ตอนที่ 1501 กองความมั่นคงขอความช่วยเหลือ

Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ

ณ แมนชั่นแถบชานเมืองจินหลิง

ลู่โจวนัดนักวิชาการจางผ่านอีเมลว่าจะมาคุยเรื่องสนามแม่เหล็กพัลส์กันแบบตัวต่อตัว แต่ลู่โจวรอมานานแล้วก็ยังไม่เห็นนักวิชาการจางมาเสียที แต่เขากลับเจอคนที่เขาไม่คิดว่าจะเจอแทน

ลู่โจวมองร้อยเอกซิงที่โผล่มาในระบบควบคุมการเข้าออก ใบหน้าของเขาแสดงความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด

เขาคุยโทรศัพท์กับอีกฝ่ายจนเคลียร์ไปแล้วว่าเขาไม่สนใจโปรเจกต์กองกำลังอะไรทั้งนั้น แต่ร้อยเอกซิงก็ยังมาหาเขาอยู่ดี

ลู่โจวถาม “คุณมีอะไรเหรอ?”

ร้อยเอกซิงยืนอยู่หน้าประตูรั้วเหล็ก เขากระแอมเบาๆ และพูดขึ้นมาขณะที่จ้องไปที่กล้องระบบควบคุมการเข้าออกว่า

“นี่คุณจะไม่เชิญผมเข้าไปเหรอ?”

หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อย ประตูรั้วเหล็กก็เปิดออกอย่างช้าๆ

พอเห็นประตูรั้วเหล็กค่อยๆ เปิดแล้ว ร้อยเอกซิงก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขาเดินไปตามทางที่ทอดยาวหลังประตูและมุ่งหน้าตรงไปยังตึกหลักของแมนชั่น

ประตูทางเข้าเปิดออก

หลังจากที่ลู่โจวเชิญร้อยเอกซิงให้นั่งลง เขาก็บอกเสี่ยวไอให้เข้าไปในห้องครัวแล้วนำชามาเสิร์ฟเสียสองถ้วย

ซิงเปียนสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดด้วยเสียงต่ำ “ผมไม่แนะนำให้คุณใช้หุ่นยนต์ต่อนะ…คุณก็เห็นไวรัสอัลฟ่าไปแล้ว คุณไม่กลัวเลยเหรอ?”

“หรือคุณจะสงสัยว่าผู้ชายอายุ 100 ปีที่เพิ่งตื่นขึ้นมาเป็นคนสร้างไวรัสกันล่ะ?”

ผู้ชายอายุ 100 ปี…

คิ้วของเขากระตุกอย่างรุนแรง เขากระแอมเบาๆ แล้วอธิบาย “ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น เหตุผลมาจากเรื่องความปลอดภัยล้วนๆ ตอนนี้พวกเราได้คอนเฟิร์มแล้วว่าการตายของหลิวเจิ้งซิงเกิดขึ้นจากหุ่นยนต์ที่ติดไวรัสอัลฟ่า ถึงเหตุผลจะยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่คุณเองก็อยู่ในรายชื่อของเป้าหมายของพวกเขาอย่างแน่นอน”

“ผมรู้แล้ว” ลู่โจวตอบอย่างสบายๆ “ผมพอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหลิวเจิ้งซิง แต่ผมไม่กลัวไวรัสอัลฟ่าหรอกนะ แล้วผมก็ไม่คิดว่ามันจะทำอะไรผมได้ด้วย”

เสี่ยวไอผงกหัวเห็นด้วย เธอโผล่ออกมาจากห้องครัวพร้อมกับชา แล้วตอบรับด้วยเสียงกระตือรือร้น “ใช่ๆ ! เสี่ยวไอแข็งแรงมากๆ ! (๑•̀ᄇ•́)و✧”

ซิงเปียน “…?”

ลู่โจวกระแอมเบาๆ แล้วหันไปบอกเสี่ยวไอ “ไปอยู่ในห้องอ่านหนังสือสักพักไป”

เสี่ยวไอ “QAQ”

ซิงเปียนมองหุ่นยนต์ที่กำลังเดินขึ้นบันได เขาตัดสินใจทำเป็นว่าเขาไม่เห็นอะไรทั้งนั้น เขากระแอมแล้วมองลู่โจวด้วยสายตาจริงจัง

“พวกเราต้องการความช่วยเหลือของคุณ”

ลู่โจวตกตะลึงกับแววตาของร้อยเอกซิงที่มีความจริงใจขึ้นมา เขาพูดด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ

“ผมเป็นแค่นักวิชาการนะครับ ไม่ใช่นักสืบ ผมจะไปช่วยคุณได้อย่างไร?”

“แต่คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญในสายเอไอนะ” เขาหยิบถุงตัวอย่างออกมาแล้ววางมันลงบนโต๊ะเบาๆ ซิงเปียนพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “พวกเราพบสิ่งนี้อยู่บนศพของคนคนนั้น”

ศพ?

ลู่โจวถามออกมา “คนไหนกัน…?”

“ซงหยางเหว่ย”

ซงหยางเหว่ย…

เขาตายแล้วเหรอ?

พอได้ยินข่าวที่ไม่คาดว่าจะเกิดขึ้น ลู่โจวก็กลืนน้ำลายเบาๆ สีหน้าของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นจริงจัง

ถึงตั้งแต่วันแรกที่เขาเจอกับซงหยางเหว่ย เขาจะไม่ได้มีความประทับใจอันดีอะไรกับอีกฝ่าย แล้วยิ่งมีคำขู่สองรอบที่ตามมานั่นอีก ถึงมันจะทำอะไรเขาไม่ได้ มันก็ยังทำให้เขารู้สึกไม่ดีอยู่ดี

แต่ถึงอย่างนั้นลู่โจวก็หวังว่าเขาจะจบลงด้วยกระบวนการทางกฎหมาย ไม่ใช่จบลงแบบนี้

ลายเซ็นบนโปรเจกต์ X-100 เป็นของหลิวเจิ้งซิงและซงหยางเหว่ย

ตอนนี้ทั้งสองคนได้เสียชีวิตแล้ว ผลลัพธ์ก็คือ ความลับทั้งหมดที่พวกเขามีได้ถูกฝังกลบลงดินไปพร้อมกับพวกเขา

ลู่โจวไม่คิดว่ามันจะจบลงแบบนี้

“เขาตายแล้วเหรอครับ?”

ซิงเปียนมองลู่โจวที่มีท่าทางประหลาดใจ เขาพยักหน้าตอบอย่างจริงจังแล้วเล่าต่อ “ศพของซงหยางเหว่ยถูกพบที่บ้าน…”

“ใต้จมูกของพวกเราเลย”

ร้อยเอกซิงใช้เวลาประมาณสามนาทีในการเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ให้ลู่โจวฟัง

สรุปสั้นๆ ก็คือ กองความมั่นคงกักบริเวณซงหยางเหว่ยให้อยู่ในบ้าน

แต่ในระหว่างช่วงกักบริเวณนั้นเอง มีใครบางคนแฮกเข้าไปในระบบอวัยวะเทียมที่มีการปลูกถ่ายของซงหยางเหว่ย จากนั้นก็อัปโหลดไวรัสที่มีพลังทำร้ายสูงลงไป

ลู่โจวไม่เข้าใจว่าทำไมคนปกติที่ไม่ได้ป่วยถึงต้องปลูกถ่ายอวัยวะในร่างกายด้วย

ในยุคสมัยที่เขาเคยใช้ชีวิตอยู่ มีแต่คนที่ไม่มีทางเลือกเท่านั้นจึงจะเลือกการปลูกถ่ายอวัยวะ

“แปลว่าหัวใจเทียมของเขาถูกสั่งปิดการทำงานสินะครับ”

“ถ้าให้พูดเฉพาะเจาะจงก็คือ ชิปที่ฝังอยู่ในระบบประสาทส่วนกลางที่เป็นฝ่ายควบคุมหัวใจเทียมน่ะที่ถูกสั่งปิด ฝั่งผู้ร้ายใช้ไวรัสเพื่อโอเวอร์โหลดและสร้างความเสียหายแก่ชิป ทำให้หัวใจของเหยื่อหยุดเต้นและเกิดการตายเฉพาะส่วนของเส้นประสาทไขสันหลัง”

ลู่โจว “การตายด้วยลักษณะนี้ค่อนข้างน่าเวทนาเลยนะ”

“มันโหดร้ายเลยล่ะเพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นในทันที”

กระบวนการเสียชีวิตถูกเพิ่มระยะออกไป และความรู้สึกที่ได้เห็นชีวิตของคนคนหนึ่งต้องทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจ

“การปลูกถ่ายอวัยวะเทียม…มันมีเทรนด์แปลกๆ แบบนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไรกัน?”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” ร้อยเอกซิงกล่าวด้วยรอยยิ้มเหยเก “แต่นั่นคือความจริงที่เกิดขึ้น ตอนนี้พวกเขาไม่ได้แค่เพียงมีพลังในการควบคุมหุ่นยนต์นับพันล้าน แต่ยังสามารถชี้เป็นชี้ตายคนเป็นแสนล้านคนได้อีกด้วย พวกเราต้องหาให้ได้ว่าไวรัสนี้คืออะไรกันแน่ แล้วต้องหาทางกักเก็บมันไว้สักที่…คุณพอจะหาวิธีที่จะกู้ข้อมูลได้ไหมครับ?”

ลู่โจวถามด้วยความปวดหัวกับเรื่องที่เกิดขึ้น “มันไม่มีพวกผู้เชี่ยวชาญเรื่องแบบนี้อยู่ในหน่วยของคุณสักคนเลยเหรอ?”

ร้อยเอกซิง “ผู้เชี่ยวชาญของเราเน้นไปทางแอปพลิเคชันมากกว่า เรื่องคดีเทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยอะไรใหม่ๆ ล้ำๆ นี่ ส่วนใหญ่พวกเราจะจ้างมหาวิทยาลัยและแล็บที่พวกเรามักจะร่วมมือด้วยให้เป็นฝ่ายทำงาน…แต่อย่างที่คุณก็รู้ว่า ในสถานการณ์นี้ บางเรื่องก็ไม่ใช่สิ่งที่นำมาเปิดเผยได้สะดวกนัก”

หลายสิ่งหลายอย่างเลยล่ะที่ทำให้เปิดเผยเรื่องราวพวกนี้ออกไปไม่สะดวก

เมื่อความตื่นตระหนกเริ่มแพร่กระจายออกไปแล้ว ผลที่ตามมาจะมากเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้

ลู่โจวเริ่มรู้สึกปวดหัวเล็กๆ แล้ว

หากไม่นับคอมพิวเตอร์ควอนตัมและเคเบิลออปติกควอนตัมแล้ว เขาก็จำไม่ได้ว่าเขาไปทำความสำเร็จโดดเด่นอะไรในวงการเทคโนโลยีสารสนเทศ และเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมร้อยเอกซิงถึงต้องมารบกวนเขา

“ก็พูดยากนะครับ…ตัวชิปมันก็พังไปแล้ว ผมก็ไม่รู้จะช่วยคุณอย่างไรดี”

“ขอร้องเถอะครับ…” ร้อยเอกซิงเอ่ยขอขณะที่มองลู่โจวด้วยสีหน้าขอร้องแบบจริงๆ “นี่ก็เพื่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของคนพันล้านคนนะครับ คนที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ดีที่สุดที่ผมนึกออกก็มีแต่คุณแล้วล่ะ!”

ลู่โจวจ้องหน้าร้อยเอกซิงอยู่พักหนึ่ง หลังจากเงียบไปนาน เขาก็ถอนหายใจออกมา

“ก็ได้ครับ ผมจะลองดู…”

ไม่ว่าอย่างไรก็ตามสาเหตุที่เกิดเรื่องทุกอย่างนี้ขึ้นก็เพราะการทดลองเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน แล้วเขาก็ควรจะเป็นคนที่จะต้องแก้ปัญหาที่เกิดจากตัวเอง

อีกอย่าง ปัญหาครั้งนี้มันเป็นเรื่องจริงจังมากๆ และมันเกี่ยวพันกับชะตาชีวิตของทุกๆ คนอย่างใกล้ชิด…

ร้อยเอกซิงยิ้มออกมาอย่างจริงใจ ในขณะที่เขาออกกล่าวด้วยเสียงยินดี “ขอบคุณนะครับ”

“อย่าเพิ่งขอบคุณผมเลย ผมทำได้แค่ลองเท่านั้นแหละ” ลู่โจวมองถุงตัวอย่างที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วเอ่ยว่า “วางเจ้านี่ทิ้งไว้ที่นี่สักสองวัน วันมะรืนค่อยกลับมานะครับ ผมน่าจะให้ผลลัพธ์คุณได้ตอนนั้น”