ตอนที่ 1503 เตรียมตัวมาน้อยเกินไป

Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ

ในไม่ช้า ประตูก็เปิดออก

ชายสูงวัยอายุราวๆ 60 ถึง 70 ปีเดินเข้ามาจากข้างนอก เขามีรอยยิ้มที่สดใส

“นักวิชาการลู่ ผมตั้งหน้าตั้งตารอการเจอกันครั้งนี้อยู่เลย! ผมอยากจะตามหาคุณตั้งนานแล้ว แต่น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสเลย ตอนนี้ผมก็ได้เจอคุณแล้วจริงๆ ”

“นักวิชาการจาง คุณก็พูดเกินไป เข้ามาข้างในก่อนสิ”

หลังจากทักทายกันอย่างสุภาพแล้ว ลู่โจวก็เชิญนักวิชาการจางที่ยืนอยู่ที่โถงทางเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น จากนั้นเขาก็สั่งให้เสี่ยวไอเสิร์ฟชาร้อนให้แขก

ทั้งสองคนคุยกันเรื่องสนามแม่เหล็กอย่างงละเอียด

เอาจริงๆ ถึงแม้ว่าลู่โจวจะมีความรู้เรื่องความสามารถทางด้านวิชาการของนักวิชาการจางมาคร่าวๆ แล้ว แต่ระดับความสามารถของอีกฝ่ายก็ยังสูงเกินกว่าที่ลู่โจวคาดไว้อยู่ดี

หรือก็คือ ลู่โจวไม่ได้คิดว่า หลังจากที่ได้อ่านงานวิจัยของตัวเองแล้ว นักวิชาการจางจะสามารถคิดมุมมองทางวิชาการที่สร้างสรรค์ขึ้นมาได้หลายมุมมองขนาดนี้

และมุมมองวิชาการสร้างสรรค์ที่ว่าก็ได้ช่วยขยายแรงบันดาลให้กับตัวลู่โจวเองด้วย

และเป็นเพราะสิ่งนี้เองจึงทำให้ลู่โจวค่อยๆ เพิ่มความประทับใจในตัวนักวิชาการของยุคสมัยนี้มากขึ้น

เคสของอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้ก็เป็นแค่เคสตัวอย่างเดียว น่าเสียดายที่พวกเขาส่งผลกระทบกับงานวิจัยฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สองมากเกินไป

ถึงงานวิจัยฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สองของศตวรรษนี้จะไม่ได้มีความคืบหน้าใหญ่ๆ อะไรนัก แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นแบบเดียวกับหลิวซือไห่

ยังมีคนที่ตั้งใจทำงานและไปต่อในสายวิชาการอยู่

หลังจากที่ลู่โจวนั่งฟังนักวิชาการจางพูดเรื่องแบบจำลองวิเคราะห์ทางทฤษฎีของนักวิชาการจางในเรื่องการศึกษาการรบกวนของพลาสมาที่เกิดจากสนามแม่เหล็กพัลส์พลังงานสูงและไอเดียการสร้างเครื่องปฏิกรณ์บนดวงจันทร์อย่างเงียบๆ ลู่โจวก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความคุ้นเคย

การก่อสร้างเครื่องปฏิกรณ์บนดวงจันทร์นั้น นับว่าเป็นแนวคิดที่เริ่มมีคนคิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยที่เขายังศึกษาเทคโนโลยีฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นแรกด้วยซ้ำ

“…ผมสนใจเรื่องที่คุณพูดเอามากๆ นะ ไม่ทราบว่าคุณสนใจจะเข้าร่วมทีมโปรเจกต์ผมไหม?”

จางเฟยเยว่ตบเข่าตัวเองเบาๆ เขาตอบรับอย่างตื่นเต้น “ด้วยความยินดีครับ!”

เมื่อเห็นว่านักวิชาการจางตอบตกลงอย่างรวดเร็ว ลู่โจวก็เงียบไปครู่หนึ่งแล้วก็ยิ้มออกมาพร้อมกับพูดแซวว่า “นี่คุณจะไม่ถามเรื่องผลประโยชน์กับเงื่อนไขอะไรเลยเหรอ?”

จางเฟยเยว่ตอยด้วยรอยยิ้มจริงใจ “ถ้าเกิดว่าเราสามารถเข้าร่วมในโปรเจกต์ที่เกี่ยวข้องกับอนาคตของมนุษยชาติได้ เรื่องที่เหลือยังสำคัญอีกเหรอครับ? ต่อให้ผมไม่ได้เงินเดือน ผมก็ยังเต็มใจทำโปรเจกต์นี้อยู่ดี!”

“ไม่มีเงินเดือนเหรอ? ผมทำเรื่องโง่ๆ แบบนั้นไม่ได้หรอกนะ” ลู่โจวตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องห่วง คุณมาทำการทดลองกับผม เงินทุนเพียงพอแน่นอน!”

ลืมเรื่องการวิจัยฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สองไปก่อน ตอนนี้สถานการณ์การเงินกำลังวุ่นวายมาก

ในวันที่สองหลังจากที่ซงหยางเหว่ยถูกฆ่า ข่าวการเสียชีวิตของเขาก็แพร่กระจายออกไป

ตอนแรกสุด ก็มีคนเห็นรถพยาบาลกับรถตำรวจมาจอดที่ประตูบ้านของเขา หลังจากนั้นใครบางคนที่อ้างว่าตัวเองเป็นเพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้บ้านของเขาก็บอกว่าเห็นซงหยางเหว่ยนอนอยู่ในเปลสนามแล้วถูกพาขึ้นรถพยาบาลไป

จากนั้นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็บอกว่า ซงหยางเหว่ยหยุดหายใจระหว่างที่เขากำลังถูกพาตัวส่งมาอีกโรงพยาบาล ดังนั้นร่างของเขาจึงถูกส่งตัวเข้าไปที่ห้องดับจิตโดยตรง

มีความเห็นไปกันคนละทิศละทางเรื่องสาเหตุการตายของเขา

บางคนก็บอกว่าเขาถูกทำร้ายเพราะการขายชอร์ตอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้ได้ไปทำให้คนบางคนที่ไม่มีอำนาจไม่พอใจเข้า

บางคนก็บอกว่าเป็นเพราะโรคภัยลับที่เขาเป็นมาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ ทำให้เขายังมีเชื้อบางๆ แอบซ่อนอยู่ มหันตภัยจากความผิดพลาดของการขายชอร์ตได้กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำลายสภาพจิตใจของเขาจนกระตุ้นให้เกิดโรคนั้น

แล้วก็มีคนที่เดาใกล้ความจริงว่าอวัยวะเทียมที่ปลูกถ่ายของเขาเกิดทำงานผิดพลาด เพราะคนรวยแบบเขาจะต้องใช้อวัยวะที่มีความคงทนดีกว่าคนทั่วไปแน่นอน

แต่ไม่มีใครคิดถึงความเป็นไปได้ในเรื่องของไวรัสเลย

เพราะมันดูน่าตลกเกินไป การแฮกเข้าไปในความทรงจำของมนุษย์ที่มีอวัยวะเทียมหรือมีการปลูกถ่ายชิปควบคุมอวัยวะเทียมในศตวรรษที่ 22 นั้น นับได้ว่าเป็นการกระทำที่ทำได้ยากกว่าการแฮกเข้าไปในเซิร์ฟเวอร์ในศตวรรษที่ 21 เป็นหลายเท่า

การแฮกแบบแรกยากในเรื่องกระบวนการ ส่วนแบบที่สองจะยากในเรื่องทางกายภาพ

อย่างไรก็แล้วแต่ ซงหยางเหว่ยก็เสียชีวิตแล้ว

ถึงประสบการณ์ของเขาจะไม่เชี่ยวชาญเท่าหลิวเจิ้งซิง อดีตประธานของอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้ เขาและกลุ่มทุนหยางเหว่ยก็เป็นที่รู้จักกันดีในอุตสาหกรรมการลงทุน

หรือก็คือ รายงานการขายชอร์ตที่ปล่อยออกมาเมื่อไม่นานมานี้ และจำนวนกว่าหนึ่งหมื่นล้านดอลลาร์ที่กลายเป็นเละตุ้มเป๊ะได้กลายเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจจากเพื่อนร่วมวงการทั่วโลก

แต่ตอนนี้เขาได้เสียชีวิตลงอย่างไร้ซึ่งคำอธิบายใดๆ ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดเรื่องนี้มาก่อน

นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้คนดูกระตือรือร้นมากก็คือเรื่องผลงานยิ่งใหญ่ของเขาที่เขาทิ้งไว้

โดยเฉพาะตัวกลุ่มทุนหยางเหว่ยเอง

ในสายตาของคนจำนวนนับไม่ถ้วนนั้น โดยเฉพาะสายตาของเพื่อนร่วมวงการ มันก็เป็นเนื้ออันหอมหวานชิ้นหนึ่ง

ญาติของเขาที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากซงหยางเหว่ยในอดีตก็เริ่มต่อสู้เพื่อสิทธิทางมรดกตั้งแต่ก่อนที่จะจัดงานศพของซงหยางเหว่ยเสียอีก

ในสายตาของคนภายนอกนั้น แผนสมคบคิดของบริษัทที่พยายามจะโปรโมตกลุ่มทุนโดยตรงได้กลายเป็นแผนที่วางอยู่บนโต๊ะของบริษัทลงทุนจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว

“ลู่โจว…ฉันไม่ปล่อยแกไปแน่!”

ในคุกนั้น เมื่อหลิวซือไห่ได้ยินข่าวร้ายที่เกิดขึ้นข้างนอก เขาที่ยังสวมชุดนักโทษอยู่ก็กำหมัดแน่น ดวงตาของเขาเป็นสีแดงก่ำ

คู่หูธุรกิจเพียงคนเดียวของเขาเสียชีวิตแล้ว

ถึงโรงพยาบาลจะบอกว่าเป็นการตายโดยธรรมชาติ เขาก็ไม่เชื่อว่าลู่โจวจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้

ยิ่งตั้งแต่ที่ผู้ชายที่ชื่อลู่โจวเริ่มแผ่ขยายพลังอำนาจในบอร์ดผู้บริหาร ข่าวร้ายก็เข้ามาหาพวกเขาเรื่อยๆ

ตอนแรกเป็นเขาที่โดนส่งตัวเข้ากองความมั่นคง จากนั้นก็ตามด้วยพ่อตาของเขาที่โดน

พอมาตอนนี้ ลูกคนอื่นของซงหยางเหว่ยก็ออกตัวมาอีกรอบ พยายามจะสู้เพื่อเอามรดกของพ่อตัวเอง ภรรยาของเขาถึงกับโทรมาหาเขาในคุก เธอร้องขอความช่วยเหลือ ถามว่าควรจะทำอย่างไรต่อ

เขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่มองไปทางไหนก็ลำบาก หลิวซือไห่ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรเหมือนกัน

ถ้าเขาฉลาดเสียขนาดนั้นล่ะก็ เขาคงจะไม่ลงเอยแบบนี้ หรือว่าโดนจับขังคุกหรอก

เขาใช้ประโยชน์จากการที่มีญาติมาหาเป็นครั้งคราวในเดือนนี้ เขาขออนุญาตใช้อินเทอร์เน็ตแล้วโทรหาหยางเสี่ยวเฟิงทันที

แต่ที่ทำให้เขาเซอร์ไพรส์ก็คือ เขาไม่ได้รับคำปลอบหรือความช่วยเหลือจากอีกฝ่ายแต่อย่างใด

“เย็*แม่! แม่*เข้าไปเสื*กอยู่ในศูนย์วิจัยทั้งวี่ทั้งวัน ทำความฉิ*หายไปหมด! สมัยนั้น มึ*รู้มั้ยว่ากูต้องทำงานหนักขนาดไหนกว่าจะเข้าไปในศูนย์วิจัยนั้นได้ พอพ่อกูรู้ว่ากูโดนไล่ออกมานะ แม่*เกือบทำกูขาหัก!”

หลิวซือไห่พูดอะไรไม่ออกจริงๆ

“นาย…นายกินยามาผิดหรือเปล่า?!”

“กูกินแม่มึ*อะ!”

หลังจากที่ได้ปลดปล่อยความเจ็บปวดจากการถูกกลั่นแกล้งมาในอดีต หยางเสี่ยวเฟิงก็ปล่อยคำสบถเป็นชุดใส่อดีตเจ้านายของเขาแบบไม่มียางอายแต่อย่างใด จากนั้นเขาก็วางสายไปพร้อมกับเสียงปิ๊บ

หลิวซือไห่มองหน้าจอโฮโลแกรมที่ว่างเปล่า ดวงตาของเขาเปลี่ยนจากความไม่อยากจะเชื่อกลายเป็นความเกลียดชัง แล้วก็ค่อยๆ เปลี่ยนความเกลียดชังไปเป็นความสิ้นหวังจนถึงที่สุด

บางทีฉันอาจจะผิดเองก็ได้…

ถ้าฉันรั้งตัวเองไว้อีกสักนิด ทุกอย่างก็คงไม่กลายมาเป็นแบบทุกวันนี้

แต่ตั้งแต่ตอนนี้ หัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจอยู่แล้ว

ความไม่พอใจที่ไม่ได้เกิดจากการกระทำของตัวเขาเอง แต่เกิดจากความไม่ยุติธรรม

เขาไม่ใช่คนเดียวที่ทำเรื่องนี้ ทำไมทุกอย่างถึงมาลงที่เขาหมดล่ะ?

ทุกแผนกในอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้ก็ทำเหมือนกันแท้ๆ …

ณ ตึกสำนักงานใหญ่ของอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้

ออฟฟิศของหัวหน้าการวิจัย

เมื่อผู้อำนวยการอู๋มองลู่โจวที่ยืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความอับอาย

ตรงหน้าของเขาคือแบบฟอร์มการลาออก

จุดประสงค์ของลู่โจวนั้นเห็นได้ชัดอยู่แล้ว นั่นคือการไม่ปล่อยเขาไป

แต่อู๋ฉิงก็ได้คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับเขา

น้ำเสียงของชายสูงวัยมีความขอร้องปนอยู่ เขาถามลู่โจวว่า “มันต้องเป็นแบบนี้ด้วยเหรอ?”

ลู่โจวตอบมาอย่างไม่เดือดไม่ร้อนอะไร ใบหน้าของเขาไม่มีความสงสารสักนิด “นี่คุณคิดว่ามันยังมีที่ให้เจรจาอีกเหรอ?”

แววตาของชายสูงวัยมีความร้องขออยู่ข้างใน เขาเอ่ยขึ้นว่า “ผมตั้งใจทำงานให้อีสต์เอเชียเอเนอร์จี้มาหลายสิบปี”

มันเป็นความจริง

เขาเป็นผู้อำนวยการวิจัยวิทยาศาสตร์มาสิบปี แต่ก่อนหน้านั้นเขาก็ทำงานให้บริษัทนี้มาสามสิบปีแล้ว

ก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้ใช้พลังเพื่อเพิ่มอำนาจให้ตัวเองในช่วง 40 ปีที่ผ่านมาหรอกนะ แต่ถ้าเปรียบเทียบกับคนอื่นแล้ว เขาทำตัวดีกว่าพวกนั้น

ในช่วงสิบปีที่เขาทำงานอยู่ อีสต์เอเชียเอเนอร์จี้ไม่เคยมีปัญหาใหญ่อะไรทั้งนั้น และปัญหาเล็กๆ ที่เกิดขึ้นบ้างในบริษัทก็ถูกเขาจัดการได้อย่างราบรื่น

เขาก็คิดว่าตัวเองเป็นผู้อำนวยการวิจัยวิทยาศาสตร์ที่ดีคนหนึ่งแล้วนะ

เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการอู๋ยังไม่เข้าใจว่าเขาทำอะไรผิดไป ลู่โจวจึงอธิบายอย่างใจเย็น “การไม่ทำอะไรเลยก็ถือเป็นบาปเช่นกัน แล้วยิ่งเป็นคุณที่อยู่ในตำแหน่งแล่วด้วย”

“การ ‘ตั้งใจทำงาน’ ของคุณคือการให้อภัยซงหยางเหว่ยและพฤติกรรมเห็นแก่ตัวของคนอื่นๆ ทำเป็นปิดตาไม่รู้ไม่เห็นความไร้สาระของพวกเขา ถ้านี่คือสิ่งที่คุณเรียกว่า ‘ตั้งใจทำงาน’ แล้วล่ะก็ ผมว่าคุณควรจะลาออกแล้วเลิกสร้างปัญหาให้คนอื่นจะดีกว่า”

“ผมไม่สนใจว่านักวิชาการจะมีความบกพร่องทางศีลธรรมหรือเปล่าหรอกนะ ตราบใดที่พวกเขายังทำงานแล้วออกมาเป็นผลงานวิจัยที่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่ระหว่างช่วงสิบปีที่คุณเป็นผู้อำนวยการวิจัย คุณก็มีหน่วยวิจัยเป็นร้อยๆ หน่วยอยู่ใต้การควบคุม แต่อีสต์เอเชียเอเนอร์จี้ได้สร้างผลงานที่พิสูจน์ออกมาได้สักผลงานหรือยัง?”

ดวงตาของชายสูงวัยมีความขมขื่นเล็กๆ

สิบปีเหรอ?

ผู้อำนวยการคนก่อนเขาก็ไม่ได้ทำผลงานอะไรเหมือนกันนั่นแหละ

การวิจัยดีๆ ไม่ได้ทำได้ง่ายๆ นะ

อู๋ฉิงลังเลอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจแล้วเซ็นชื่อตัวเองลงไปในใบลาออกตรงหน้า

เขาคิดถึงเรื่องของผู้อำนวยการหลิวซือไห่แล้วนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

เขาพึมพำออกมาในขณะที่มองสัญญาอิเล็กทรอนิกส์ตรงหน้า “ขอบคุณนะ…ที่ให้ผมลาออกโดยที่ยังมีหน้ามีตาอยู่”

“คุณมีเวลาครึ่งวันในการเก็บของ”

ลู่โจวไม่ได้พูดอะไรมากนัก เขาเก็บสัญญาอิเล็กทรอนิกส์ จากนั้นก็เดินจากไป

การรับสมัครพนักงานใหม่นั้นดำเนินการเสร็จแล้ว แรงงานใหม่เอี่ยมสองพันคนกำลังรอการฝึกงานอยู่

เมื่อเนื้อที่เน่าได้ถูกตัดทิ้งไปหมดแล้ว จากตอนนี้เป็นต้นไป อีสต์เอเชียเอเนอร์จี้จะเข้าสู่ศึกใหม่ๆ ด้วยกองกำลังใหม่ ดังนั้น จึงมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่รอให้เขาได้ทำ

ลู่โจวอดที่จะยิ้มไม่ได้ เสียงฝีเท้าของเขาเบาลงกว่าเดิมมาก

สิ่งต่อไปที่เขาต้องทำคือ เรื่องของฝั่งวิชาการ…