บทที่ 717.3 เจี่ยเซิงทำให้คนผิดหวัง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เพ่ยเซียงตกตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะบ่นว่า “แรงหนุนที่มิอาจดูแคลนเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ไม่เห็นเจ้าบอกกับข้าเลย?”

เจียวหลงขอบเขตก่อกำเนิดตัวหนึ่ง!

สามารถมองเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหยกดิบครึ่งตัวได้เลย!

เจียวน้ำที่เกิดมาก็มีเรือนกายแข็งแกร่งควบคู่กับวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตเช่นนี้ ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่เว้นจากผู้ฝึกกระบี่แล้ว ใครเล่าจะกล้าไปหาเรื่องง่ายๆ?! โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกตระกูลเซียนที่อยู่ใกล้กับสายน้ำใหญ่ทั้งหลาย หากผูกปมแค้นกันขึ้นมาก็เท่ากับเทียบเชิญที่พญายมราชเป็นผู้ส่งมาให้ รับไว้ก็ตาย ไม่รับไว้ก็ตายเหมือนกัน

หากสวี่หุนแห่งนครลมเย็นไม่ได้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนแล้ว และในฐานะผู้ฝึกตนสำนักการทหาร พลังพิฆาตของเขาจึงรุนแรงมากจนชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งทวีป ไม่อย่างนั้นลำพังเพียงแค่มีเจียวน้ำตัวนี้ช่วยคุมหลังให้ บวกกับจูเหลี่ยนอีกคน ภูเขาลั่วพั่วก็สามารถงัดข้อกับนครลมเย็นซึ่งๆ หน้าได้แล้ว

“แม่นางหงเซี่ยเดินลงน้ำกลายเป็นเจียว สามาถทำให้เพ่ยเซียงสบายใจขึ้นได้ก็ดีแล้ว”

จูเหลี่ยนหัวเราะ เผชิญหน้ากับอาการตกตะลึงของเพ่ยเซียง เขาได้แต่พูดเช่นนี้ ไม่อาจพูดไปมากกว่านี้ได้อีก

ไม่บังเอิญเลยที่ยามอยู่บ้านเกิดของเขา หงเซี่ยไม่กล้าพูดอะไรบนภูเขาลั่วพั่วเลยด้วยซ้ำ

หากจูเหลี่ยนจำไม่ผิดล่ะก็ แม้แต่ศาลบรรพจารย์บนยอดเขาจี้เซ่อ หงเซี่ยก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อนสักครั้ง

ตอนนี้คนที่จูเหลี่ยนค่อนข้างเป็นห่วงก็คือเฉินหลิงจวินที่เดินลงแม่น้ำจากลำน้ำใหญ่ในอุตรกุรุทวีปมากกว่า

ในเมื่อจนถึงวันนี้ยังไม่มีข่าวส่งมาที่แจกันสมบัติทวีปก็หมายความว่าเฉินหลิงจวินยังไม่ได้เดินลงน้ำ

ไม่ใช่ว่าเขาถือสาอยากให้ผลลัพธ์ในการเดินลงน้ำของเฉินหลิงจวินเหนือหงเซี่ยไปไกล จูเหลี่ยนแค่กังวลว่าด้วยนิสัยที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ของเฉินหลิงจวิน ออกไปอยู่ข้างนอก ไม่มีใครให้การดูแล ย่อมง่ายที่จะต้องเสียเปรียบ ด้วยนิสัยนั้นของเฉินหลิงจวิน หากอยู่บ้านเกิดยังนับว่าดี ถึงอย่างไรก็ยอมรับชะตากรรมมานานแล้ว ไม่มีนิสัยยอมตายแต่ก็ต้องรักหน้าตาเอาไว้อีกต่อไป แต่เรียกให้ไพเราะเสียใหม่ว่า ‘บุญคุณความแค้นเป็นเรื่องของหมัดหนึ่งหมัด’ ทว่าไปอยู่ข้างนอก คาดว่าคงจะชอบตบหน้าทำตัวให้เป็นคนอ้วนอีกครั้งอย่างแน่นอน

เพ่ยเซียงอารมณ์ดีอย่างยิ่ง นางเด็ดดอกไม้ดอกหนึ่งลงมาจากต้น ยื่นส่งให้จูเหลี่ยน

จูเหลี่ยนโบกมือ ยิ้มกล่าว “คนยิ่งหน้าตาอัปลักษณ์ถึงยิ่งชอบปักบุปผา เจ้าเอาไปปักเองเถอะ”

พื้นที่มงคลดอกบัวในอดีต มีประเพณีนิยมที่บุรุษจะปักบุปผา ไม่อย่างนั้นรุ่นหลังจะมีหนุ่มปักบุปผาโจวซื่อได้อย่างไร

เพ่ยเซียงถลึงตาใส่เขา ทว่ากลับยังเหน็บดอกไม้ไว้บนผม

จูเหลี่ยนสามารถทะยานลมเดินทางไกล เพ่ยเซียงเองก็เป็นเซียนดินก่อกำเนิด หากเกิดอารมณ์อยากจะทะยานลมก็ไม่ต้องสนใจแล้วว่าใต้ฝ่าเท้ามีเส้นทางให้เดินหรือไม่ จูเหลี่ยนมาถึงสันเขาแห่งหนึ่งของภูเขาฉีตุนที่ห่างไกลไร้ผู้คน เพียงแต่ว่าค่อนข้างอยู่ไกลจากที่ตั้งศาลของซ่งอวี้จาง

จูเหลี่ยนเอาสองมือไพล่หลังยืนอยู่บนกิ่งต้นสนโบราณต้นหนึ่งแล้วยิ้มอย่างชอบใจ

มองเห็นภูเขาลั่วพั่วได้แล้ว

เพ่ยเซียงนั่งอยู่บนกิ่งไม้ สองนิ้วแตะดันดอกไม้ที่อยู่ตรงจอนผมริมหูเบาๆ

จูเหลี่ยนเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “บ้านไหนกล้าแขวนป้ายสงบสุขปลอดภัย เต้าหู้ผักเขียวมีความสันติสุข ได้กินอิ่ม ได้สวมอุ่น วันนี้นอนหลับ พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมา ก็คือวิถีทางโลกที่สงบสุขของมนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆ”

เพ่ยเซียงเอ่ยสัพยอก “ไม่ใช่ว่าข้าหลงตัวเองหรอกนะ แต่เจ้าและข้าจะถือว่าเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร?”

จูเหลี่ยนเงยหน้ามองฟ้า เอ่ยเบาๆ ว่า “ต่อให้จะอยู่เบื้องล่างคนแค่คนเดียว ก็ล้วนถือเป็นคนธรรมดาทั้งสิ้น”

ที่บ้านเกิดเดิมของจูเหลี่ยน ต่อให้เด็กรุ่นหลังอย่างติงอิงจะมีขอบเขตวิถีวรยุทธสูงกว่า แต่หากพูดถึงสภาพจิตใจแล้วกลับไม่แน่เสมอไป ติงอิงถือเป็นคนที่ถือกำเนิดขึ้นได้เพราะโชคชะตา ลุกผงาดขึ้นมาเพราะโอกาสอำนวย วิชาหมัดสูงหรือไม่ อันที่จริงในสายตาของจูเหลี่ยนล้วนถือเป็นของนอกกาย

หากอิงตามคำอธิบายของเผยเฉียนในภายหลัง อย่างน้อยที่สุดติงอิงก็ไม่สามารถเป็นเหมือนจูเหลี่ยนในปีนั้นได้ ถึงขั้นที่สามารถพูดได้ว่า เส้นทางที่มารร้ายติงอิงก้าวเดินในภายหลังก็คือทางเส้นเดียวกับที่คนคลั่งวรยุทธจูเหลี่ยนเคยเหยียบเดินผ่านมาก่อน

กวานสูงของตระกูลเซียนชิ้นนั้นเป็นของที่จูเหลี่ยนโยนทิ้งให้ติงอิงตอนเป็นหนุ่มอย่างไม่ใส่ใจ

จูเหลี่ยนใช้กำลังของคนคนเดียวสังหารยอดฝีมือในใต้หล้าเก้าคน ในสายตาของเขาข้างกายล้วนว่างเปล่าไร้ผู้คน

เพียงแต่จูเหลี่ยนไม่ได้รู้สึกว่านั่นคือวีรกรรมยิ่งใหญ่อะไร ยังอยู่ห่างจากสิ่งที่คิดไว้ในใจไกลนัก

ยกตัวอย่างเช่นผู้อาวุโสบนภูเขาลั่วพั่วท่านนั้น เขาได้อยู่ในจุดที่สูงและห่างไกลในใจของจูเหลี่ยนเรียบร้อยแล้ว จูเหลี่ยนต้องก้าวเดินไปทีละก้าวถึงจะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

หนึ่งในภาพเหมือนสามภาพที่แขวนบนภูเขาลั่วพั่ว ก็มีชุยเฉิงผู้ฝึกยุทธเป็นหนึ่งในนั้น

ส่วนคนที่ชักนำผู้เฒ่าที่ในอดีตเคยสติฟั่นเฟือนนานถึงร้อยปีกว่ามายังภูเขาลั่วพั่ว ก็คือภิกษุวัยกลางคนที่อุ้มบาตรออกเดินทางไกล สุดท้ายทุกฝีเท้าที่ก้าวเดินมีดอกบัวผุดขึ้นมา

เพ่ยเซียงยื่นนิ้วออกไปชี้ “นั่นก็คือภูเขาลั่วพั่วหรือ?”

จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “รอบน้ำล้วนมีแต่ภูเขา รอบภูเขาล้วนมีแต่น้ำ มองไปต้นไม้เขียวครึ้มชอุ่มทั้งดกดื่นทั้งงดงาม คือบ้านเกิดข้าเอง”

เพ่ยเซียงเอ่ยหยอกล้อ “เปรี้ยวขนาดนี้เชียว (เปรียบเปรยว่าฟังแล้วเข็ดหู เข็ดฟัน) ทำปลาผักดองเก่งมากหรือ?”

เพราะจูเหลี่ยนเคยพูดล้อเล่นด้วยการเอ่ยอย่างภาคภูมิใจว่าตัวเองมีฝีมือการทำอาหารยอดเยี่ยมเป็นอันดับหนึ่ง วิชาหมัดพอใช้ได้ พิณ หมากล้อม อักษร ภาพวาดก็แค่พอถูไถ

จูเหลี่ยนหัวเราะฮ่าๆ “เพ่ยเซียงเจ้าบังเอิญพูดถึงเรื่องนี้พอดี ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอเตือนเจ้าสักคำ อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว นอกจากคุณชายแล้ว ไม่ว่าใครก็ห้ามพูดถึงปลาผักดอง ไม่อย่างนั้นอาจจะถูกจดบัญชีได้ง่าย”

ท่ามกลางม่านราตรีที่ธารดวงดาวส่องประกายแสงระยิบระยับ คนทั้งสองกลับมาเดินบนเส้นทางของภูเขาฉีตุนกันอีกครั้ง จูเหลี่ยนฝึกท่าเดินนิ่งไปอย่างเนิบช้า เพ่ยเซียงไม่มีอะไรทำจึงเงยหน้าชมทัศนียภาพรอบด้าน

สุดท้ายมาถึงเนินสูงแห่งสุดท้ายบนภูเขาฉีตุน จูเหลี่ยนเก็บหมัด ทอดสายตามองทิศไกล อยู่ดีๆ ก็เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ตื่นจากฝันคือการกระโดดหน้าผาครั้งหนึ่ง”

เพ่ยเซียงยิ้มถาม “หมายความว่าอะไร?”

จูเหลี่ยนส่ายหน้า “ไม่มีความหมาย

เพ่ยเซียงจึงไม่ได้ใคร่ครวญคำพูดประโยคนี้ให้ลึกซึ้ง

บางครั้งคำพูดของจูเหลี่ยนก็แปลกประหลาดจนทำให้คนจับต้นชนปลายไม่ถูก

นางอดไม่ไหวนึกถึงเจียวน้ำที่เป็นขอบเขตเดียวกับตนตัวนั้นขึ้นมาอีก “งูเหลือมใหญ่ตัวนั้นเดินลงน้ำได้ราบรื่น ช่างโชคดีจริงๆ เป็นเพราะว่าชื่อจังหวัดหลงโจวของต้าหลีพวกเจ้า ชื่อหลงโจว (จังหวัดของมังกร) นี้ตั้งได้ดีใช่หรือไม่?”

จูเหลี่ยนกล่าว “ต่อให้ชื่อหลงโจวจะดีแค่ไหน ก็ไม่ดีเท่าชื่อของคุณชายข้าหรอก”

เพ่ยเซียงยื่นนิ้วข้างหนึ่งมานวดคลึงหว่างคิ้ว ปวดหัว

จูเหลี่ยน จูเหลี่ยน หากเจ้ายังเป็นแบบนี้ต่ออีก ข้าจะสงสัยเรื่องหนึ่งแล้วนะ

จูเหลี่ยนเอ่ยพึมพำกับตัวเองว่า “หมามองเขาแวบหนึ่ง เขามองข้าแวบหนึ่ง ข้ามองฟ้าดินแวบหนึ่ง เป็นจริงจริงๆ หรือ? ยิ่งนานข้าก็ยิ่งไม่แน่ใจ”

และไม่นานจูเหลี่ยนก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า “เป็นเพียงแค่คำพูดเพ้อฝันของคนปัญญาอ่อนเท่านั้น เพ่ยเซียงอย่าได้เก็บไปใส่ใจ”

เพ่ยเซียงถาม “หากข้าถามเจ้า เจ้าตอบคำถามข้า จะไม่ใช่ว่าสามารถช่วยพิสูจน์ให้เจ้าได้หรอกหรือ?”

จูเหลี่ยนส่ายหน้าเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าจริงหรือไม่ ถามไปก็เสียเวลาเปล่า ตอบไปก็เสียเปล่า”

เพ่ยเซียงมีไฟโทสะเล็กน้อย

เพียงแต่ว่านางปล่อยวางได้อย่างรวดเร็ว จูเหลี่ยนตรงไปตรงมากับตนเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นตนเป็นคนนอกแล้ว

เพ่ยเซียงถาม “ถ้าอย่างนั้นใครกันถึงจะให้คำตอบเจ้าได้?”

จูเหลี่ยนยกมือชี้นิ้วไปที่ม่านฟ้า ก่อนจะชี้นิ้วไปยังจุดที่ห่างไปไกล สุดท้ายปรบมือเบาๆ “ตะวันจันทราอยู่บนฟ้า หนึ่งคำว่าสว่าง ใจข้าสว่างไสว คนดีคนหนึ่ง หากคนผู้นี้เป็นคนบอกคำตอบแก่ข้า ข้าก็จะเชื่อ”

จูเหลี่ยนสะบัดชายแขนเสื้อ พูดเยาะตัวเองว่า “วางใจเถอะ น้อยนักที่ข้าจะเป็นเช่นนี้ ยิ่งเข้าใกล้บ้านเกิดก็ยิ่งหวาดกลัว”

เพ่ยเซียงรู้สึกจิตใจวุ่นวายเล็กน้อย

คาดว่าคนที่คิดแบบนี้คงจะเป็นคนประหลาดมาก แล้วก็โดดเดี่ยวอย่างมากด้วย

แต่จูเหลี่ยนกลับเก็บอารมณ์ความคิดทั้งหมดลงไปแล้วออกเดินทางต่ออีกครั้งแล้ว

ในอดีตเดินทางท่องไปในใต้หล้าของบ้านเกิดเพียงลำพัง ห่มดาวสวมจันทราอาภรณ์สีชาด

…..

ท่ามกลางม่านราตรี หร่วนซิ่วยืนอยู่ริมแม่น้ำอวี้เย่

หงเซี่ยที่หยุดพักรักษาอาการบาดเจ็บและสร้างความมั่นคงให้กับขอบเขตอยู่ที่นี่ชั่วคราวรีบร่ายวิชาอภินิหาร ออกจากน้ำขึ้นมาบนชายชายฝั่ง เพื่อมาพบหร่วนซิ่ว

ก่อนจะกลายร่างเป็นเจียว ยามเผชิญหน้ากับหร่วนซิ่ว หงเซี่ยก็ระมัดระวังตัวอยู่แล้ว คาดไม่ถึงว่าพอกลายร่างเป็นเจียวแล้ว จิตใจจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมากกว่าเดิมอย่างที่มิอาจควบคุมตัวเองได้

ดังนั้นความปิติยินดีในใจที่ยากจะควบคุมหลังจากกลายร่างเป็นเจียวได้สำเร็จของหงเซี่ยก่อนหน้านี้ อย่างน้อยที่สุดก็หายไปแล้วครึ่งหนึ่ง

เหนียงเนียงเทพวารีแม่น้ำอวี้เย่กล้าๆ กลัวๆ สองจิตสองใจ หลังจากหงเซี่ยปรากฏตัวครู่หนึ่งก็ตามมาพบหร่วนซิ่วอย่างกระตือรือร้นเช่นกัน

หร่วนซิ่วมองพวกนางสองคน คนหนึ่งคือทายาทของเจียวน้ำ อีกคนหนึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นเทพวารี หร่วนซิ่วไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแค่กินขนมดอกท้อจากร้านยาสุ้ยไปหนึ่งชิ้น

เสมียนในจวนน้ำและภูตตามสายน้ำทุกตนที่อยู่ในน่านน้ำของแม่น้ำอวี้เย่แถบนี้ถูกเหนียงเนียงเทพวารีขับไล่ไปนานแล้ว ด้วยกลัวว่าจะไปทำให้สตรีสวมชุดเขียวมัดผมหางม้าตรงหน้าเกิดความขุ่นเคือง

ก่อนหน้านี้ได้รับ ‘คำบัญชา’ จากหร่วนซิ่ว ท่ามกลางม่านฝนในค่ำคืนนั้น หวงซานหนวี่ที่กระวนกระวายไม่เป็นสุขได้เลือกต้นกำเนิดสายน้ำแห่งหนึ่งแล้วเผยร่างจริง ก่อนจะเริ่มเดินลงน้ำ

ทุกวันนี้สถานที่ที่พอจะถือว่าเป็นภูเขาตระกูลเซียนได้ในจังหวัดหลงโจว อันที่จริงมีอยู่สามแห่ง สำนักกระบี่หลงเฉวียน ภูเขาพีอวิ๋น ภูเขาลั่วพั่ว

ดังนั้นการเดินลงน้ำครั้งนี้จึงทำให้หวงซานหนวี่ที่ใช้นามแฝงว่าหงเซี่ยรู้สึกราวกับฝันไปอย่างไรอย่างนั้น

อันดับแรกคือเริ่มต้นที่ต้นกำเนิดลำธารซึ่งไหลออกมาจากภูเขาใหญ่ หม่าหลันฮวาแม่ย่าลำคลองหลงซวีที่มีตำแหน่งเทพแต่กลับไร้ศาลให้ได้รับควันธูปได้แต่ออกมาส่งด้วยรอยยิ้มประจบ ขณะเดียวกันก็ช่วยกักกระแสน้ำที่ไหลบ่า จากนั้นก็ผ่านแม่น้ำเถี่ยฝูที่โชคชะตาน้ำเข้มข้นมากที่สุด มีหยางฮวาองค์เทพวารีอันดับหนึ่งของต้าหลีเป็นผู้เฝ้าพิทักษ์ นางไม่ได้ปรากฏตัว แต่กลับช่วยสยบกำลังแรงของสายน้ำไว้ให้ ต่อมาก็ผ่านแม่น้ำซิ่วฮวาช่วงเล็กๆ สุดท้ายว่ายทวนกระแสของแม่น้ำชงตั้นที่อันตรายที่สุด ธาตุน้ำรุนแรงที่สุด เทพวารีทั้งสององค์ต่างก็ช่วยคุ้มกันการเดินทางเหมือนปกป้องมรรคา หงเซี่ยจึงเดินลงน้ำกลายร่างเป็นเจียวได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรคเช่นนี้

สุดท้ายยังสามารถไปพักรักษาบาดแผลในถ้ำน้ำธรรมชาติที่ปราณวิญญาณเปี่ยมล้นแห่งหนึ่งในแม่น้ำอวี้เย่

เป็นเหนียงเนียงเทพวารีผู้นั้นที่มาเชื้อเชิญ ‘สหายหงเซี่ย’ ด้วยตัวเอง

เหนียงเนียงเทพวารีอิจฉาโชควาสนายิ่งใหญ่ที่งูเหลือมใหญ่ตัวนี้ได้รับมาจริงๆ

หันกลับมามองตน อย่าว่าแต่โชควาสนาบนมหามรรคาเลย ดูเหมือนว่าจะมีแต่หายนะความวุ่นวายทั้งนั้น

สตรีชุดเขียวไม่พูดจา

หงเซี่ยกับเหนียงเนียงเทพวารีก็ยิ่งเงียบกริบเป็นจักจั่นในฤดูหนาว

หร่วนซิ่วกินขนม สายตามองไปยังหงเซี่ย “สภาพแทบทนดูไม่ได้ มิน่าเล่าถึงได้แพ้ให้กับหนีชิวน้อยตัวหนึ่ง”

หงเซี่ยเหลือบมองข้อมือของหร่วนซิ่วอย่างระมัดระวัง นั่นคือมังกรเพลิงตัวหนึ่งที่ขดตัวเหมือนกำไลข้อมือ

มังกรเพลิงที่เดิมทีนิ่งเฉยเหมือนตาย ดวงตาพลันกลิ้งกลอกอย่างมีชีวิตชีวาทันใด สุดท้ายจ้องหงเซี่ยเขม็ง

ในใจหงเซี่ยตื่นตะลึง รีบขยับเส้นสายตาเบี่ยงไปทางอื่น สงบจิตแห่งมรรคาให้มั่นคงอย่างยากลำบากถึงได้ไม่ถึงขั้นขยับเท้าก้าวถอยหลังตามจิตใต้สำนึก

มังกรเพลิงเป็นห้าขอบเขตบนแล้ว ย่อมต้องเป็นห้าขอบเขตบนอย่างแน่นอน!

หร่วนซิ่วคงจะไม่รู้ว่า ท่าทางการกินขนมที่เนิบช้าของตัวเอง สำหรับคนสองคนที่อยู่ตรงหน้านางแล้วก็คือความทรมานอย่างใหญ่หลวงอย่างหนึ่ง ประหนึ่งปลาที่ถูกทอดอยู่ในกระทะร้อนๆ ถูกสุมด้วยไฟแรง

และคาดว่าต่อให้นางรู้แล้วก็คงจะไม่สนใจอยู่ดี

หร่วนซิ่วเพิ่งจะกลับมาถึงใต้หล้าไพศาล

ยังคงเป็นชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อผู้นั้นที่ช่วยเปิดประตูใหญ่

กลัวท่านพ่อจะด่าว่านางก่อกวนไม่เข้าเรื่อง จึงมาหลบอยู่ที่นี่ก่อน

เพราะอารมณ์ไม่ดี พอเห็นหงเซี่ยผู้นี้ แน่นอนว่าย่อมไม่ทำสีหน้าดีๆ ให้เห็น

หร่วนซิ่วสะบัดข้อมือเบาๆ มังกรเพลิงที่ได้ ‘เดินลงน้ำ’ อย่างมหัศจรรย์นอกฟ้าก่อนหน้านี้ว่านอนสอนง่ายกับเจ้านายมาโดยตลอด จึงหลับไปต่ออีกครั้ง

เผ่าพันธุ์ทายาทน้ำแห่งขุนเขาหนองบึงที่ธรรมดาที่สุด สามารถเดินผ่านลำคลองใหญ่แห่งหนึ่งได้สำเร็จก็ถือว่ามีบุญมากแล้ว หากโชคดี ระบบสายเลือดดั้งเดิมถูกต้อง ไม่แน่ว่าอาจจะได้รับสัญลักษณ์มงคลบางอย่างสำหรับพวกเผ่าพันธ์เจียวหลง ยกตัวอย่างเช่นกรงเล็บมังกร เกล็ดมังกร หรือไม่ก็หนวดมังกร

ก็เหมือนปีศาจใหญ่ปลาไหลที่ใบถงทวีปตัวนั้น ในอดีตพยายามจะเดินลงน้ำในลำคลองม่ายเหอ หากไม่เป็นเพราะเหนียงเนียงเทพวารีผู้นั้นขัดขวางอย่างสุดชีวิต อันที่จริงก็คงได้เดินลงน้ำกลายเป็นเจียวไปนานแล้ว

ส่วนพวกเผ่าพันธุ์น้ำของหนองบึงใหญ่ที่เดิมทีก็เป็นเผ่าพันธุ์เจียวหลงอยู่แล้ว อย่างน้อยที่สุดกลับต้องเดินผ่านแม่น้ำสายใหญ่สายหนึ่ง ถึงจะได้รับการแต่งตั้งจากวิถีสวรรค์อย่างเป็นทางการ นอกจากจะมีเรือนกายของเจียวหลงด้วยเหตุผลชอบธรรมแล้ว ประเด็นสำคัญคือยังสามารถฟูมฟักไข่มุกเจียวแห่งชะตาชีวิตเม็ดหนึ่งขึ้นมาได้

เพียงแต่ว่าเมื่อสามพันปีก่อนเกิดหายนะที่ทำให้เผ่าพันธุ์น้ำทั้งหมดในใต้หล้าต้องเดือดร้อนไปด้วย ทำให้ถูกมองว่าบนโลกไม่มีมังกรที่แท้จริงอีกต่อไป เหลือเพียงแค่ทายาทมังกรที่สายเลือดปนเปไม่บริสุทธิ์อยู่มากมาย

บวกกับที่ลำน้ำใหญ่ของใต้หล้าไพศาลมีอยู่แค่ไม่กี่สาย ตลอดเส้นทางมักจะมีสำนักตั้งเรียงราย เจียวหลงหรือจะกล้าก่อเรื่อง อย่าว่าแต่เดินลงน้ำไปไกลหลายหมื่นลี้เลย ต่อให้เพียงแค่หลบอยู่ใต้น้ำที่ห่างไกล หารังที่มีโชคชะตาน้ำค่อนข้างเข้มข้น แขวนกรอบป้ายว่าวังมังกรหรือจวนน้ำสักแผ่นได้สำเร็จก็ต้องจุดธูปไหว้พระแล้ว

นี่เป็นเหตุให้เจียวใหญ่ที่เดินลงลำน้ำสำเร็จแล้วได้จำแลงร่างกลายเป็นมังกรไม่เคยมีปรากฎมาก่อนในช่วงสามพันปีมานี้

เผ่าพันธุ์เจียวหลงและทายาทสายน้ำนับพันนับหมื่นในใต้หล้า มีตนใดบ้างที่ไม่อยากกลายร่างเป็นมังกร? แต่ใครเล่าจะกล้า?

เพราะไม่มีใครกล้าแน่ใจว่า เซียนกระบี่ไม่ทราบชื่อที่ปีนั้นสังหารมังกรที่แท้จริงจนสิ้นซากคนนั้นจะออกกระบี่อีกครั้งหรือไม่

จนกระทั่งมาถึงแจกันสมบัติทวีป มีเจียวหลงตัวหนึ่งที่เกล็ดทั่วร่างเป็นสีหิมะขาวโพลน เดินลงน้ำในลำน้ำใหญ่ของทวีปได้สำเร็จ มังกรที่แท้จริงจึงกลับคืนสู่ตำแหน่ง

จากนั้นก็ดักเอาโชคชะตาน้ำในใต้หล้าที่มากจนมิอาจประมาณการไป

งูเหลือมน้อยอย่างหงเซี่ยผู้นี้ เมื่อเทียบกับจื้อกุยในตรอกหนีผิงแล้วต่างกันหนึ่งแสนแปดพันลี้ แม้แต่เจ้าตัวน้อยที่ติดตามอยู่ด้านหลังจื้อกุยตอนนางเดินลงลำน้ำ นางก็ยังสู้ไม่ได้

หร่วนซิ่วหันหน้าเข้าหาผิวน้ำของแม่น้ำอวี้เจียง กระดกปลายคางชี้ไป “กลับไปกันเถอะ”

เจียวหลงตัวหนึ่ง เทพวารีท่านหนึ่ง ต่างก็รู้สึกเหมือนได้รับอภัยโทษ

พวกนางต่างก็รีบลงน้ำไปทันที มองประสานสายตากันอยู่ใต้น้ำไกลๆ ต่างก็ไม่กล้าสื่อสารกันด้วยเสียงในใจ ทั้งสองฝ่ายรู้สึกเพียงว่าพวกตนต่างก็เป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมที่น่าสงสาร

หร่วนซิ่วขมวดคิ้ว ยังคงมองไปที่ผิวน้ำของลำคลองเบื้องหน้า ถามว่า “น่ามองหรือไม่?”

ผู้เฒ่าพายเรือคนหนึ่งถ่อเรือเลียบลำน้ำมาช้าๆ

ต่อให้อยู่ห่างกันสิบกว่าลี้ ทว่าเสียงของหร่วนซิ่วก็ยังคงดังเข้าหูผู้เฒ่าพายเรืออย่างชัดเจน เขาไม่ได้ตอบ เพียงแค่จุ๊ปากอย่างหลากใจ

นักพรตสาวคนหนึ่งยืนอยู่บนหัวเรือ มองมายังหร่วนซิ่ว ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แม่นางหร่วนซิ่ว ได้พบกันอีกครั้งแล้ว”

เมื่อก่อนหร่วนซิ่วมีความประทับใจที่ไม่เลวต่อเฮ้อเสี่ยวเหลียงซึ่งในอดีตเคยใช้สถานะของนักพรตหญิงสำนักโองการเทพมาท่องเที่ยวที่ถ้ำสวรรค์หลีจู ทว่าทุกวันนี้ความประทับใจที่ว่านั้นกลับไม่ค่อยดีเท่าไรแล้ว

——