ตอนที่ 3095

War sovereign Soaring The Heavens

ในระนาบเทวโลก ผู้อมตะสามารถปลูกฝังตราทาสลงบนวิญญาณของผู้อมตะคนอื่นได้หากผู้อมตะคนนั้นยินยอม และเมื่อถูกประทับตราทาสแล้ว ก็ทำได้แค่เชื่อฟังเจ้าของตราทาสเท่านั้น หาไม่แล้วเจ้าของตราทาสอาศัยเพียงหนึ่งความคิดก็ทำลายวิญญาณได้ทันที!

 

แน่นอนว่าหากผู้อมตะคนไหนคิดปลูกตราทาสลงบนวิญญาณผู้อมตะอีกคน ไม่เพียงแต่ต้องให้ผู้อมตะอีกคนยินยอมพร้อมใจเท่านั้น ระดับพลังวิญญาณของอีกฝ่ายต้องไม่สูงกว่ามันอีกด้วย

 

ตอนนี้ด่านพลังของเจียงหลานก็คือยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดเท่าหลิวเจวี๋ยอวิ๋น เช่นนั้นขอเพียงหลิงเจวี๋ยอวิ๋นยินยอม มันก็สามารถปลูกฝังตราทาสลงบนวิญญาณหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้ทันที

 

ทว่าเจียงหลานไม่ได้รู้เลย

 

ว่าถึงมันจะเป็นจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิด และหลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่ใช่ผู้อตะกลับชาติมาเกิดอะไร หากทว่าชาติกำเนิดของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้น สูงส่งสุดที่ตัวมันจะจินตนาการได้ออก! เรื่องที่มันคิดจะให้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นยอมสยบต่อมัน เกรงว่าคงยากยิ่งกว่าให้คนธรรมดาที่รแขนขาพิการปีนบันไดมีดขึ้นสวรรค์!

 

ภายในถ้ำอันกว้างใหญ่ไพศาล เจียงหลานที่นั่งขัดสมาธิกลางฟ้าเหนือต้นไม้ใหญ่บนเกาะกลางน้ำ เหลือบมองการเข่นฆ่าเบื้องหน้าอย่างเฉยเมย

 

ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดตกตายคนแล้วคนเล่า เลือดและดวงจิตของผู้ที่ตกตายก็ถูกต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ดูดกลืนจนหมด กลายเป็นสารอาหารหล่อเลี้ยงต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ และสภาพการณ์ของต้นไม้เทพสังเวยยสวรรค์เองก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย

 

เดิมทีต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ก็แค่มีสีเลือดเท่านั้น แต่บัดนี้ไม่ว่าจะลำต้นหรือกิ่งก้านใบ ก็ปรากฏสีเลือดเข้มขึ้นทุกขณะ มองแล้วประหนึ่งจะมีเลือดไหลออกมาก็ไม่ปาน!

 

และบริเวณกิ่งใหญ่หนึ่ง ก็เริ่มผลิดอกขึ้นมาแล้ว

 

การต่อสู้ภายในถ้ำไพศาล ล้วนดำเนินไปในลักษณะตัวต่อตัว

 

ทั้งหมดเกิดจากการทำงานของค่ายกลที่เจียงหลานตระเตรียมไว้ตั้งแต่ชาติที่แล้ว มันคิดให้ทุกคนพบปะคู่ต่อสู้ไปทีละคนๆ และเข่นฆ่ากันไปจนเหลือคนสุดท้าย…จากนั้นมันก็แค่สังหารคนสุดท้ายที่เหลือเสีย รับผลเทพสังเวยสวรรค์ไปใช้สบายใจเฉิบ…

 

“ยั้งมือด้วย!”

 

เสียงร่ำร้องหนึ่งดังขึ้น หากแต่ต้วนหลิงเทียนหาได้แยแสอันใด แหวนในมือปรากฏเพลิงลุกโชนขึ้นมาขุมหนึ่ง ก่อนจะควบรวมเป็นกระบี่เพลิง พุ่งทะยานออกไปฉับไว ปลิดปลงชีวิตชายวัยกลางคนได้อย่างง่ายดาย

 

จากนั้น เลือดเนื้อและดวงจิตของชายวัยกลางคนก็ถูกต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ดูดกลืน

 

ฉากเรื่องราวดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนชินชามานานแล้ว เพราะไม่เพียงแต่คนที่ถูกเขาฆ่าจะพบจุดจบเช่นนี้ กระทั่งคนอื่นๆที่ตกตายในโถงก็ประสบชะตากรรมเดียวกัน

 

เจอผู้ใดเขาก็เพียงเข่นฆ่าสังหารไปอย่างเฉยเมย ไม่ได้บังเกิดอาการยินดียินร้ายใดๆ

 

ทุกคนในห้องโถงงแห่งนี้…ล้วนถูกความโลภและความปรารถนาขับเคลื่อนทั้งนั้น! แม้จะน่าเศร้าแต่เขาไม่คิดสงสาร!!

 

‘หากไม่มีหวงเอ้อ หากไม่มีเทพแห่งธาตุทั้ง 5..ป่านนี้ข้าอาจจะพบพานจุดจบดุจเดียวกันกับพวกมันก็ได้ สุดท้ายก็เป็นได้แค่ปุ๋ยให้ต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์…’

 

หลังจากฆ่าชายวัยกลางคนไปแล้ว และกำลังรอให้คู่ต่อสู้อีกคนปรากฏตัว ต้วนหลิงเทียนก็ทำทีเป็นกวาดตามองไปรอบๆ แต่เหลือบมองไปยังต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์พลางกล่าวในใจ

 

สำหรับเจียงหลานที่นั่งขัดสมาธิกลางอากาศเหนือต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์นั่น เขาก็สังเกตเห็นมันนานแล้ว แต่เขาไม่คิดแหวกหญ้าให้งูตื่น จึงพยายามไม่มองมัน

 

หากเจียงหลานบังเกิดความสงสัยว่าเขาไม่ติดอยู่ในภาพมายาของค่ายกลล่ะก็ อีกฝ่ายไม่พ้นต้องเฝ้าระวังทั้งเพ่งเล็งเขาแน่ ถึงตอนนั้นเรื่องจะได้ผลเทพสังเวยสวรรค์ก็กลายเป็นยากเย็นแล้ว

 

มันที่เป็นจักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิด การลงมืออย่างไม่ทันตั้งตัว กับการลงมือโดยเตรียมการไว้ก่อน นับเป็น 2 เรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง…

 

ฟุ่บ!

 

ต้วนหลิงเทียนคิดถึงจุดนี้ เบื้องหน้าเขาก็ปรากฏร่างวูบมาอีกครั้ง เป็นชายหนุ่มในชุดสีเขียวที่มองจ้องมาที่เขาด้วยเจตนาฆ่าฟัน และมันก็ไม่รั้งรออะไร โจนร่างทะยานพร้อมเสือกกระบี่จี้เข้าใส่เขาทันที

 

ดูจากลักษณะพลังแล้ว ชายหนุ่มชุดเขียวผู้นี้สมควรเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งน้ำ 2 ประการ

 

ทันทีที่มันลงมือ ปลายกระบี่ของมันก็ปรากฏมวลพลังสีฟ้ายิงพุ่งออกมาประหนึ่งน้ำแรงดันสูง ราวคิดฉีดดับเพลิงไฟที่ลุกโชนอยู่ทั่วร่างของเขา

 

ฟู่ม! ฟู่ม! ฟู่ม!

 

 

อย่างไรก็ตามแม้มวลน้ำที่พุ่งมาปานลำแสงของชายหนุ่มชุดเขียวจะทรงพลังไม่ใช่ชั่ว แต่ก็ถูกกระบี่เพลิงของเขาพุ่งแหวกไปได้อย่างง่ายดายจนดูคล้ายมัจฉาว่ายทวนลำน้ำ! กระทั่งน้ำที่ผ่าแยกยังระเหยเป็นไอในฉับพลัน!!

 

“ไม่!!”

 

เสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความไม่ยินยอมดังขึ้น สุดท้ายชายหนุ่มชุดเขียวก็ตกตายด้วยน้ำมือต้วนหลิงเทียนอีกคน

 

ทั้งหมดเพราะมันไม่เคยเห็นต้วนหลิงเทียนลงมือมาก่อน หาไม่แล้วมันคงรู้ว่าต้วนหลิงเทียนได้เข่นฆ่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 2 ประการอย่างมันได้ง่ายดายเพียงใด ถึงตอนนั้นน่ากลัวว่ามันคงไม่มีแม้แต่ความกล้าจะลงมือ…

 

จนถึงตอนนี้ แม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะยังใช้ความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟแค่ 2 ประการอย่างธาตุไฟและลุกโหม อย่างไรก็ตามด้วยเขามีแหวน 9 วิญญาณหยางลี้ลับ อันเป็นอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันเสริมพลัง ทำให้เขามีพลังเข่นฆ่าผู้อื่นได้อย่างเหลือเฟือ

 

แน่นอนว่าเป็นเพราะคู่ต่อสู้ทั้งหมดที่เขาเจอจนถึงตอนนี้ ล้วนเข้าใจความลึกซึ้งแค่ 2 ประการเท่านั้น ยังไม่เคยเจอยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดชนชั้นยอดฝีมือสักคน

 

หากเขาพบเจอยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 3 ประการล่ะก็ ด้วยพลังของเขาตอนนี้ เกรงว่าอย่างดีคงทำได้แค่สู้เสมออีกฝ่าย และนี่ต้องตั้งอยู่ในพื้นฐานที่ว่าอีกฝ่ายใช้แค่อุปกรณ์อมตะระดับราชา และเขาใช้แหวน 9 วิญญาณหยางลี้ลับเท่านั้น

 

‘ดูเหมือนหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจงใจซ่อนพลังสายเลือด อีกทั้งอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ ไม่ก็อุปกรณ์อมตะระดับเทพในมือสินะ…’

 

ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองไปทางหลิงเจวี๋ยอวิ๋นโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงเห็นว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นยังใช้แค่ความลึกซึ้งของกฏแห่งความตายเข่นฆ่าศัตรู และไม่ได้เผยไพ่ตายใดๆรวมถึงความลึกซึ้งเคียวยมทูตที่ใช้พลังได้บางส่วน…

 

แต่กระนั้น คู่ต่อสู้ที่เผชิญหน้ากับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ก็ถูกเข่นฆ่าลงอย่างง่ายดาย ไม่อาจต้านทานอะไรได้เลย!

 

‘กฏแห่งความตายจะอย่างไรก็เป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุด…ถึงแม้พลังจากความลึกซึ้งแต่ละประการจะเหนือกว่าความลึกซึ้งประเภทเดียวกันกับกฏอื่นๆไม่มากนัก แต่พอรวมๆกันแล้ว ก็ไม่ใช่อะไรที่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 3 ประการจะสู้ได้ มีก็แต่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 4 ประการเท่านั้น ถึงจะกดดันหลิงเจวี๋ยอวิ๋นให้ใช้ไพ่บางใบได้’

 

ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ

 

เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า เหล่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่ยังมีลมหายใจในถ้ำก็ยิ่งลดน้อยลงทุกที

 

ตอนแรกนั้นมีผู้คนนับหมื่น…

 

แต่บบัดนี้หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน ก็เหลือไม่ถึงพันคนแล้ว…

 

‘โชคของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวนั่นนับว่าไม่เลวเลยทีเดียว…จนป่านนี้นางยังไม่เจอศัตรูที่เข้าใจความลึกซึ้ง 3 ประการแม้แต่คนเดียว อย่างดีก็เจอแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่เข้าใจความลึกซึ้ง 2 ประการกับอีกประการแค่บางส่วนเท่านั้น…’

 

หลังต้วนหลิงเทียนฆ่ายอดเซียนยอมตะขั้นสูงสุดไปอีกคน เขาก็เหลือบมองมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวไกลๆ จึงเห็นว่านางยังมีชีวิตอยู่ โดยมีอาการบาดเจ็บแค่เล็กน้อย

 

ทว่าคู่ต่อสู้ที่นางเผชิญหน้าอยู่นั้น มีอาการบาดเจ็บสะสมหนักกว่านาง สุดท้ายก็ตกตายภายใต้เงื้อมมือนางในไม่กี่สิบกระบวนท่า

 

‘และก็หลินเฟยหยางคนนั้น…’

 

ต้วนหลิงเทียนละสายตาออกจากมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวไปจับจ้องมองหลินเฟยหยางเร็วไว เท่าที่เขาสังเกตดูจนถึงตอนนี้ หลินเฟยหยางก็เปิดเผยความลึกซึ้งของกฏแห่งน้ำขั้นตอนเบื้องต้นออกมา 2 ประการกับอีกประการที่เข้าใจแค่บางส่วนเท่านั้น แต่เขารู้สึกว่านั่นยังไม่ใช่พลังทั้งหมดของอีกฝ่าย

 

หลินเฟยหยางคนนี้ถูกวารีเทพชำระโลกาเลือกเป็นร่างต้นตั้งแต่เป็นตัวอ่อนในครรภ์มารดา..

 

ความเข้าใจในกฏแห่งน้ำของมัน นับว่าสูงส่งท้าทายสวรรค์ เป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งน้ำได้เท่าที่เห็น

 

‘ดูเหมือนว่ารอบนี้…หลินเฟยหยางคงต้องเปิดเผยพลังที่แท้จริงออกมาแล้ว’

 

ไม่นานนักต้วนหลิงเทียนก็พบว่าเบื้องหน้าหลินเฟยหยางปรากฏคู่ต่อสู้คนใหม่ มันเป็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีดำคนหนึ่ง

 

ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีดำคนนี้ ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นอีกฝ่ายมาสักพักแล้ว จึงรู้ว่ามันเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลม 3 ประการ ตอนมันพบเจอคู่ต่อสู้ที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 2 ประการ มันสามารถเข่นฆ่าผู้อื่นได้ในกระบวนท่าเดียว!

 

และคราวนี้มันก็พบเจอกับหลินเฟยหยาง

 

‘หากว่าหลินเฟยหยางไม่ได้ปกปิดพลังอะไรไว้จริงๆล่ะก็…ไม่พ้นต้องตายคามือชายวัยกลางคนชุดคลุมดำนั่นแน่’

 

สองตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงโดยพลัน ‘และถ้าหากมันตาย วารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 2 ในร่างของมันก็จะตกอยู่ในสภาพไร้เจ้าของ…และถึงตอนนั้นไม่พ้นวารีเทพชำระโลกาขั้น 2 ที่กำลังหลับไหลอยู่ต้องปรากฏออกมาแน่!’

 

‘หากเป็นแบบนั้นข้าก็ไม่อาจไปเก็บมาได้…เพราะถ้าข้าลงมือทำอะไรแบบนั้น เจ้าเจียงหลานนั่นไม่พ้นต้องพบได้ทันทีว่าข้าไม่ได้ถูกพลังของค่ายกลมายานี่หลอนประสาท….’

 

‘และต่อให้เจียงหลานนั่นมันจะไม่รู้จักวารีเทพชำระโลกา แต่อย่างไรมันก็เป็นคนที่เชี่ยวชาญกฏแห่งน้ำ ไม่มีทางที่มันจะมองไม่ออกว่าวารีเทพชำระโลกาไม่ธรรมดา สุดท้ายต้องรีบเก็บไปทันทีแน่นอน’

 

คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลอยู่บ้าง

 

เพราะหากเป็นไปได้ เขาก็หวังว่าหลังหลินเฟยหยางตายตกไป เขาจะเป็นคนได้รับวารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 2 ของอีกฝ่ายมา ด้วยวิธีนี้ก็เท่ากับเขาสามารถรวบรวมเทพแห่งธาตุทั้ง 5 ได้ครบองค์ประกอบ! สิ่งนี้ต้องมีส่วนช่วยเหลือเขาในอนาคตแน่นอน!!

 

ตอนนี้เขาเหลือเวลาแค่ 900 กว่าปีเท่านั้น เขาจำเป็นต้องใช้หนทางที่ต่างจากคนอื่น เพื่อจะมีโอกาสไปยังดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพหลังจากห้วงมิติทีเชื่อมต่อระหว่างระนาบเทพและระนาบบเทวโลกเปิดออกอีกครั้ง และมีโอกาสช่วยเค่อเอ๋อ และครอบครัวรวมถึงสหายเขาได้…

 

“ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั่น…ดูเหมือนจักสบายกันดีจริงๆ”

 

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังให้ความสนใจกับหลินเฟยหยาง เจียงหลานที่นั่งขัดสมาธิกลางอากาศเหนือต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ ก็กวาดตามองมายังเขากับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น จากนั้นมุมปากขอมันก็ฉีกยิ้มแสยะแลดูชั่วร้ายออกมา

 

วินาทีต่อมา เจียงหลานก็ยกมือขึ้นมาตวัดขวับๆ เหมือนจะวาดอักขระและลวดลายอะไรบางอย่าง

 

‘หืม?’

 

ในขณะเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็พบว่า คู่ต่อสู้ที่สมควรปรากฏตัว เนิ่นนานกลับไม่มาปรากฏตัวเสียที!

 

จากนั้นทั้งคู่ก็ทำทีเป็นเหลือบมองไปรอบๆ และอาศัยหางตาจับความเคลื่อนไหวของเจียงหลาน ในที่สุดก็พบว่าเจียงหลานกำลังขยับไม้ขยับมือทำอะไรบางอย่าง ทำให้ทั้งคู่ตระหนักได้ทันทีว่าสาเหตุที่คู่ต่อสู้คนใหม่ไม่ปรากฏตัว ต้องเกี่ยวข้องกับการลงมือของเจียงหลานแน่!

 

หาไม่แล้วไฉนเรื่องราวก่อนหน้าเป็นปกติ มาตอนนี้จึงผิดปกติ?

 

และเดิมทีเจียงหลานก็เอาแต่นั่งนิ่งๆ มีแค่ตอนนี้เท่านั้นที่เริ่มเคลื่อนไหว

 

“ต้วนหลิงเทียน…ข้าเชื่อว่าสิบในสิบไม่พ้นเจียงหลานนั่นเห็นพวกเราจัดการคู่ต่อสู้ได้ง่ายๆสบายๆเกินไป จึงคิดสอดมือแทรกแซงจัดแจงอะไรให้พวกเราแน่…”

 

หลิงเจวี๋ยอวิ๋นส่งเสียงผ่านพลังคุยกับต้วนหลิงเทียน

 

“ข้าก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน…ไม่รู้ว่ามันจะจัดให้พวกเราสู้กันเองรึเปล่า”

 

ต้วนหลิงเทียนก็ส่งเสียงผ่านพลังตอบกลับ

 

“หากเป็นแบบนั้นจริงก็นับว่าประเสริฐสุด…ขอให้มันจัดให้พวกเราเจอกันเถอะ! ถึงตอนนั้นพวกเราก็แค่แสร้งทำเป็นกินกันไม่ลงเท่านั้น ลากถ่วงกันให้เหลือรอดเป็น 2 คนสุดท้ายไปเลย! อีกทั้งไม่แน่ว่าก่อนที่พวกเราจะเหลือรอด 2 คนสุดท้าย เผลอๆผลเทพสังเวยสวรรค์อาจปรากฏแล้วก็ได้ และถ้าวันนี้พวกเราดวงซวยไม่มีโอกาสได้เห็นผลเทพสังเวยสวรรค์จริงๆ อย่างน้อยๆก็ยังได้เห็นต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์นั้นมอดไหม้กลายเป็นธุลี…”