ตอนที่ 1505 คุณกล้าตอบไหมล่ะ?

Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ

“แค่กๆ ”

บนรถสำรวจดวงจันทร์คันหนึ่ง พอเสียงไอเบาๆ ดังมาจากช่องทางสื่อสาร ชายที่นั่งอยู่ข้างลู่โจวก็มองเจ้าตัวแล้วถามด้วยเสียงเป็นห่วง “มีอะไรหรือเปล่า?”

“ไม่มีอะไรหรอก แค่คันจมูกนิดหน่อย…”

ในขณะที่ลู่โจวใส่หมวกครอบชุดอวกาศอยู่นั้น เขาไม่สามารถใช้มือจับจมูกของตัวเองได้ จึงทำได้เพียงส่งเสียงสูดจมูกเหมือนคนเป็นหวัด เขาอยากจาม แต่มันจามไม่ออกน่ะสิ เป็นความรู้สึกที่น่ารำคาญจริงๆ

เป็นหวัดหรือเปล่านะเรา

แต่ตอนนี้เรื่องนั้นก็เอาไว้ก่อนแล้วกัน ลู่โจวสาดสายตาออกไปนอกหน้าต่างรถ เขามองไปทางเมืองที่อยู่ขอบหลุมดวงจันทร์ซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป ในใจก็รู้สึกโหวงๆ นิดหน่อย

“พิมพ์เขียวของที่นี่ผมเป็นคนออกแบบเอง แต่ก็ไม่คิดว่าพอผ่านไปร้อยปีที่นี่จะเจริญรุ่งเรืองขนาดนี้”

ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ เขายิ้มแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ดูเหมือนทุกอย่างที่คุณคาดหวังไว้จะประสบความสำเร็จกันหมดนะ”

ลู่โจวพยักหน้า

“ก็ทำนองนั้น อย่างน้อยในทุกอย่างที่ว่านั่นก็มีครึ่งหนึ่งแล้วที่ประสบความสำเร็จจริงๆ ”

ในตอนนี้ ชายวัยสามสิบต้นๆ ที่นั่งอยู่ข้างลู่โจวก็คือเหย่เหอ นายกเทศมนตรีของเมืองก่วงฮั่น หลังจากได้ยินว่าลู่โจวเป็นผู้นำในการเลือกตำแหน่งทำเลที่จะสร้างเครื่องปฏิกรณ์ฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สองของอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้ เทศมนตรีเหย่ก็มาพบหน้าเขาด้วยตัวเอง

หลังจากได้ยินคำพูดของลู่โจว เหย่เหอก็พูดติดตลกพร้อมกับยิ้มๆ ใส่อีกฝ่าย “ผมถามได้ไหมว่าอีกครึ่งที่เหลือคืออะไร?”

ลู่โจวตอบ “พลังงานไงล่ะ”

พอเหย่เหอได้ยินคำตอบ เขาก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย

ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด

ถึงนี่จะไม่ใช่ความลับอะไร แต่กับนักวิชาการจากยุคเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ที่เพิ่งตื่นมาจากตู้สำหรับหลับชั่วคราวเมื่อเดือนที่แล้ว เขากลับสามารถมองเห็นปัญหาคอขวดที่ใหญ่ที่สุดซึ่งกำลังก่อปัญหาให้กับการพัฒนาเมืองก่วงฮั่นได้

“คุณรู้เรื่องนี้เหรอ?”

ลู่โจวตอบด้วยรอยยิ้มจางๆ

“ทำนองนั้น”

ถ้าพูดจริงๆ แล้วก็คือ ดวงจันทร์ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมกับการพัฒนาเมืองที่มีประชากรหนาแน่น ทรัพยากรและค่าบำรุงรักษาที่มากเกินไปได้จำกัดหลักเกณฑ์การพัฒนาอุตสาหกรรม ณ ที่แห่งนี้เป็นอย่างมาก

มันแตกต่างจากบนดาวโลกที่เทคโนโลยีฟิวชั่นที่ควบคุมได้นั้นเจริญรุ่งเรืองไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ในขณะที่ค่าใช้จ่ายของพลังงานเขตเศรษฐกิจพิเศษก่วงฮั่นกลับมีราคาค่อนข้างสูง

ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าคนที่นี่ไม่อยากจะทำให้เทคโนโลยีฟิวชั่นที่ควบคุมได้เป็นที่นิยมแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะการสร้างเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิวชั่นบนดวงจันทร์เป็นสิ่งที่ทำได้ยากเกินไปต่างหาก

หนึ่งในปัญหาลำดับแรกๆ ก็คือ ปัญหาเรื่องการสะสมความร้อนในสุญญากาศ จากการประเมินอย่างคร่าวๆ นั้น ฮีตซิงก์ที่จำเป็นต้องใช้ในการสร้างเครื่องปฏิกรณ์ฟิวชั่นนั้นสามารถใช้งานได้ในบริเวณเกือบครึ่งหนึ่งของพื้นที่ดวงจันทร์ทั้งหมด

ลู่โจวคาดการณ์ว่า หากไม่มีเทคโนโลยีฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สองเข้ามาช่วย เมืองก่วงฮั่นจะต้องหยุดอยู่นิ่งๆ ไม่พัฒนาไปไหนแน่

ซึ่งนี่แตกต่างจากบนโลก ระบบนิเวศจำลองทั้งระบบและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ช่วยเยียวยาชีวิตต่างๆ นั้นล้วนต้องใช้พลังงานในการบำรุงรักษาทั้งนั้น พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้คนใช้พลังงานอันล้ำค่าตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาก้าวขึ้นมาเหยียบบนดวงจันทร์แล้ว

ในสมัยก่อนคนในเมืองก่วงฮั่นยังไม่ได้มีมากมายขนาดนี้ ตอนนั้นมันเป็นแค่สถานีวิจัยเท่านั้นเอง เพียงแค่อาเรย์แสงอาทิตย์ในพื้นที่หลุมดวงจันทร์กับอาคารกักเก็บพลังงานที่มีขนาดเท่ากับศูนย์วิจัยก็สามารถทำให้ทั้งอาณานิคมมีพลังงานเพียงพอจากการใช้พลังงานในเวลากลางวันสลับกับกลางคืนแล้ว

แต่ในตอนนี้ เมืองก่วงฮั่นมีประชากรที่เป็นชาวเมืองถึง 100,000 คนด้วยกัน เนื่องจากที่นี่เป็นศูนย์วิจัยการพาณิชย์และการท่องเที่ยวของระบบโลก-ดวงจันทร์ ประชากรของที่นี่จึงเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึงสิบเท่า

พลังงานที่ถูกใช้ไปในแต่ละวันจึงมีจำนวนมากมหาศาลเกินบรรยาย ยังไม่นับว่าปัญหาการขาดพลังงานส่วนใหญ่นี้เป็นสิ่งที่ต้องแก้ด้วยการสร้างอาคารผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ จึงทำให้เมืองก่วงฮั่นถูกออกแบบมาให้เป็นเมืองที่ขนาดเล็กกะทัดรัดมาก เพื่อจะแบ่งพื้นที่ไว้ให้อาคารผลิตแสงอาทิตย์ พวกเขาจึงมุ่งตรงไปที่การออกแบบสถาปัตยกรรมสไตล์มินิมอล

นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมประเทศส่วนใหญ่จึงข้ามดวงจันทร์ไป แล้วย้ายไปตั้งอาณานิคมใหม่บนดาวอังคารแทน

ฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สองเป็นสิ่งที่ไร้หนทางมาโดยตลอด ไม่ว่าฮีเลียม-3 ที่อยู่ในดินดวงจันทร์จะสามารถนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในยุคอวกาศได้หรือไม่ก็ยังเป็นปริศนากันอยู่ ถ้าสมมุติว่าจะเอาแค่ไทเทเนียมกับทรัพยากรที่หายากบนพื้นโลกแล้วล่ะก็ แค่แถบดาวเคราะห์น้อยก็เพียงพอในการเก็บทรัพยากรให้ดาวอังคารและระบบโลก-ดวงจันทร์แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องมาขุดดินบนดวงจันทร์เพิ่ม

หลังจากที่เดินทางมาถึงจุดหมายแล้ว ทั้งกลุ่มก็ลงมาจากรถ

พอลู่โจวมองหลุมดวงจันทร์ที่อยู่ตรงหน้าแล้ว เขาก็พยักหน้าแสดงความพึงพอใจ

พื้นผิวอยู่ในระดับที่สมบูรณ์แบบ และระดับมุมที่มีต่อดาวโลกก็ยังดีเช่นกัน ต่อไปก็เป็นการวิเคราะห์องค์ประกอบทางภูมิศาสตร์ ตราบใดที่โครงสร้างทางธรณีวิทยาของดินดวงจันทร์ข้างล่างนี้ไม่ได้ร่วนและมีรูพรุน ตำแหน่งพื้นที่ของการตั้งเครื่องปฏิกรณ์ทดลองตรงนี้ก็จะไม่มีปัญหาอะไร

“สถานะของพื้นที่ตรงนี้ค่อนข้างคงที่ทีเดียว ถ้าหากทางคุณไม่มีปัญหาอะไร ผมวางแผนจะสร้างเครื่องปฏิกรณ์ทดลองของฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สองตรงนี้นี่แหละ

ถ้าพูดตรงๆ แล้ว จากพิมพ์เขียวที่ผมออกแบบไว้ตอนนั้น ถ้าหากไม่มีเทคโนโลยีฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สอง ประชากรในเมืองจำนวน 100,000 คนนี้ ก็เกือบจะถึงขีดจำกัดของเมืองก่วงฮั่นแล้ว เหตุผลที่ผมวงกลมรอบเหมืองฮีเลียม-3หลายแห่งก่อนหน้าก็เพราะเรื่องนี้นี่แหละ

ตอนแรกผมคิดว่ามันจะทำประโยชน์ให้กับคนในอีกร้อยปีข้างหน้าอย่างแน่นอน ผมไม่คิดเลยว่าพวกคุณจะห่างไกลกับเทคโนโลยีฟิวชั่นใหม่ๆ ขนาดนี้”

พอได้ฟังคำพูดเชิงประชดของลู่โจว เหย่เหอก็รู้สึกอายเล็กๆ เขากระแอมเบาๆ แล้วพูดขึ้นว่า “เอ่อ…ไม่ว่าเทคโนโลยีฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สองจะสำเร็จหรือเปล่านั้น ผมก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจอะไร และผมก็ยังมีเรื่องที่สับสนอยู่ ผมไม่แน่ใจว่าควรถามไหม”

ลู่โจวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าคุณไม่เข้าใจก็ถามได้ ไม่เสียหายอะไรหรอก”

เทศมนตรีเหย่ถามอย่างจริงจัง “ฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นแรกมีปัญหาเรื่องการสะสมความร้อน ไม่ใช่ว่าฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สองก็มีปัญหาคล้ายๆ กันเหรอ? ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคุณถึงเลือกสร้างสถานีพลังงานฟิวชั่นบนดวงจันทร์ ในเมื่อมันก็มีวิธีการขนส่งพลังงานระยะไกลอยู่…ทำไมถึงไม่สร้างสถานีพลังงานบนโลกแล้วส่งกระแสไฟฟ้ามาที่นี่โดยตรงแทนล่ะ?”

ลู่โจวอธิบาย “การสะสมความร้อนนั้นเป็นปัญหาอย่างแน่นอน แต่ก็เป็นปัญหาที่แก้ไขได้ ลองคิดแบบนี้นะคุณ เนื่องจากฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นแรกได้สร้างนิวตรอนพิเศษขึ้นมา ไอเดียดีไซน์ส่วนเปลือกนอกของเครื่องปฏิกรณ์นั้นจึงออกแบบมาเพื่อให้สามารถรีไซเคิลนิวตรอนพิเศษได้ อย่างเทคโนโลยีการฟื้นคืนนิวตรอนลิเธียมเหลว และอื่นๆ ถึงดีไซน์พวกนี้จะสามารถฟื้นคืนนิวตรอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็ไม่ได้แก้ปัญหาที่เป็นแก่นของปัญหาโอเวอร์ฮีตได้ดีนัก และยังกินพื้นที่การดีไซน์ไปอย่างน้อยก็ 70%”

“…อย่างนั้นคุณก็จะบอกว่าพอฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สองไม่ได้สร้างนิวตรอนเพิ่มเติมขึ้นมา คุณเลยสามารถทิ้งดีไซน์ที่ก่อปัญหาหลายอันออกไปได้ และเปิดโอกาสให้มีพื้นที่ในการดีไซน์มากขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาจากการสะสมความร้อนอย่างนั้นเหรอ?” เหย่เหอพยักหน้าแล้วว่าต่อ “เหมือนผมจะเข้าใจที่คุณจะสื่อแล้ว”

ลู่โจวพยักหน้าเห็นด้วย

“คุณก็ค่อนข้างฉลาดเอาเรื่อง…”

“นี่ อย่าโดนเรื่องไร้สาระของเจ้าหมอนี่หลอกเอาสิ!”

เสียงขัดดังมาจากช่องทางสื่อสาร

คนทั้งกลุ่มหันไปมองข้างหลังโดยอัตโนมัติ พวกเขาจึงเห็นว่ามีชายสูงวัยในชุดอวกาศกำลังเดินตรงมาหา

ข้างหลังชายสูงวัยก็มีชายหนุ่มอีกคนพยายามวิ่งตามมาอยู่ เขามีรอยยิ้มเหยเก

เทศมนตรีเหย่รู้ว่าชายหนุ่มที่วิ่งตามมาคือเลขาของเขาเอง แต่เขาไม่รู้ว่าชายสูงวัยที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นใคร เทศมนตรีเหย่ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วถามออกไป “ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใคร?”

ชายสูงวัยเหลือบมองลู่โจวแล้วจึงหันกลับมามองเหย่เหอ จากนั้นเขาก็เอ่ยออกมาด้วยความไม่พอใจ “ผมชิวหมิงรุ่ย! คุณเชิญผมมาแท้ๆ แต่กลับไม่รู้เลยเหรอว่าผมเป็นใคร?”

ใบหน้าของเทศมนตรีเหย่พอมีแววเข้าใจแวบขึ้นมา เขายิ้มให้คนตรงหน้าแล้วกล่าวว่า “นักวิชาการชิว ผมต้องขออภัยด้วยครับ แต่คุณมาที่นี่วันนี้ทำไมกัน?”

ชิวหมิงรุ่ยตอบด้วยรอยยิ้มกลับไป “ถ้าผมมาที่นี่วันอื่นล่ะก็ คุณคงจะถูกเจ้าหมอนี่ต้มจนเปื่อยแล้วล่ะ”

ต้มจนเปื่อยเหรอ…

หมายความว่าอย่างไรกัน?

ลู่โจวมองชายสูงวัยที่ดูเกรี้ยวกราดอย่างไม่มีเหตุผล เขาถามอย่างสงสัย “คุณช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมว่าเขาเป็นใคร?”

“คนนี้คือนักวิชาการชิวหมิงรุ่ย เป็นผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันฟิสิกส์นิวเคลียร์ของสถาบันวิศวกรรมแห่งพาน-เอเชียน!” เทศมนตรีเหย่ตอบด้วยรอยยิ้ม “พวกเราเชิญเขามาทำการตรวจสอบประสิทธิภาพและความเป็นไปได้ของโปรเจกต์ เพราะไม่ว่าอย่างไรถ้าคุณจะใช้พื้นที่ขนาดใหญ่ของดินแดนแห่งนี้ มันก็จะต้องมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยอยู่ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว นี่จึงเป็นมาตรการปกติน่ะ”

“แน่นอน” ลู่โจวพยักหน้า เขามองนักวิชาการชิว แล้วเอ่ยกับอีกฝ่ายหลังจากคิดเพียงไม่กี่อึดใจว่า “ดูเหมือนว่าคุณจะมาที่นี่เพื่อหยุดผมนะครับ ถ้าเป็นอย่างนั้น คุณก็ว่ามาเลยดีกว่า”

สงสัยแฮะว่าทำไมเขาถึงดูโกรธ…หรือเขาจะเป็นคนอารมณ์ไม่ดีอย่างนี้อยู่แล้ว?

พอได้ยินอีกฝ่ายเปิดทางมาแล้ว ชายสูงวัยที่สวมชุดอวกาศก็สบตามองลู่โจวแล้วเอ่ยคำพูดออกมาอย่างดุดัน

“ผมจะถามคำถามคุณสามข้อ คุณกล้าตอบไหมล่ะ?”