางกำลังอารมณ์ดี

ซ่างกวนมู่เอ๋อลืมเรื่องที่พวกเขาบาดหมางกันหลังจากที่อยู่ด้วยกันมา 3 ปี นางประทับใจในตัวเจี้ยนเฉินเพิ่มขึ้น และตอนนี้นางก็ยอมรับแล้วว่าพวกเขาเป็นคู่รักกัน

ใจของซ่างกวนมู่เอ๋อไม่ได้เย็นชาอีกต่อไป บางทีเพราะผลจากการที่ซ่างกวนมู่เอ๋อเกิดการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของนางกับพ่อ นางจึงคิดหลาย ๆ อย่างและเริ่มกล้าแสดงออกมากขึ้น แม้ว่านางจะไม่ได้เหมือนผู้หญิงที่มีชีวิตชีวาคนอื่น แต่มันก็ยังมีรอยยิ้มบนใบหน้าของนางบ่อย ๆ รอยยิ้มนี้คือสิ่งที่หายากได้ในอดีต

“ร่างบรรพกาลของข้ากำลังจะก้าวขึ้นไปขั้น 6 เช่นกัน” เจี้ยนเฉินยิ้มก่อนที่จะเดินไปนั่งที่ข้างหินกับซ่างกวนมู่เอ๋อ

ตอนที่เจี้ยนเฉินมาถึง เขาก็คิ้วขมวดทันทีเมื่อเห็นก้อนหิน เขาสีหน้านิ่งไป เขามองไปที่หินสักพักก่อนจะพูดขึ้นมา “ไม่นะ พลังมารได้ดูดซับศิลาเซียนหยินหยางเร็วขึ้น” เสียงของเจี้ยนเฉินดูจริงจัง

ซ่างกวนมู่เอ๋อเองก็มีท่าทีจริงจังขึ้นมา ตาอันทรงเสน่ห์ของนางจ้องไปที่จุดแสงสีแดงที่ซ่อนอยู่ในก้อนหินและนางก็รับรู้ได้ว่าสถานการณ์มันย่ำแย่ นางรู้ดีว่าหินนั้นทรงพลังแค่ไหน มันเล็กแต่จำนวนพลังงานที่มันมีนั้นน่ากลัวเพียงพอจะทำให้จอมยุทธขอบเขตดั้งเดิมต้องตกตะลึงได้ อัตราการเพิ่มพลังมารนั้นน่าตะลึงเพราะมันดูดซับพลังหยินหยางจากหิน ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป นางก็คิดไม่ออกว่าพลังมารจะแข็งแกร่งแค่ไหนเมื่อมันหลุดออกมาได้

“เจี้ยนเฉิน เราจะทำยังไงกันดี ? เราจะปล่อยให้มันแข็งแกร่งขึ้นต่อไปงั้นรึ ? ” ซ่างกวนมู่เอ๋อถาม นางจริงจังอย่างมาก ทั้งนางกับเจี้ยนเฉินต่างก็กลัวพลังมาร เพราะแค่เพียงมองไปที่จุดสีแดงในก้อนหินก็เพียงพอทำให้พวกเขาขนลุกได้

พวกเขาได้เจอกับจอมยุทธมามากมายตลอดชีวิต เจี้ยนเฉินเคยเห็นราชาเทพมาก่อนแต่เขาไม่เคยรู้สึกกดดันแม้ว่าจะต้องรับมือกับราชาเทพ

เจี้ยนเฉินส่ายหน้าและพูดขึ้นว่า “เราไม่อาจจะทำอะไรได้ เราสัมผัสกับก้อนหินไม่ได้ พลังมารซ่อนอยู่ด้านใน ดังนั้นเราจึงได้แค่มองดูมันแข็งแกร่งขึ้นมา สิ่งเดียวที่เราทำได้คือดูดซับปราณหยินและหยางเพิ่มเพื่อที่จะลดความต่างเรื่องความแข็งแกร่งกลับพลังปิศาจ”

เจี้ยนเฉินมั่นใจแล้วว่าพลังมารคือต้นตอของภัยพิบัติบนโลก แม้ว่าเขาจะมีเกราะไหมบรรพกาลซึ่งไว้รับมือกับภัยพิบัติแต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะใช้มันหยุดภัยพิบัติยังไง เขาไม่รู้การใช้งานมัน แม้แต่จิตวิญญาณกระบี่ก็ไม่อาจจะให้คำตอบกับเขาได้ สิ่งเดียวที่เขามั่นใจคือพลังจากเกราะไหมบรรพกาลจะตื่นขึ้นมาในตอนวิกฤตเท่านั้น

เจี้ยนเฉินและซ่างกวนมู่เอ๋อไม่กล้าชักช้าเสียเวลาเพราะภัยจากพลังมาร พวกเขาเริ่มดูดซับปราณหยินและหยางทันทีด้วยการใช้ทักษะบ่มเพะคู่เพื่อทำให้มันสมดุล มันจะใช้เวลา 3 วันในการดูดซับและหลังจากนั้นพวกเขาจะกลับออกมาเพื่อปรับพลังงาน

ร่างบรรพกาลของเจี้ยนเฉินเกือบจะก้าวข้ามแล้วหลังจากที่ดูดซับพลังมากว่า 3 ปี หลังจากดูดซับพลังงานเพิ่ม ร่างบรรพกาลของเขาก็จะก้าวขึ้นเป็นขั้น 6 ร่างกายของเขาจะผ่านความเจ็บปวดในการสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่อีกครั้งเพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อน

“ขั้น 6 ของร่างบรรพกาลเท่ากับขั้น 9 ของเซียนจักรพรรดิ” เจี้ยนเฉินรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของตัวเอง ด้วยระบบอันคุ้นเคยที่ใช้ในทวีปเทียนหยวน เขาก็รู้ถึงพลังของขั้น 6 ทันที

ชั้นสวรรค์ที่ 9 ของเซียนจักรพรรดินั้นไม่ได้ใกล้เดียงกับพลังของซ่างกวนมู่เอ๋อในฐานะขั้นย้อนกลับ แต่เจี้ยนเฉินเชื่อว่าพลังของเขาจะสูงกว่าตอนที่เขายังอยู่ในขั้น 5 อย่างมาก เขารับมือเฉียงซ่งได้ตอนที่มีร่างบรรพกาลขั้น 5 ซึ่งเขาก็เสียเปรียบ สุดท้ายเขาก็พึ่งการฟื้นฟูตัวเองใบฐานะเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงขั้น 9 เพื่อจะเป็นผู้ชนะ

แต่เมื่อเจี้ยนเฉินได้มีร่างบรรพกาลขั้น 6 ถึงเขาจะยังอยู่ระดับเซียนจักรพรรดิตามการแบ่งของทวีปเทียนหยวน แต่เขาก็เชื่อว่าเขาจะแข็งแกร่งพอที่จะสู้กับโอวหยางหยิงเว่ยได้