รูปร่างของภูเขาทุกลูกในสำนักเทียนเจี้ยนล้วนดุจกระบี่ ยิ่งกว่านั้นคือสิ่งปลูกสร้างจำนวนมากบนยอดเขาก็เป็นรูปร่างของกระบี่เช่นกัน สิ่งปลูกสร้างแปลกพิสดาร ราวกับกระบี่นับหมื่นกำลังโต้แย้งแสดงความคิดเห็นกันและกัน

ภายใต้การนำพาของจินหลิงหยุน หลัวซิวมาถึงวังกระบี่แห่งหนึ่งบนเขากงเผิง ซึ่งมีนามว่าวังศึกกระบี่

ภายในวังศึกกระบี่ มีชายชราหนวดเคราและเผ้าผมขาวหงอกคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิ

จินหลิงหยุน เอามือทั้งสองประสานกันแล้วยกขึ้นในระดับหน้าอกคารวะชายชราผู้นี้ “กราบคารวะท่านเหวิน”

แม้จะเป็นกึ่งราชาเทพเหมือนกัน แต่ทว่าด้านช่วงวัยอายุนั้น จินหลิงหยุนคือผู้น้อย และเขาก็ไม่มีจิตใจที่จะแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ในสำนักเทียนเจี้ยนเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เมื่อพบเจอผู้อาวุโสทั้งสาม เขาก็จะทำความเคารพดุจผู้น้อยคนหนึ่ง

“เหอะ ๆ หลิงหยุน เหตุใดเจ้าถึงมีเวลามาที่ข้าล่ะ?”ท่านเหวินอมยิ้ม

“ศึกการช่วงชิงสิทธิ์ที่มุ่งไปยังโลกะอัมพรเทวใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว เพื่อเป็นการช่วงชิงจำนวนผู้มีสิทธิ์มุ่งไปยังโลกะอัมพรเทวให้ได้มากกว่า ข้าจึงเชื้อเชิญสหายคนนี้ของข้ามาช่วยเหลือ”

จินหลิงหยุนอธิบายว่า: “และคนนี้ก็คือสหายของข้าเอง เขามีนามว่าหลัวซิว ผลการฝึกตนทั้งร่างลึกซึ้งมากจนไม่อาจคาดเดาได้ อีกทั้งยังอยู่เหนือข้าอีกด้วย”

“โอ๊ะ?”

เมื่อได้ยินจินหลิงหยุนพูดเช่นนี้แล้ว ก็มีแสงเรืองเล็กน้อยกระพริบผ่านไปในแววตาของท่านเหวินที่กำลังนั่งอยู่ในวังกระบี่ สายตาเขาร่วงลงบนตัวหลัวซิว

จากผลการฝึกตนกึ่งราชาเทพของเขา ก็ไม่สามารถมองทะลุแดนผลการฝึกตนของหลัวซิวได้เช่นกันว่าอยู่ระดับใดกันแน่

เขาก็พอจะเข้าใจเกี่ยวกับตัวจินหลิงหยุนอยู่บ้าง ทราบว่าเขาเป็นผู้ที่หยิ่งยโสเป็นหนึ่งไม่สองผู้ใด เว้นแต่ว่าศักยภาพของคนดังกล่าวจะน่าทึ่งมากจริง ๆ มิเช่นนั้นจินหลิงหยุนไม่มีทางบอกว่าตัวเองด้อยกว่าผู้อื่นแน่นอน

“ผลการฝึกตนของผู้อาวุโสจินนั้นคือกึ่งราชาเทพ แม้นว่าคนดังกล่าวจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเจ้า ทว่าผลการฝึกตนไม่ชัดเจน การที่บอกว่าศักยภาพของเขาแข็งแกร่งกว่าผู้อาวุโสจินนั้น เป็นการคุยโตโอ้อวดมากไปหรือเปล่า”

และในเวลานี้เอง ก็มีเสียงอันเย็นยะเยือกเสียงดังขึ้นกะทันหัน ก่อนจะมีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาจากประตูใหญ่หน้าวังศึกกระบี่

ผู้ที่เป็นผู้นำคือชายชราในชุดคลุมยาวสีดำคนหนึ่ง และเสียงอันเย็นยะเยือกนั่นก็พ่นออกมาจากปากเขาเช่นกัน โจวชิงที่อยู่ด้านหลังของคนดังกล่าวแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น สภาพดูดีใจที่เห็นผู้อื่นตกระกําลําบาก

“ศึกการช่วงชิงสิทธิ์ที่จะจัดขึ้นในรอบร้อยปี กองกำลังใหญ่ราชาเทพทั้งห้าต่างส่งผู้เข้าร่วมการแข่งขันได้เพียงสามคนเท่านั้น สายเค่อชิงของเราเข้าร่วมได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น และต้องได้รับผลการแข่งที่ดีเยี่ยมถึงจะมีโอกาสมุ่งหน้าไปยังโลกะอัมพรเทวได้”

ชายชราชุดคลุมยาวสีดำทำเสียงหึอย่างเย็นชา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก: “เค่อชิงที่มีสิทธิ์เข้าร่วมการช่วงชิงในครั้งนี้ ต้องเป็นข้าอย่างแน่นอน หากผู้ใดอยากจะช่วงชิงกับข้า ก็ต้องวัดกันที่ระดับความสูงต่ำของศักยภาพ!”

“ท่านโกว เจ้ามิใช่คู่ต่อสู้ของสหายหลัว”จินหลิงหยุนเอ่ยปากพูดอย่างสบาย ๆ

“หึ ศักยภาพเป็นอย่างไรนั้น ต้องผ่านการประลองก่อนถึงจะทราบได้”โจวชิงที่อยู่ข้าง ๆ แสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางพูด

สีหน้าท่าทางของหลัวซิวดูปกติ บนใบหน้าไม่มีความรู้สึกใด ๆ เลย เพียงแวบเดียวเขาก็ดูออกแล้วว่าชายชราในชุดคลุมสีดำยาวที่แซ่โกวผู้นี้ เป็นผู้ที่โจวชิงเชิญมากีดกันตัวเองโดยเฉพาะ

มาตรแม้นว่าเป็นคนที่มีอุปนิสัยดีอย่างจินหลิงหยุนก็หัวเราะอย่างเย็นเยือกเช่นกัน “ในเมื่อมีคนไม่พอใจ เช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าเลื่อมใสอย่างหมดใจเอง!”

เขามองไปทางหลัวซิวรอบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าหลัวซิวพยักหน้า จึงมีแผนการผุดขึ้นมาในใจจินหลิงหยุน ใช้นิ้วชี้ไปนอกวังกระบี่ “สู้กันบนสังเวียนศึกกระบี่ยกหนึ่ง โดยที่มีท่านเหวินเป็นประจักษ์พยาน”

“เหอะ ๆ ดี!”ท่านเหวินตอบตกลงในทันที

สำหรับสำนักเทียนเจี้ยนแล้ว ศักยภาพของเค่อชิงที่เข้าร่วมการช่วงชิงสิทธิ์ยิ่งแข็งแกร่งก็ยิ่งดีอยู่แล้ว หากหลัวซิวที่จินหลิงหยุนพามามีศักยภาพที่เกะกะระรานจริง ๆ มันก็มีเพียงจะส่งผลดีไร้ซึ่งผลร้ายต่อสำนักเทียนเจี้ยน

“ออกมาสู้กันสักตั้ง!”ชายชราชุดคลุมยาวสีดำที่แซ่โกวนั่นแสยะยิ้มอย่างเย็นเยือก ร่างกายกลายเป็นสายรุ้งสีดำ และปรากฏบนเวทีหินที่ลอยอยู่กลางนภานอกวังศึกกระบี่ภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว

และเวทีหินนั่นก็คือสังเวียนศึกกระบี่นั่นเอง เป็นสถานที่ประมือของเหล่าเค่อชิงบนเขากงเผิง

เค่อชิงในสำนักเทียนเจี้ยนมีทั้งหมด 12 คน ซึ่งทุกคนล้วนเป็นเจ้านภาชั้นยอด วินาทีนี้หลังจากทราบข่าว พวกเขาก็ต่างพากันออกมาจากสถานที่ฝึกตนปิดขัง แล้วเพ่งมองขึ้นมาบนสังเวียนศึกกระบี่