ตอนที่ 3090

War sovereign Soaring The Heavens

สูงขึ้นไปบนฟ้าเหนือยอดเขา ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจากระนาบปี้สุ่ยเทียนที่ลงมือจู่โจมม่านพลังคนแรก บัดนี้มันกำลังเผชิหน้ากับมวลพลังสีฟ้าขุมหนึ่ง ที่อยู่ๆก็พวยพุ่งออกมาจากม่านพลังดั่งน้ำป่าไหลหลาก!

 

และพริบตาต่อมา

 

ซ่า! ซ่า! ซ่า! ซ่า! ซ่า! ซ่า!

 

 

เสียงธารเชี่ยวดังขึ้นกระหึ่ม ทั่วร่างยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดของปี้สุ่ยเทียนพยายามเร่งเร้าพลังชั่วชีวิตออกมาหมายต้านทานธารน้ำเชี่ยวเบื้องหน้า สภาวะพลังยังรุนแรงกล้าแข็งถึงขีดสุด!

 

ตูมมมมม!

 

ซัว ลา ลา…

 

……

 

อนิจจา พลังชั่วชีวิตของยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจากระนาบปี้สุ่ยเทียน ดั่งคลื่นน้ำในอ่างพบพานคลื่นสมุทรสุดคุ้มคลั่ง! ไม่อาจต้านทานใดๆได้แม้แต่นิดเดียว กระทั่งจะทำให้มวลพลังดั่งธารเชี่ยวสี่ฟ้าที่ปะทุออกมาจากม่านพลังช้าลงสักเสี้ยวก็ไม่ได้! สภาวะพลังธารเชี่ยวไม่แม้แต่จะถดถอย พริบตาก็โถมถันมาถึง ม้วนกลืนร่างมันหายไปในบัดดล!!

 

จากนั้นทุกสายตาพลันเห็นมวลพลังดั่งธารเชี่ยวสีฟ้านั่น แต่งแต้มไปด้วยสีแดงฉาน หากแต่เศษซากชิ้นเนื้อผู้คนกลับหามีไม่ ล้วนโดนพลังเกรี้ยวกราดสีฟ้าดังกล่าวป่นปี้ทำลายจนไม่มีเหลือ! และไม่ทันไรมวลพลังดั่งธารเชี่ยวอำมหิตก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน!!

 

สุดท้าย ท่ามกลางสายตาของทุกผู้คน ก็คงเหลือแต่แหวนพื้นที่วงหนึ่ง ชุดเกราะอมตะ และอุปกรณ์อมตะคู่กายของยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจากระนาบปี้สุ่ยเทียน ค่อยๆหล่นร่วงลงมาตามแรงโน้มถ่วง พร้อมๆกันกับที่หัวจิตหัวใจทุกคนก็ดิ่งวูบลงไปตามๆกัน…

 

“ช่างเป็นค่ายกลที่ร้ายกาจนัก…ไม่เพียงแต่จะปกคลุมปิดกั้นได้ทั่วทั้งยอดเขา แต่กลับมีพลังสังหารน่ากลัวขนาดนี้…”

 

ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดหลายคนได้แต่กล่าวออกมาอย่างหวาดกลัว

 

และเมื่อเห็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจากระนาบปี้สุ่ยเทียนตกตายไปต่อหน้าต่อตา ถึงแม้เหล่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่เหลือจะคิดหลบหนีจากไปเหมือนเดิม แต่พวกมันก็ไม่กล้าทำลงมือส่งเดชอีก ทั้งหมดเอาแต่จับจ้องไปยังม่านพลังโปร่งแสงที่ครอบคลุมยอดเขาหมาป่าหอนฟ้าเอาไว้ ด้วยสายตาทำราวกับนั่นคือศัตรูชั่วชีวิต!

 

และหลังจากนั้นไม่ทันไร ม่านพลังโปร่งแสงดังกล่าว ก็ค่อยๆจางลงเรื่อยๆ สุดท้ายก็อันตรธานหายไปจากสายตาของทุกคน

 

อย่างไรก็ตามแม้ม่านพลังโปร่งแสงนั่นจะดูเหมือนหายไปแล้ว แต่ก็ไม่มีใครกล้าคิดลองดีอีก พวกมันเห็นกรณีตัวอย่างจากยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจากระนาบปี้สุ่ยเทียนกับตา จึงรู้ว่าม่านพลังดังกล่าวก็แค่ถูกซ่อนเอาไว้ชั่วคราว และหากใครคิดจะหลบหนีอีก ไม่พ้นกระตุ้นค่ายกลให้เปิดกางม่านพลังอีกเป็นแน่!

 

“ค่ายกลนี่…จักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดนั่น ไม่น่าจะควบคุมได้ดั่งใจใช่ไหม?”

 

ต้วนหลิงเทียนหันไปมองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นด้วยคิ้วขมวดย่นยู่ เอ่ยถามผ่านพลังเสียงหนัก “หากในแดนลับของมันจัดตั้งค่ายกลทำนองนี้ไว้อีก…กระทั่งหากมีค่ายกลที่ทรงพลังระดับนี้อย่างอื่น แล้วพวกเราจะช่วงชิงผลเทพสังเวยสวรรค์กับมันยังไง…”

 

พลังสังหารที่ค่ายยกปะทุออกมาเมื่อครู่ ต้วนหลิงเทียนไม่อาจไม่กลัว!

 

“เจ้าอย่าได้กังวล”

 

เมื่อเทียบกับความวิตกกังวลของต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋นยังคงสงบนิ่งไม่แยแส “ค่ายกลทั้งหมดของมันสมควรถูกจัดตั้งเมื่อชาติที่แล้ว เมื่อเวลาผ่านไปนับร้อยปีแบบนี้ ต่อให้ชาติก่อนมันจะอัดพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดขอบเขตจักรพรรดิอมตะไว้แค่ไหน แต่บัดนี้อย่างดีก็คงเหลือพลังแค่ขอบเขตราชาอมตะเท่านั้น…”

 

“นอกจากนั้นพลังของกฏแห่งน้ำที่ปะทุออกมาเมื่อครู่ ก็เกิดจากพลังที่มันบรรจุไว้ในค่ายกลแต่แรก เรื่องจะฆ่ายอดเซียนยอมตะขั้นสูงสุดได้ก็ไม่แปลก”

 

“อย่างไรก็ตาม ที่ค่ายกลปะทุพลังสังหารเมื่อครู่ หาใช่การควบคุมของมันไม่! เพราะตอนนี้ด้วยพลังของมันคงไม่อาจควบคุมค่ายกลระดับนี้ได้…ทั้งหมดเป็นเพราะเมื่อครู่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดของปี้สุ่ยเทียนลงมือก่อนเท่านั้น หากมันไม่ลงมือทำอะไร มันก็ไม่มีทางโดนโจมตีแน่นอน”

 

“เพราะค่ายกลนั่น สมควรตอบโต้กลับโดยอัตโนมัติ…”

 

หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะอย่างไรก็มาจากดินแดนการล่มสลายยแห่งทวยเทพ และเป็นคนของตระกูลลับ จึงกล่าวได้ว่าถึงมันไม่เคยกินหมู แต่อย่างน้อยๆก็ต้องเคยเห็นหมูวิ่ง และที่สำคัญตอนมันยังเด็ก ก็มีผู้อาวุโสในตระกูลทำของเล่นที่เกี่ยวกับค่ายกลมาให้มันเล่นบ่อยๆ มันจึงรู้เรื่องค่ายกลมากพอสมควร

 

ต้วนหลิงเทียนพอได้ฟังก็เข้าใจได้ทันที

 

“ยิ่งไปกว่านั้น หากแดนลับที่มันสร้างไว้เมื่อชาติก่อนจำกัดด่านพลังของผู้ที่จะเข้าไปให้ต่ำกว่าขุนนางอมตะ หมายความว่ามันก็ไม่อาจใช้พลังอำนาจใดๆที่เกิดขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดในนั้นได้เลย…”

 

“สำหรับความลึกซึ้งที่มันเคยเข้าใจเมื่อชาติก่อน โดยทั่วไปแล้วจะใช้ออกได้ก็ต้องอาศัยระดับพลังเซียยนอมตะต้นกำเนิดของมันเมื่อชาติก่อน หลังกลับมาเกิดใหม่แบบนี้ มันไม่อาจใช้งานได้แน่นอน ที่สำคัญตามกฏสวรรค์และโลก มันสมควรต้องเริ่มทำความเข้าใจกฏใหม่แต่แรก อย่างดีก็แค่ก้าวหน้าไวกว่าผู้อื่นเท่านั้น”

 

หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวสืบต่อ

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า หากเป็นแบบนี้จริงก็นับว่าภัยคุกคามขออีกฝ่ายที่มีต่อเขา มันลดน้อยลงไปมาก

 

“อย่างไรก็ตามในแดนลับที่มันสร้างไว้ มันก็สมควรควบคุมค่ายกลได้บางส่วน แต่แน่นอนว่ามันไม่มีทางควบคุมค่ายกลสังหารได้เลย…หาไม่แล้วข้าคงไม่ชวนเจ้ามาที่นี่แต่แรก”

 

หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวถึงจุดนี้ สีหน้าน้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นจริงจังเล็กน้อย “หากข้าเดาไม่ผิด ในแดนลับที่ว่า ค่ายกลที่มันสามารถควบคุมและส่งผลกับพวกเราได้ สมควรเป็นค่ายกลประเภทมายาลวงตา ไม่ก็ค่ายกลหลอนประสาทเท่านั้น”

 

พร้อมๆกันกับที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวจบคำ

 

วู้มมม!

 

ฟุ่บบบ!!

 

 

ท่ามกลางสายตาของทุกคน สูงขึ้นไปบนฟ้าเหนือยอดเขา ปรากฏมวลพลังสีฟ้าดั่งแพเมฆอุบัติขึ้น จากนั้นแพเมฆดังกล่าวก็ส่องแสงลงมา ดูไปดั่งเสาแสงหนึ่งตั้งตระหง่านท่ามกลางความว่างเปล่า

 

จากนั้นไม่นาน ในสายตาของต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋นและคนอื่นๆ ในเสาแสงสีฟ้าดังกล่าว ก็ปรากฏร่างพร่าเลือนหนึ่งผุดโผล่ขึ้นมาปานภูตผี

 

ร่างพล่าเลือนดังกล่าวค่อยๆชัดขึ้นทีละนิดๆ และในที่สุดก็เห็นเป็นชายหนุ่มรูปร่างสมส่วนคนหนึ่ง!

 

ชายหนุ่มผู้นี้มาในชุดคลุมสีน้ำเงิน รูปร่างหน้าตาแลดูธรรมดาๆ เรียกว่าหากมันเดินปะปนไปกับฝูงชนก็คงยากจะชี้ตัวได้ อย่างไรก็ตามแววตาของมันกลับกระจ่างดั่งสระยามสารท ชวนให้ผู้คนรู้สึกถึงความอ่อนโยน

 

เรียกว่าดวงตาคู่นี้ของมัน เป็นจุดเด่นเพียงอย่างเดียวที่มันมี

 

“เป็นมัน!”

 

“ในที่สุดมันก็มาได้เสียที!”

 

“เจ้านัน่คือคนที่หลอกให้ข้ามาที่นี่!!”

 

 

เมื่อชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินปรากฏตัวขึ้น ลูกตายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดมากมายก็หดเล็กลง สีหน้ายังเริ่มกลับกลายเป็นมืดมน!

 

เพราะยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่ว่า ล้วนเคยพบเจอชาหนุ่มในชุดสีน้ำเงินมาแล้ว อีกฝ่ายก็คือคนที่ไปชักชวนพวกมันให้มายังที่แห่งงนี้ เพื่อร่วมมือกันเข้าสู่มรดกสถานของตัวตนที่น่าจะเป็นถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ!

 

“ใช่มันรึเปล่า?”

 

ต้วนหลิงเทียนหันไปมองถามหลิงเจวี๋ยอวิ๋น

 

เขาจำได้ว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเคยเจอกับคนที่ชักชวนพวกเขามาที่นี่

 

“อืม มันนั่นล่ะ”

 

หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพยักหน้า และไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่สองตาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่จับจ้องมองไปยังชายหนุ่มชุดคลุมสีน้ำเงินได้หดหยีเล็กลง เผยประกายเยียบเย็นหนึ่ง

 

มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวที่อยู่ท่ามกลางผู้คน ก็มองจ้องชายหนุ่มชุดคลุมสีน้ำเงินด้วยสีหน้าแววตามืดมนเช่นกัน

 

เพราะนางก็ถูกอีกฝ่ายหลอกให้มาที่นี่ด้วย

 

เท่าที่นางพิจารณาจากสถานการณ์ในตอนนี้ เกรงว่าที่ชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินหลอกนางให้มาที่นี่ ไม่ใช่เพื่อเข้าสู่มรดกสถานของจักรพรรดิอมตะอะไร แต่สมควรมีการสมคบคิดอะไรบางอย่างแน่นอน!

 

“ยินดีที่ได้พบพวกเจ้าทุกคน ข้าชื่อ เจียงหลาน”

 

ชายหนุ่มชุดคลุมน้ำเงินคลี่ยิ้มเอ่ยทักทายทุกคน ขณะเดียวกันมันก็ค่อยๆก้าวออกมาจากเสาแสงสีฟ้า และพอร่างมันก้าวพ้นนอกรัศมีแสง เสาแสงสีฟ้าดังกล่าวก็จางหายไปในอากาศว่างเปล่า ราวกับไม่เคยปรากฏมาก่อน

 

“อาคมเคลื่อนย้าย?”

 

ตั้งแต่วินาทีแรกที่ต้วนหลิงเทียนเห็นชายหนุ่มชุดคลุมสีน้ำเงินปรากฏตัวในเสาแสงสีฟ้า เขาก็คาดเดาได้ทันทีว่ามันสมควรมาปรากฏตัวที่นี่ด้วยค่ากลเคลื่อนย้ายแน่นอน

 

พอเห็นลำแสงอันตรธานหายไปแบบนั้น ต้วนหลิงเทียนก็ยืนยันข้อสันนิษฐานได้ทันที

 

“เจ้าหลอกพวกเรามาที่นี่ทำไม?”

 

ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจากระนาบจี๋กวงเทียน เป็นผู้นำโพล่งถามออกมาเสียงแข็ง สองตามันมองจ้องเจียงหลานเขม็ง สีหน้าแลดูไม่สบอารมณ์อย่างถึงที่สุด

 

“ข้ามิได้บอกเจ้าไปแล้วหรือตอนที่ข้าชวนเจ้า? ข้าชวนเจ้ามาสำรวจมรดกสถานของจักรพรรดิอมตะอย่างไรเล่า”

 

รอยยิ้มยังคงคลี่กางบนใบหน้าเจียงหลานไม่เสื่อมคลาย

 

“สำรวจมรดกสถานของจักรพรรดิอมตะ…จำเป็นต้องชวนคนมามากมายถึงขนาดนี้?”

 

ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจากปี้สุ่ยเทียนคนหนึ่ง พลันโพล่งถามต่อออกมาเสียงเข้ม

 

“หืม?”

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ทันที่เจียงหลานจะได้ตอบคำถามของยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจากปี้สุ่ยเทียน มันก็คล้ายสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง จึงเงยหน้าขึ้นไปมองบนฟ้าสูงไกลๆ ลูกตายังจับจ้องเพ่งเล็งไปยังจุดหนึ่ง จากนั้นมุมปากก็เริ่มยกยิ้มแสยะเย้ยหยัน แลดูชั่วร้ายพิกล

 

ตอนนี้ด้วยความที่ยอดเซียยนอมตะขั้นสูงสุดนับหมื่นบนยอดเขากำลังจับตาดูเจียงหลานอยู่ พอเห็นอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นไปมองฟ้า ทุกคนก็เลยเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าตามอีกฝ่ายด้วยความอยากรู้

 

ต้วนหลิงเทียนก็หันมองไปตามทิศทางสายตาอีกฝ่ายเช่นกัน

 

อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนที่มองขึ้นไปบนฟ้านอกจากฟ้าสีดำอันมีดาราทอประกายระยิบระยับก็พบเจอแต่ความว่างเปล่า ทำให้อดสงสัยไม่ได้ ‘เจียงหลานนั่นมันมองอะไรของมันอยู่?’

 

ทว่าความคิดดังกล่าวพึ่งจะปรากฏขึ้นมาไม่ทันไร สองตาต้วนหลิงเทียนก็หรี่ลงทันที

 

นั่นเพราะสูงขึ้นไปบนฟ้ามืด เมฆขาวที่ถูกความมืดกลืนกินจนดำสนิทแต่เดิม บัดนี้ก็เสมือนถูกกระบี่มากมายฟันแหวก เผยให้เห็นฟ้ามืดทั้งดวงดาราสกาวอีกครั้ง

 

“มีคนมา?”

 

ถึงแม้ด้วยความมืดและไกลห่างทำให้ยากจะมองเห็นได้ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่ยากอะไรที่ต้วนหลิงเทียนจะเดาได้ว่าสมควรมีคนกำลังพุ่งแหวกเมฆลงมาด้วยความเร็วสูง อีกทั้งยังเป็นความเร็วอันเหนือล้ำสุดที่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจะเทียบได้อีกด้วย!

 

ต้วนหลิงเทียนลองไถ่ถามตัวเองดู ก็ตอบได้ทันที หากยังอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดล่ะก็ ต่อให้รวดเร็วแค่ไหน ก็ไม่มีทางรอดพ้นสายตาเขาไปได้แน่นอน!

 

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

 

 

และในขณะเดียวกันกับที่ทุกคนกำลังถูกม่านเมฆบนฟ้ามืดที่อยู่ๆก็แยกออกดึงดูดความสนใจ เหนือยอดเขาหมาป่าหอนฟ้า ก็ปรากฏร่างมากมายวูบลงจากฟ้าสูงมาปรากฏดั่งภูตผี!

 

เมื่อแสงดาวสาดส่องลงมา ก็เปิดเผยให้รู้ว่าเหล่าผู้มาใหม่นับสิบนั้น มีทั้งหนุ่มสาว วัยกลางคน และผู้ชรา…

 

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

 

 

และหลังจากร่างนับสิบปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว ก็ปรากฏประกายแสงพลังวูบวาบปานดาวตกพุ่งมาหยุดเหนือน่านฟ้าของยอดเขาอีกมากมาย สุดท้ายน่านฟ้าเหนือยอดเขายามนี้ ก็มีร่างผู้มาใหม่ปรากฏตัวขึ้นทั้งสิ้น 500 กว่าคน จากนั้นก็ไม่มีผู้ใดปรากฏตัวออกมามาอีก

 

และตั้งแต่ที่คนกลุ่มแรกปรากฏตัวขึ้นจนคนสุดท้าย ก็กินเวลาไปแค่ไม่ถึง 10 ลมหายใจ

 

“เจ้า เจียงหลานงั้นสินะ?”

 

ทันใดนั้นเอง ชายหนุ่มในชุดผ้าแพรหรูหราคนหนึ่งค่อยๆก้าวออกมาจากกลุ่มยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดบนยอดเขา เงยหน้ามองไปยังเจียงหลานด้วยสีหน้าถือดี แผดเสียงเข้มเอ่ยถามพลางแสยะยิ้ม “ตอนนี้อาจารย์ของข้ามาถึงแล้ว…เจ้าอย่าได้คิดเล่นลิ้นอันใด! เพียงบอกมาตรงๆเสียประเสริฐกว่า ว่าที่แท้เจ้าหลอกข้ามาที่นี่ทำอะไรกันแน่?!”

 

หลังได้ยินคำพูดถือดีของชายหนุ่มชุดแพรหรูหรานั่น คิ้วต้วนหลิงเทียนก็เลิกขึ้นเล็กน้อย

 

ดูเหมือนในบรรดายอดฝีมือทั้ง 500 กว่าคนที่พึ่งมาถึง จะมีอาจารย์ของอีกฝ่ายรวมอยู่ด้วย

 

สำหรับคนที่เหลือ ต้วนหลิงเทียนก็เดาได้ไม่ยากว่าสมควรเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ไม่ก็ผู้อาวุโสของยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่ถูกล่อลวงให้มาเขตคฤหาสน์เอี้ยนซานของอวี้หวงเทียนแน่นอน

 

“อาจารย์ของเจ้า?”

 

มองไปยังชายหนุ่มในชุดผ้าแพรหรูหราที่ก้าวออกมาโพล่งคำโอหังถามไถ่มัน รอยยิ้มที่มุมปากของเจียงหลานยิ่งมาก็ยิ่งเผยความชั่วร้าย เอ่ยถามออกไปเสียงเรียบ “หากข้าจำมิผิด…”

 

“วันนั้นตอนที่ข้าชวนเจ้ามา ข้าสมควรกำชับเจ้าไว้แล้ว…ว่ามิให้เจ้านำเรื่องมรดกสถานของจักรพรรดิอมตะไปบอกเล่าต่อผู้ใดใช่หรือไม่?”