ขณะเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นตำแหน่งที่ตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกทั้ง 9
เป็นเวทียกสูง 9 เวที และขอบด้านหน้าของแต่ละเวทีจะมีคนในชุดคลุมสีน้ำเงินยืนตัวตรงดั่งหอกเฝ้าไว้ หากสังเกตให้ดีจะพบว่าพื้นเวทีดังกล่าว มีลวดลายและอักขระวาดเอาไว้ดั่งวงเวทย์
ลวดลายและอักขระบนวงเวทย์ดังกล่าวยังปรากฏแสงสีทองไหลเวียนอยู่ มองไปคล้ายเลือดที่สูบฉีดไปตามเส้นเลือด บ้างเร็วบ้างช้า เปล่งแสงวูบวาบไม่หยุด
“นั่นคือผู้พิทักษ์ค่ายกลที่ทางคฤหาสน์เฉวียนโยวส่งมา จะเรียกว่าผู้ดูแลก็ได้”
คล้ายสังเกตเห็นสายตาของต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพลันกล่าวอธิบายออกมาทันที “ผู้พิทักษ์ค่ายกลที่ทางคฤหาสน์เฉวียนโยวส่งมา แม้จะมีพลังฝีมือปานกลาง หากแต่ทั้งหมดล้วนแล้วแต่สามารถควบคุมค่ายกลที่คอยปกป้องค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกได้ทั้งสิ้น เรียกว่าหากทะเล่อทะล่าบุกขึ้นเวทีเคลื่อนย้ายหมายก่อการใดๆ ผู้พิทักษ์แต่ละคนสามารถเปิดใช้ค่ายกลสังหาร ที่สามารถฆ่าผู้ที่อยู่บนเวทีได้ในห้วงคิดเดียว”
“หากเป็นราชาอมตะชนชั้นสุดยอดฝีมือก็มีความเป็นไปได้ที่จะรอดพ้นจากความตาย แต่อย่างไรก็ไม่พ้นต้องถูกทำร้ายจนบาดเจ็บหนัก เรียกว่าสามารถถ่วงเวลาให้มากพอที่กำลังเสริมจากทางคฤหาสน์เฉวียนโยวจะมาถึง แน่นอนว่ากำลังเสริมที่ว่าก็จะถูกส่งผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายมาเช่นกัน และสามารถมาปรากฏตัววที่นี่ได้ในเวลาไม่กี่ลมหายใจ”
“เหตุไฉนที่แต่ละเวทีถึงมีผู้พิทักษ์คอยควบคุมใช้ค่ายกลสังหารแบบนั้น ก็เพื่อป้องกันผู้ที่คิดใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายแต่ไม่เต็มใจจะจ่ายผลึกอมตะระดับสูง 10,000 ชิ้นเป็นค่าธรรมเนียม…”
“นอกจากนั้นยังป้องกันคนที่คิดจะตีเนียนใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายอีกด้วย…”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวออกมารวดเดียวจบ
ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ไม่ยาก
ไม่แปลกอะไรที่ทางคฤหาสน์เฉวียนโยวจะทำแบบนี้
คฤหาสน์เฉวียนโยวไม่ใช่องค์กรการกุศล ย่อมต้องคิดหารายได้เป็นธรรมดา ในเมื่อพวกมันลงทุนจ้างปรมาจารย์ค่ายกลมาจัดตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้คนแบบนี้ ก็ย่อมคิดหาทุนคืนและหาผลกำไรระยะยาวเป็นธรรมดา
“ค่ายกลบนเวทีข้างหน้า เป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายที่จะพาพวกเราไปอวี้หวงเทียน”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่เดินนำต้วนหลิงเทียนมาหยุดยืนหน้าเวทีแห่งหนึ่งกล่าว
พอมองไปต้วนหลิงเทียนก็เห็นชายวัยกลางคนกับชายชรากำลังควักผลึกอมตะระดับสูงออกมาคนละ 10,000 ชิ้นเพื่อจ่ายให้กับผู้พิทักษ์เวที จนเมื่อชำระค่าธรรมเนียมเรียบร้อยแล้ว ผู้พิทักษ์ถึงปล่อยให้ทั้งคู่ขึ้นไปบนเวทีได้
หลังจากทั้งคู่ขึ้นไปบนเวที ชายวัยกลางคนกับชายชราก็หยิบควักผลึกอมตะระดับสูงออกมาคนละ 50,000 ชิ้น พริบตาบนเวทีก็เต็มไปด้วยกองผลึกอมตะ 100,000 ชิ้น
หลังผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ วงเวทย์ค่ายที่มีลวดลายสีทองบนเวทีก็เริ่มเปล่งแสงสว่างทั้งสร้างหมอกขาวออกมา และพริบตาหมอกดังกล่าวก็แผ่ซ่านไปปกคลุมผลึกอมตะระดับสูงทั้ง 100,000 ชิ้นเอาไว้ จากนั้นผลึกอมตะระดับสูงทั้ง 100,000 ชิ้นก็เริ่มหลอมละลายกลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของหมอกสีขาว
หมอกขาวที่ว่า หลังหลอมรวมเข้ากับผลึกอมตะระดับสูง 100,000 ชิ้นแล้ว พวกมันก็คล้ายจะควบแน่นจับตัวเป็นของเหลวสีขาว จากนั้นก็เริ่มแผ่ขยายไหลไปทั่ววงเวทย์บนเวที
พริบตาต่อมาของเหลวสีขาวบนเวที ก็เริ่มปั่นป่วนคล้ายกำลังจะเดือดพล่าน!
วู้มมม!!
ทันใดนั้นเอง อยู่ดีๆของเหลวสีขาวที่คล้ายกำลังเดือดพล่าน ก็เริ่มเปลงแสงสว่างออกมาเจิดจ้า ทำให้ชายวัยกลาคนและชายยชราบนเวทีถูกแสงขาวกลืนกินไปในชั่วพริบตา ยากที่ใครจะมองเห็นทั้งคู่ได้อีก
และพอแสงสว่างสีขาวดับลง ร่างทั้ง 2 คนบนเวทีก็หายไปแล้ว
นอกจากนั้นบนเวทีก็หวนกลับสู่สภาพปกติ ไร้แสงสีขาว ไร้ของเหลวสีขาว คงเหลือเพียงวงเวทย์ที่มีพลังสีทองไหลเวียนเหมือนตอนแรก…
“หืม? แค่เอาผลึกอมตะออกมากองก็ใช้ได้แล้ว ไม่ต้องบอกสถานที่อะไรให้ผู้พิทักษ์เลยรึ?”
ต้วนหลิงเทียนหันไปถามหลิงเจวี๋ยอวิ๋ย
“ไม่ต้องบอก”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นส่ายหัวไปมา “พอขึ้นไปบนเวที หลังจากที่นำผลึกอมตะระดับสูงแสนชิ้นออกมากอง และรอให้พวกมันเปลี่ยนเป็นของเหลวสีขาวที่คล้ายน้ำเดือด เพียงเจ้าแผ่สำนึกเทวะลงไปและคิดถึงสถานที่ๆจะไปค่ายกลก็จะส่งตัวเจ้าไปทันที”
“เป็นธรรมดาว่าสถานที่ๆจะไปต้องเหมือนกับที่ข้าเคยบอกไว้ก่อนหน้า เป็นสถานที่เฉพาะเจาะจงในระดับหนึ่ง อย่างเช่นเขตคฤหานน์เฉวียนโยวที่พวกเราอยู่…และพอเจ้าคิดว่าจะเคลื่อนย้ายไปเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว ในใจเจ้าจะสัมผัสได้ถึงสถานที่ตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายรับตัวในเขตนั้นทั้งหมดทันที”
หลิงจือหยุนกล่าว
“ค่ายกลเคลื่อนย้ายรับตัว…”
สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง เขาย่อมเคยอ่านเจอข้อมูลเรื่องนี้ในหอตำราฝ่ายในของนิกายอมตะเป้าผู่มาแล้ว ค่ายกลเคลื่อนย้ายรับตัวที่ว่า ก็คือค่ายกลที่มีไว้สำหรับรองรับผู้ที่ถูกส่งตัวมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายโดยเฉพาะ
แทบจะทุกที่ๆมีค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกจัดตั้งไว้ ก็จะมีค่ายกลเคลื่อนย้ายรับตัวจัดตั้งไว้ด้วยเสมอ แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องนำมาตั้งไว้ติดๆกัน
ที่สำคัญค่ายกลเคลื่อนย้ายรับตัว ในสถานการณ์ปกติก็ไม่จำเป็นต้องมีคนคุ้มกันอะไร และไม่จำเป็นต้องมีมาตรการป้องกันใดๆมากนัก
“ในเมืองฝูซานก็สมควรมีสถานที่ตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายรับตัวด้วยสินะ?”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองถามหลิงเจวี๋ยอวิ๋น
“มี”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพยักหน้า “ค่ายกลเคลื่อนย้ายยรับตัวของเมืองฝูซานถูกจัดตั้งไว้นอกประตูเมืองทิศตะวันออก…แน่นอนว่าแถวนั้นไม่ได้คึกคักมีคนมากมายเหมือนที่นี่ เป็นแค่พื้นที่เปิดโล่งๆ และมีแค่กระดานแผนที่บอกทิศทางให้ผู้ที่เดินทางมาถึงเท่านั้น”
สิ่งที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นตอบมา ก็เหมือนกับข้อมูลที่ต้วนหลิงเทียนรู้มา
แทบทุกที่ๆมีค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกจัดตั้งเอาไว้ มักมีค่ายกลเคลื่อนย้ายรับตัวจัดตั้งไว้ด้วยเสมอ และมักมีระยะห่างกันประมาณหนึ่ง
ครู่ต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็เห็นชายอีกคนที่มาคนเดียวจ่ายค่าธรรมเนียมให้ผู้พิทักษ์ จากนั้นก็ขึ้นไปบนเวทีค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังอวี้หวงเทียน ก่อนจะเคลื่อนย้ายไปอววี้หวงเทียนเพียงลำพัง
ครู่ต่อมาเมื่อแสงสว่างสีขาววดับลง ชายคนดังกล่าวก็หายไปจากเวทีแล้ว
ขณะเดียวกันด้านหน้าต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ไม่เหลือใครอีก เรียกว่าถึงตาพวกเขาแล้ว
เดิมทีต้วนหลิงเทียนคิดจะจ่ายผลึกอมตะระดับสูง 20,000 ชิ้นให้ผู้พิทักษ์เป็นค่าธรรมเนียม หากแต่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกลับไวกว่า อีกฝ่ายราวกับเตรียมไว้แต่แรก สะบัดมือส่งผลึกอมตะระดับสูง 20,000 ชิ้นให้ผู้พิทักษ์ตัดหน้าเขา และหันมามองกล่าวชวนต้วนหลิงเทียนทันที “ไปกันเถอะ”
(แก้นิดนึงครับ ค่าธรรมเนียมต้องจ่ายคนละ 10,000 ตอนก่อนผมเข้าใจผิดว่าถึงมา 2 คนก็ต้องจ่ายแค่ 10,000 เดียว)
“อ่า”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าและเดินตามหลิงเจวี๋ยอวิ๋ขึ้นเวทีไป ขณะเดียวกันเมื่อมาหยุดยืนกลงเวทีแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็สะบัดมือเรียกผลึกอมตะระดับสูง 100,000 ชิ้นให้ออกมากองเกลื่อนพื้นเวทีทันที
เห็นฉากดังกล่าวหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็อึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมายนัก
เพราะสำหรับมันแล้ว ผลึกอมตะระดับสูง 100,000 ชิ้นก็ไม่ได้มีค่าอะไรมากมาย
เป็นธรรมดาวว่าผลึกอมตะระดับสูง 100,000 ชิ้นก็ไม่ได้มีค่ามากมายอะไรสำหรับต้วนหลิงเทียนในตอนนี้เช่นกัน เพียงแค่ต้วนหลิงเทียนไม่คิดติดค้างอะไรหลิงเจวี๋ยอวิ๋น กระทั่งยังเลือกจะจ่ายเผื่อให้ด้วย
ตั้งแต่เมื่อชาติก่อนตอนอยู่บนโลก เขามักทำตามหลักการที่ว่า
ตราบใดที่เป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ด้วยเงิน เขาไม่คิดติดค้างใคร
หนี้น้ำใจ นับเป็นหนี้ที่ยากชำระคืนมากที่สุดในโลก
‘ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไฉนบันทึกในหอตำราฝ่ายในของนิกายอมตะกล่าวไว้ ว่าต้องใช้ผลึกอมตะระดับสูงเท่านั้นหากคิดจะใช้ค่ายกลเคลื่อนย้าย…เพราะสุดท้ายหากเป็นผลึกอมตะระดับกลางหรือต่ำ ค่ายกลเคลื่อนย้ายคงไม่อาจทำงานได้…’
ขณะที่ต้วนหลิงเทียนมองผลึกอมตะระดับสูง 100,000 ชิ้น ถูกหมอกสีขาวจากค่ายกลเคลื่อนย้ายแผ่มาปกคลุม ก็นึกถึงเรื่องที่เขาได้รู้จากหอตำราของนิกายอมตะเป้าผู่ขึ้นมา
ตัวค่ายกลนั้นสามารถรองรับผลึกอมตะได้แค่ 100,000 ชิ้นเท่านั้น หากไม่ใช่ระดับสูงเกรงว่าพลังงานที่ได้จะไม่พอ จำต้องใช้ผลึกอมตะระดับสูงขึ้นไป
“หากสองคนคิดจะใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายด้วยกัน ก็ต้องผสานสำนึกเทวะลงสู่ของเหลวสีขาวทั้งคู่ก่อน…ค่ายกลถึงจะเริ่มต้นกะบวนการส่งตัว แน่นอนว่าถ้าคิดถึงจุดหมายไม่เหมือนกัน มันก็จะไม่ทำงาน”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอ่ยขึ้น
“เอาล่ะ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า จากนั้นก็รอให้หมอกสีขาวทำการย่อยสลายดูดซับผลึกอมตะระดับสูงทั้ง 100,000 ชิ้นจนกลายเป็นของเหลวแล้วเสร็จ ค่อยแผ่สำนึกเทวะไปยังของเหลวสีขาวตามที่หลิงเทียนอวิ๋นบอก
‘อวี้หวงเทียน แดนผิงเทียน คฤหาสน์เอี้ยนซาน’
ต้วนหลิงเทียนคิด
เดิมทีต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก แต่พอกำลังจะเดินทางไปจริงๆ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย
นั่นเพราะในอวี้หวงเทียน มีตัวตนที่เขารู้จักดีในชาติก่อน
อย่างเช่นราชาวานร ซุนหงอคง แม่ทัพเทียนเผิง ตือโป๊ยก่าย หรือซัวเจ๋งจากไซอิ๋ว และยังมียอดคนอื่นๆอีก
เรียกว่าทั้งหมดล้วนเป็นตัวตนในตำนานปรัมปราทั้งสิ้น
‘อย่างไรเสียด้วยด่านพลังของข้าตอนนี้คงยากจะเข้าถึงตัวตนเหล่านั้นได้…ในบรรดาตัวตนในตำนานทั้งหลาย ที่อ่อนแอที่สุด ก็ไม่พ้นต้องเป็นจักรพรรดิอมตะกันแล้วกระมัง’
ต้วนหลิงเทียนลอบทอดถอนในใจ
หากเขาเป็นจักรพรรดิอมตะคนนึงในอวี้หวงเทียน ก็อาจจะมีลู่ทางพบเจอตัวตนในตำนานเหล่านั้นของอวี้หวงเทียนได้ แต่อาศัยด่านพลังของเขาตอนนี้ กระทั่งยามหน้าประตูบ้านผู้อื่นก็คงไม่อาจเป็นได้
‘จะว่าไป…แดนผิงเทียนที่ว่านั่น?’
‘หากจำไม่ผิด…คนที่ราชาวานรซุนหงอคงนับถือเป็นพี่ใหญ่อย่าง ราชาปีศาจวัว ก็เหมือนจะถูกเรียกหาว่า ผิงเทียนต้าเซิ่น…ไม่ทราบจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับแดนผิงเทียนที่ว่ารึเปล่า?’
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังสงสัยเรื่องนี้ ของเหลวสีขาวใต้เท้าเขาก็เริ่มเปล่งแสงสว่างขึ้นมาห่อหุ้มเขาพอดี
…
ในขณะเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนและหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเดินทางออกจากหลิงหลัวเทียนไปยังอวี้หวงเทียนนั้น
ใกล้ๆสถานที่ตั้งนิกายอมตะเป้าผู่ คนของหน่วยข่าวกรององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด ก็ได้บดขยี้ยันต์อมตะสื่อสาร เพื่อส่งข้อมูลที่ได้รับมากลับไปยังหน่วยข่าวกรองขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด
“ต้วนหลิงเทียน ศิษย์ที่แท้จริงของนิกายอมตะเป้าผู่ ไม่ได้ย้อนกลับมานิกายอมตะเป้าผู่…”
นี่คือข้อความที่คนของหน่วยข่าวกรององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดส่งกลับไป
หลังหน่วยข่าวกรองขององค์กรกะโหลกเลือดได้รับทราบข้อความดังกล่าว ก็ประสานติดต่อแจ้งไปยังผู้ที่รับผิดชอบภารกิจสังหารต้วนหลิงเทียนทันที
กล่าวไปผู้รับผิดชอบภารกิจสังหารต้วนหลิงเทียนก็ได้เปลี่ยนมือไปแล้วหลายครั้ง และในตอนนี้ก็ตกอยู่ในความรับผิดชอบของ 1 ใน 3 รองผู้นำองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด เฉินหย่วนซาน
‘สารเลวน้อยนี่…ไฉนไปรับงานยุ่งยากเช่นนี้มาได้! ไอ้หนูแซ่ต้วนนั่นมันรู้แล้วว่าองค์กรกะโหลกเลือดไม่คิดเลิกราเรื่องไล่ฆ่ามัน เช่นนั้นหลังออกจากนิกายอมตะเป้าผู่ได้ ไม่พ้นต้องหายเข้ากลีบเมฆแน่แท้ ไหนเลยจะโผล่หัวออกมาให้เจอตัวง่ายๆอีก’
‘คิดจะตามล่าหาตัวมันเกรงว่าคงยากเย็นแล้ว’
เฉินหย่วนซานเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหนักแน่นมั่นคง หว่างคิ้วไม่ขาดอำนาจบารมี แลดูน่าเกรงขามนัก
เฉินหลี เป็นลูกชายคนเดียวของมัน
เฉินหลีที่ว่า ก็คือผู้ที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากเจิ้งหงอี้ศิษย์สายตรงลำดับ 3 ของซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายยอมตะเป้าผู่ จากนั้นจึงตอบแทนเจิ้งหงอี้ด้วยการค้ำประกันให้องค์กรกะโหลกเลือดออกภารกิจสังหารต้วนหลิงเทียน