หลังจากพูดจบ เขาก็เบื่อที่จะพูดมากอีกเช่นกัน หลีกทางมุ่งหน้าเดินออกไปโดยตรง หากโจวชิงจะลงมือ เขาก็จะไม่ห้ามปรามอีก

ในสำนักเทียนเจี้ยน จินหลิงหยุนเข้าใจดีมาก ๆ ว่าเหตุใดผู้คนในตระกูลโจวถึงเจตนาร้ายต่อตนมากเช่นนั้น เพราะพรสวรรค์และสติปัญญาของเขาอยู่เหนือทุกคนในตระกูลโจว ตระกูลโจวเกรงว่าสักวันหากเขาบรรลุถึงแดนราชาเทพแล้ว ตระกูลโจวก็จะสูญเสียอำนาจในสำนักเทียนเจี้ยน

จินหลิงหยุนไม่ให้ค่าต่อสิ่งนี้มาก ๆ เขาไม่ได้รู้สึกสนใจในอำนาจเลยแม้แต่น้อย ชั่วชีวิตนี้สิ่งที่เขาแสวงหามีเพียงขีดสุดของวิถีกระบี่ หากไม่ใช่เพราะสำนักเทียนเจี้ยนมีบุญคุณเลี้ยงดูอบรมและบ่มเพาะตนละก็ เขาคงจากไปตั้งนานแล้ว

วินาทีนี้สิ่งที่เขาควรพูดเขาก็พูดหมดแล้ว หากพวกโจวชิงยังดื้อดึง เช่นนั้นหากตายไปก็ถือว่าสมควรแล้วล่ะ

โจวชิงขมวดคิ้วลง ในฐานะที่เป็นเจ้านภาชั้นยอด ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ได้ใช้ชีวิตไปโดยสูญเปล่า เขาสังเกตเห็นพฤติกรรมที่ผิดปกติของจินหลิงหยุน

เขาเข้าใจดีมากว่าจินหลิงหยุนเป็นคนที่โต้เถียงกับผู้อื่นน้อยมาก ๆ โดยทั่วไปแล้วเมื่อเผชิญหน้ากับการยั่วยุและการกีดกันจากผู้คนในตระกูลโจว เขาก็จะนิ่งเงียบ บ่อยครั้งเขาก็เลือกที่จะถดถอย

แต่วินาทีนี้เขากลับดูผิดปกติเล็กน้อย เมื่อมองไปทางเจ้าหนุ่มผู้แซ่หลัวนั่นอีกครั้ง สีหน้าท่าทางของเขาดูสงบนิ่ง จึงทำให้โจวชิงรู้สึกกังวลใจขึ้นมาเล็กน้อย

“หรือว่าศักยภาพของเจ้าแซ่หลัวนี่แข็งแกร่งมาก ๆ จินหลิงหยุนรู้สึกว่าข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน?”โจวชิงคาดคะเนอยู่ในใจ

เขาทราบอยู่ว่าจินหลิงหยุนผู้นี้เป็นผู้ที่หยิ่งยโสเป็นหนึ่งไม่สองผู้ใด ผู้ที่สามารถทำให้เขานับเป็นสหายได้นั้น ก็ไม่มีทางใช่คนธรรมดาทั่วไปแน่นอน

เมื่อคิดเช่นนี้ได้ โจวชิงจึงแกว่งแขนเสื้อแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา: “เพื่อเป็นการไว้หน้าผู้อาวุโสจิน เรื่องนี้แซ่โจวจะไม่คิดเล็กคิดน้อยต่อเจ้า!”

ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น เขาก็หันหลังแล้วกลายร่างเป็นสายรุ้งยาว พาหลี่เสวียนซิงและผู้อาวุโสอีกสองคนจากไปพร้อมกัน

“ขอบคุณผู้เพื่อนยุทธ์หลัวมากเลยนะ”จินหลิงหยุนมองไปทางหลัวซิวพลางก้มคำนับ สาเหตุที่เขาต้องขอบคุณหลัวซิวนั้น เป็นเพราะเขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าจากความหยิ่งยโสของผู้แข็งแกร่งอย่างหลัวซิว เมื่อเผชิญหน้ากับโจวชิงที่พูดฉอด ๆ แล้วสามารถอดกลั้นไม่ลงมือสังหารโจวชิงนั้น ถือเป็นการไว้หน้าเขามาก ๆ แล้ว

“ผู้เพื่อนยุทธ์จินก็มิต้องเกรงใจมากนัก สิ่งที่นักยุทธ์อย่างเราฝึกนั้นคือสภาพจิตใจ หากผู้อื่นต่อว่าข้าอย่างเรื่อยเปื่อยเพียงไม่กี่คำแล้วข้าก็ลงมือสังหารฝ่ายตรงข้ามเลย สภาพจิตใจที่ย่ำแย่เช่นนี้จะฝึกยุทธ์ได้อย่างไรเล่า?”หลัวซิวยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ

“สหายหลัวจิตใจกว้างขวาง แซ่จินเคารพเลื่อมใสมาก”จินหลิงหยุนหัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดัง

“แต่ทว่าสหายจิน ผู้อาวุโสโจวนั่นเป็นเพียงเจ้านภาชั้นยอดกระจอก ๆ ส่วนเจ้านั้นเป็นกึ่งราชาเทพ มันที่อยู่ต่อหน้าเจ้ากลับไร้มารยาทเช่นนั้น มันเป็นเพราะเหตุใดหรือ?”

พูดตามหลัก เมื่ออยู่ในสำนักกองกำลังเดียวกัน ผู้ที่มีผลการฝึกตนสูงจะมีอำนาจที่มากกว่า และมีตำแหน่งที่สูงกว่า เจ้านภาชั้นยอดกระจอก ๆ คนหนึ่งต้องไม่กล้าดูหมิ่นกึ่งราชาเทพง่าย ๆ อย่างแน่นอน

จินหลิงหยุนยิ้มอย่างขมขื่นเล็กน้อย “เพราะเขาแซ่โจว……”

จินหลิงหยุนใจกว้างต่อสถานการณ์ของตัวเองที่อยู่ในสำนักเทียนเจี้ยนมาก บอกเล่าเรื่องทุกอย่างให้หลัวซิวฟังโดยไม่ปิดบัง

จินหลิงหยุนกำเนิดมาจากครอบครัวคนธรรมดาทั่วไป ครั้นเมื่อยังเป็นเด็ก คูเมืองที่เขาพักอยู่อาศัยถูกอสูรกายทำลาย จนประสบพบเจอกับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ พ่อแม่เสียชีวิต

ในช่วงเวลาที่อันตรายและเต็มไปด้วยภัยพิบัติ มีผู้อาวุโสคนหนึ่งในสำนักเทียนเจี้ยนเดินทางผ่านสถานที่แห่งนั้น และช่วยชีวิตเขาเอาไว้ อีกทั้งเห็นว่าเขามีพรสวรรค์ด้านการฝึกยุทธ์ที่ไม่เลว จึงพาเขาเข้ามาในสำนักเทียนเจี้ยน เลี้ยงดูเขาตั้งแต่เด็กจนโต ถ่ายทอดวิชายุทธ์ให้แก่เขา

ผู้อาวุโสสำนักเทียนเจี้ยนคนนั้นก็เป็นคนในตระกูลโจวเช่นกัน ทว่าเขากลับไม่มีลูกหลานเลย จึงปฏิบัติต่อจินหลิงหยุนเหมือนลูกแท้ ๆ มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อเขา อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดแล้วเขายังไม่ทันได้บรรลุถึงราชาเทพ อายุไขสูญสิ้นตั้งแต่เมื่อสองหมื่นปีก่อน และนั่งฌานละสังขารไปแล้ว

ด้วยเหตุนี้ถึงแม้จินหลิงหยุนที่อยู่ในสำนักเทียนเจี้ยนจะถูกกีดกันอยู่บ่อยครั้ง เรื่องใดที่ทนได้เขาก็อดทนมาโดยตลอด คิดเพียงว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณผู้อาวุโสตระกูลโจวท่านนั้นที่อบรมเลี้ยงดูและถ่ายทอดวิชาให้เขา

“อาจารย์ท่านปฏิบัติต่อข้าดุจลูกชายแท้ ๆ หากไม่มีท่าน ข้าคงตายไปตั้งแต่เยาว์วัยแล้ว หากไม่มีสำนักเทียนเจี้ยน ข้าก็ไม่มีทางมีผลสำเร็จอย่างปัจจุบันเช่นกัน……”