บทที่ 717.5 เจี่ยเซิงทำให้คนผิดหวัง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บางครั้งความรู้สึกของสตรีก็ไม่มีเหตุผลให้อธิบายจริงๆ

อารมณ์ดี ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ดีไปหมด อารมณ์ไม่ดี ทุกเรื่องล้วนไม่ดี

ฝ่ายหลังมักมาเยือนอย่างกะทันหัน ทำให้บุรุษรับมือไม่ทันอยู่เสมอ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องไปฟังแล้วว่านางพูดอะไร ต่อให้จะเป็นคำบ่นงึมงำอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยก็ดี คำพูดด้วยความเดือดดาลที่ไม่รู้ว่าเหตุผลอยู่ตรงไหนก็ช่าง ไม่ต้องร้อนใจทำให้ตัวเองเสียกระบวนไปเอง ให้คิดเสียว่าเป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่ไม่อาจตอบโต้ได้ แค่รับฟังไปก็พอ หากหงุดหงิดเพราะเรื่องนี้ หรือหากพยายามใช้เหตุผลไปอธิบาย ยังจะเป็นอย่างไรได้อีก จบเห่ก็เท่านั้น ต่อให้ไม่พูดอะไรก็ต้องรับฟัง แล้วยังต้องฟังนางอย่างตั้งใจด้วย

บุรุษยินดีจะทำเช่นนี้หรือไม่ ส่วนใหญ่แล้วนั่นต่างหากถึงจะเป็นปมในใจที่แท้จริงของสตรี

เพียงแต่ว่าจูเหลี่ยนเป็นใคร เพียงไม่นานเพ่ยเซียงก็ยิ้มออก

เฉินยวนจีหยุดฝีเท้าเก็บหมัดอยู่ตรงกึ่งกลางภูเขา มองเห็นภาพอันอ่อนโยนตรงบันไดของยอดเขาก็ยิ่งรู้สึกนับถือในตัวอาจารย์ผู้เฒ่าจู เพิ่งจะกลับมายังบ้านเกิดก็ดูแลรับรองแขกแทนภูเขาลั่วพั่วแล้ว

หากเปลี่ยนเป็นเจ้าขุนเขาหนุ่มที่อยู่ข้างกายสตรีผู้นั้น คาดว่าเฉินยวนจีคงต้องกังวลถึงสภาพการณ์ของพี่หญิงเพ่ยเซียงแล้ว

หากเป็นเจ้าขุนเขาแล้วจะเป็นอย่างไร? สายตาล่อกแล่กหลุกหลิก แล้วยังชอบดื่มเหล้าเมาออกมาเดินเตร่ยามค่ำคืน ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่สนใจจะดูแล เอาแต่ออกท่องเที่ยวไปไกลเพียงลำพัง ทำให้อาจารย์ผู้เฒ่าจูต้องเหน็ดเหนื่อยกว่าปกติ

ส่วนนางเฉินยวนจีมุมานะตั้งใจฝึกวิชาหมัดทุกวัน ไม่ว่าใครก็หาข้อตำหนิไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่ไม่แน่ว่าคราวหน้าที่เดินสวนไหล่กัน ความต่างด้านวิชาหมัดของสองฝ่ายอาจถูกนางย่นระยะห่างให้ขยับเข้ามาใกล้กันได้อีกเยอะก็เป็นได้

เมืองเล็กที่ม่านราตรีหนาหนัก ร้านยาตระกูลหยาง

สหายฉางมิ่งออกจากตรอกฉีหลงมาเยือนที่แห่งนี้ในยามค่ำคืน นางเคาะประตูเบาๆ

ซูเตี้ยนและสือหลิงซานไปขัดเกลาวิถีวรยุทธที่สนามรบโบราณแห่งหนึ่ง ทุกวันนี้ต่างก็พากันกลับมาแล้ว และมาทำหน้าที่เป็นลูกจ้างร้านที่ไม่สะดุดตากันต่อไป เพียงแต่ว่าสือหลิงซานพักอาศัยในตรอกเถาเย่ มีเพียงศิษย์พี่หญิงซูเตี้ยนที่พักอยู่ในร้าน

ซูเตี้ยนได้รับคำสั่งจากอาจารย์จึงเปิดประตูให้สตรีผู้นั้น

ฉางมิ่งไปยังเรือนด้านหลัง

ส่วนซูเตี้ยนไปหยิบมานั่งมานั่งลงที่หน้าประตู

เรือนด้านหลัง ฉางมิ่งยอบกายคารวะผู้เฒ่า

เพราะยึดหลักมารยาทของผู้เยาว์ นางถึงขั้นไม่ได้นั่งลงด้วยซ้ำ

นางถามว่าร้านแห่งนี้ต้องการเงินเหรียญทองแดงแก่นทองหรือไม่

เพราะถึงอย่างไรทุกวันนี้สงครามก็กำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด นอกจากสนามรบหลักของนครมังกรเฒ่าแล้ว เส้นแนวรบเลียบมหาสมุทรทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกสองเส้น แม้จะไม่รุนแรงหนักหน่วงเท่ากับนครมังกรเฒ่า ทว่าควันดินปืนกลับผุดพุ่งไกลหมื่นลี้

หยางเหล่าโถวส่ายหน้า “น้ำใจรับไว้แล้ว ทรัพย์สมบัติน้อยนิดแค่นั้น เจ้าเองก็สะสมไว้อย่างยากลำบาก เก็บเอาไว้เถอะ”

การที่ยินดีพูดคุยกับนางมากหน่อย นอกจากเพราะนางมีความจริงใจแล้ว ยังมีสาเหตุจากเรื่องที่นางเกี่ยวข้องกับวิถีแห่งเทพด้วย

ฉางมิ่งบอกลาเตรียมจะขอตัวจากไป

ทว่าจู่ๆ ผู้เฒ่าก็ถามขึ้นมาว่า “สือโหรวในร้านยาสุ้ยผู้นั้น บนร่างมีเส้นสายที่แฝงตัวอยู่ เจ้าคงมองออกแล้วกระมัง?”

ฉางมิ่งส่ายหน้า “ไม่เคยมองออก”

หยางเหล่าโถวเปลี่ยนกระบอกยาสูบอันใหม่ ก่อนจะบรรจุยาสูบลงไปก็เคาะกระบอกกับขั้นบันไดเบาๆ ก่อน “อาณาเขตสู่โบราณ มีเรื่องราวของผู้คนที่อัศจรรย์พันลึกมากมาย การสืบทอดบนร่างของสือโหรวเป็นเพียงแค่หนึ่งในนั้นเท่านั้น แรกเริ่มยังเห็นได้ไม่ชัดเจน แต่พอทิ้งเอาไว้นานเข้ากลับเหมือนหิดที่ผุดขึ้นมาหลังน้ำลด”

ฉางมิ่งมีความสนใจต่อแจกันสมบัติทวีปอย่างมาก บนภูเขาลั่วพั่วเองก็มีตำราเก็บสะสมไว้ค่อนข้างสมบูรณ์ นางมักจะไปเปิดอ่านบ่อยๆ จึงเคยเจอหนังสือที่กล่าวถึงแปดร้อยเซียนของสู่โบราณอยู่เล่มหนึ่ง

ผู้เฒ่าเปิดเผยความลับสวรรค์ต่ออีกครั้ง “นางมีความเกี่ยวข้องกับเจ้าลัทธิสามของป๋ายอวี้จิง เส้นใยเชื่อมโยงถึงกัน ส่วนเมื่อไหร่ถึงจะขยับดอกบัวดึงมาพร้อมราก ก็ต้องดูที่อารมณ์ของอีกฝ่าย ดูว่าในอนาคตจะกลับคืนไปยังบ้านเกิดที่แท้จริงเพื่อพบศิษย์พี่ของเขาหรือไม่”

ฉางมิ่งเพียงแค่รับฟังแล้วจดจำไว้ในใจเงียบๆ

อยู่ดีๆ หยางเหล่าโถวก็เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาว่า “แมวป่าเดินผ่านตอนกลางคืนทิ้งกลิ่นคาวไปทั่วทุกที่”

‘สหายยามเยาว์วัย’ ของหม่าขู่เสวียนตัวนั้น แน่นอนว่าประวัติความเป็นมาต้องใหญ่กว่าแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งเมล็ดพันธ์เต๋าน้อยนิดของสือโหรวอยู่มาก

หยางเหล่าโถวชี้ไปที่ม้านั่งยาวเบื้องใต้ชายคาฝั่งตรงข้าม “นั่งเถอะ คุยเล่นกันสักสองสามประโยค”

ฉางมิ่งนั่งลงตามคำสั่ง

หยางเหล่าโถวเงียบไปนาน กว่าจะเอ่ยเนิบช้าว่า “เป็นแค่สถานที่ใหญ่เท่าฝ่ามือ ใต้หล้านี้ไม่มีสถานที่ใดที่สามารถทำให้คนต่างถิ่นตกใจกลัวได้เท่าที่นี่อีกแล้ว”

หกสิบปีที่ผ่านมา

ชุยฉาน ฉีจิ้งชุน ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่กลับกลายเป็นศัตรูให้คนใต้หล้าดูคู่นี้ ชุยฉานทำตัวนอกรีตนอกรอยเป็นความจริง แต่เรื่องหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนนั้นก็ช่างเถิด

ซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่ง จวินเชี่ยนหลิวสือลิ่ว บวกกับเฉินผิงอัน ถ้าอย่างนั้นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสายเหวินเซิ่งก็ขาดแค่จั่วโย่วคนเดียวเท่านั้นที่ไม่เคยมาปรากฏตัวที่นี่

ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์ ป๋ายเหย่

ลู่เฉินเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงเคยมาตั้งแผงดูดวงที่นี่ แล้วก็มีโจวจื่อแห่งสำนักหยินหยางที่เคยมาวางแผงขายถังหูลู่ที่นี่

เทียนจวินเซี่ยสือ

หร่วนฉง หร่วนซิ่ว หลี่เอ้อ หลี่หลิ่ว บิดากับบุตรสาวสองคู่

เฉาซี เฉาจวิ้น ปู่หลานคู่หนึ่งของตรอกหนีผิง

‘นักพรตตาบอดเจี่ยเฉิง’ เจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว ก็คืออาจารย์และศิษย์อีกคู่

หลี่ซีเซิ่งหนึ่งในร่างแยกของเต๋าเหล่าต้า

ซ่งจ่างจิ้งที่เป็นมังกรขาวสวมชุดปลา (เปรียบเปรยว่าผู้สูงศักดิ์ที่ปลอมตัวออกมาด้านนอก/คนที่ปลอมตัวปิดบังสถานะที่แท้จริง) ในอดีต

สวี่รั่วแห่งสำนักโม่

อาเหลียงที่ขาดอีกแค่ไม่กี่ก้าวก็จะได้เดินเข้ามาในเมืองเล็ก

จื้อกุยสาวใช้ตรอกหนีผิงที่คล้ายกับว่าเจาะกำแพงขโมยแสงไฟ

เว่ยป้อซานจวินห้าขอบเขตบนคนแรกในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีป

ผู้ฝึกกระบี่เจียงซ่างเจิน หมี่อวี้ ลี่ไฉ่…

แน่นอนว่าคนสุดท้ายยังมีกระบี่โบราณที่ห้อยแขวนอยู่ใต้สะพาน

สำหรับผู้ฝึกตนบนภูเขาแล้ว เวลาสั้นๆ เพียงแค่หกสิบปีจะนับเป็นอะไรได้

ดังนั้นขอแค่โชคร้ายสักหน่อย ไม่ว่าใครก็ตามที่มาที่นี่ ต่อให้เจ้าจะขอบเขตสูงแค่ไหน หากใจกล้าเกินควร ก็เท่ากับว่าเอาชีวิตมาแขวนอยู่บนเส้นด้าย

ต่อให้จะได้ลำพองใจในช่วงเวลาหนึ่ง มาผูกปมแค้นกับคนอื่นอยู่ที่นี่ ยังไม่มีอันตรายถึงแก่ชีวิตชั่วคราวก็จริง แต่ก็ต้องทอดสายตามองไปให้ไกลหน่อย ระมัดระวังสักหน่อย เพราะถึงอย่างไรคนหนุ่มสาวของถ้ำสวรรค์หลีจู โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรุ่นเฉินผิงอัน หม่าขู่เสวียนนี้ มีหลายคนที่เดินออกไปแล้วได้ดิบได้ดีไม่น้อย

หยางเหล่าโถวหัวเราะอย่างที่ไม่ค่อยเป็นบ่อยนัก “บทนำเช่นนี้ช่างเป็นบทที่ทรงพลังเสียจริง”

ฉางมิ่งตั้งใจรวบรวมฟังสมาธิ เอาแต่ฟังไม่พูดอยู่ตลอดเวลา

จากนั้นนางก็หันหน้าไปมอง

มีคนหนุ่มลัทธิขงจื๊อท่าทางเหนื่อยล้าจากการเดินทาง สะพายหีบไม้ไผ่ ในมือถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียวคนหนึ่งพลันใช้มือข้างหนึ่งเลิกผ้าม่านออก จึงได้เห็นรอยยิ้มของหยางเหล่าโถวที่หาได้ยากพอดี เขาพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังทันที “ตาเฒ่า ดูเจ้าอารมณ์ดีเข้าสิ เซ่อซ่าเสียจริง ทำไม? หาเมียได้แล้วหรือ?! แก่แล้วแต่ยังปึ๋งปั๋ง ใช้ได้เลยนี่นา!”

ฉางมิ่งตะลึงงัน

คนหนุ่มผู้นั้นไม่รู้ว่าฉางมิ่งเป็นใคร จึงได้แต่กุมหมัดคลี่ยิ้มให้อีกฝ่าย จากนั้นก็วิ่งตุปัดตุเป๋ไปนั่งยองอยู่ด้านหลังหยางเหล่าโถว เอาแขนข้างหนึ่งรัดคอผู้เฒ่า “คิดถึงข้าหรือไม่ คิดถึงข้าหรือไม่?!”

เขากลับไม่ได้รู้สึกว่าหยางเหล่าโถวจะมีปัญญาหาภรรยาได้เหมือนพี่สาวคนงามที่รูปโฉมเหมือนบุปผาเหมือนหยกผู้นี้

ฉางมิ่งอึ้งค้างอยู่นาน แต่จากนั้นก็คลี่ยิ้มหวาน

นางรู้แล้ว ก็คือหลี่ไหวที่ได้ยินชื่อเสียงอันเลื่องลือมานานแต่ไม่เคยได้เจอตัวจริง ตอนเด็กสนิทสนมกับนายท่านอย่างมาก

หยางเหล่าโถวปล่อยให้หลี่ไหวก่อกวนไป เพียงแค่เอ่ยว่า “ยังตัดใจกลับมาได้นะ”

หลี่ไหวปล่อยมือ นั่งแปะลงด้านข้าง ทุบขาเบาๆ พลางพูดบ่น “ครั้งนี้เอาแต่เดิน เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ก้นไม่มีลาภได้นั่งสักที”

หยางเหล่าโถวหัวเราะหึหึ

ฉางมิ่งขอตัวลากลับไป

หยางเหล่าโถวแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

หลี่ไหวปลดหีบหนังสือวางลงด้านข้าง ทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง พูดด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า “ตาเฒ่าหยาง เจ้าบอกหน่อยสิว่าเหตุใดอยู่ดีๆ โลกถึงได้วุ่นวายขนาดนี้”

หยางเหล่าโถวกล่าว “ก็ยังดีกระมัง”

หลี่ไหวถาม “ไม่เกี่ยวกับเจ้าใช่ไหม?”

หยางเหล่าโถวเงียบไม่ตอบ เริ่มพ่นควันขโมงลอยอบอวล

หลี่ไหวลุกขึ้นนั่ง “เจ้าช่วยให้คำตอบตรงๆ หน่อยเถอะ คิดว่าตัวเองเป็นยอดฝีมือนอกโลกหรือไร? แขนขาเหี่ยวๆ เรี่ยวแรงไม่ค่อยจะมี อย่าได้อวดเก่งดีกว่านะ”

หยางเหล่าโถวเอ่ย “ไม่ได้เกี่ยวอะไรมากนัก”

หลี่ไหวผ่อนลมหายใจโล่งอก ยิ้มหน้าทะเล้น “ก่อนหน้านี้เห็นเจ้าหัวเราะร่วน ไม่เหมือนคนจริงจังสักนิด มีเรื่องดีๆ อะไรหรือ? หาเมียได้แล้วจริงๆ หรือไร? คงไม่ใช่หรอกกระมัง”

หยางเหล่าโถวไม่พูดตอบ

หลี่ไหวทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง หากได้นอนเขาก็ไม่อยากนั่งแล้วจริงๆ พอนั่งแล้วก็ไม่อยากยืนอีก เอาเป็นว่าเขาก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ชินกับการอยู่แบบไม่สูงไม่ต่ำ ไม่ว่าใครกับใครก็สู้ไม่ได้ สู้สหายข้างกายไม่ได้ อันที่จริงหลี่ไหวไม่เคยคิดมาก แต่พอออกจากบ้านเดินทางไกลมักจะต้องเจอเรื่องบางอย่างที่ไม่อาจทำให้คนสบายอกสบายใจอยู่เสมอ

แต่ท่านแม่มักจะชอบพูดว่าเขาเป็นคนที่ได้เกิดมาเสวยสุข สาเหตุก็เพราะพี่สาวของเขาหน้าตานับว่างามหมดจดอยู่บ้าง วันหน้าหาพี่เขยที่ยินดีช่วยเหลือน้องภรรยา จะไม่เรียกว่านอนเสวยสุขได้อย่างไร

เพียงแต่พอหลี่ไหวคิดถึงพี่สาวหลี่หลิ่วก็ให้กลัดกลุ้ม เป็นแม่นางอายุไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ยังไม่มีที่พักพิงดีๆ เลย ดูสิ พอพลาดเฉินผิงอันพี่น้องคนดีที่ตัดหัวไก่เผากระดาษเหลืองของข้าไปก็แต่งไม่ออกแล้วเห็นไหม? ท่านพ่อท่านแม่หมายความว่าอย่างไร โดยเฉพาะท่านแม่ ท่านพี่ท่านไม่เข้าใจจริงๆ หรือแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจกันแน่? ด้วยนิสัยของท่านแม่พวกเรา จะตัดใจยกห้องที่เตรียมไว้ให้บุตรชายให้คนนอกมาพักได้หรือ?

ดูเหมือนหยางเหล่าโถวจะล่วงรู้ความคิดของหลี่ไหว จึงเอ่ยว่า “พี่สาวเจ้าไม่ได้ชอบเฉินผิงอันสักหน่อย แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน หลักการเล็กน้อยแค่นี้ยังไม่เข้าใจ หลายปีมานี้มัวอ่านตำราอะไรอยู่”

หลี่ไหวเหลือกตามองบน “พูดอะไรเลื่อนเปื้อน หาเมียให้ได้ก่อนเถอะค่อยมาคุยเรื่องความรักชายหญิงกับข้า”

หลี่ไหวลุกขึ้นนั่ง เปิดหีบไม้ไผ่ออก บ่นพึมพำว่าตัวเองต้องจ่ายเงินไปมากแค่ไหน เดินทางไปท่องเที่ยวที่อุตรกุรุทวีปครั้งนี้ไม่เคยจ่ายเงินเลยสักแดง แต่พอตอนสุดท้ายกลับดีนัก ตบะแตกเสียได้

ผู้เฒ่าฟังไปด้วยรอยยิ้ม

……

หลิวเสี้ยนหยางจอมเกียจคร้านมาเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่วอย่างหาได้ยาก

เขาไม่ได้มาบ่อยๆ

เพราะร้านตีเหล็กที่อยู่ติดลำคลองร้านนั้นไม่ได้อยู่ใกล้กับภูเขาลูกนี้เลย

หลิวเสี้ยนหยางขี้เกียจจนถึงขั้นไม่ไปเยือนหอบินทะยานอะไรนั่นด้วยซ้ำ

ถึงอย่างไรก็ใช่ว่าจะไม่เคยไปเยือนในความฝันเสียหน่อย แถมยังไปมาหลายครั้งแล้วด้วย

คนทั่วไป อย่ามาพูดเรื่องใจหายใจคว่ำอะไรกับข้าหลิวเสี้ยนหยางเลย

มองเห็นโจวหมี่ลี่ที่นั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็กสัปหงกราวไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก หลิวเสี้ยนหยางก็กระแอมเบาๆ หนึ่งที

โจวหมี่ลี่สะดุ้งโหยง ตายังปรือด้วยความง่วง นางขยี้ตา รีบนั่งตัวตรงทันใด หัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “หลิวสัปหงกมาแล้วหรือ”

หลิวเสี้ยนหยางที่ได้ฉายาหลิวสัปหงกจากหมี่ลี่น้อยมานานแล้วพยักหน้ารับก่อน จากนั้นก็นั่งลงด้านข้าง ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “หมี่ลี่น้อย ในฐานะผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา ทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาลน้อยแบบนี้จะลดสถานะตัวเองเกินไปหน่อยนะ”

โจวหมี่ลี่กล่าวอย่างระอาใจ “ช่วยไม่ได้นี่นา ท่านอาต้าเฟิงออกเดินทางไกลไปแล้ว หยวนไหลก็ลงจากภูเขาไปพร้อมกับพี่สาวเขา พี่หญิงหน่วนซู่ยุ่งอยู่ทุกวันขนาดนั้น ส่วนข้ากลับว่างงานขนาดนี้”

จากนั้นแม่นางน้อยก็พูดกระซิบว่า “พอเผยเฉียนกลับมาก็จะได้เห็นข้านั่งเฝ้าประตูใหญ่ ความดีความชอบนี้ต้องได้บันทึกบนสมุดหนักๆ อย่างแน่นอน ไม่หนีไปไหนแน่!”

แม่นางน้อยพลันยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา จากนั้นกำเป็นหมัด “ต่อให้มีขาวิ่งหนีไปได้ก็ไม่กลัว ข้าสามารถคว้าจับมันกลับมาได้ทันที ก็เหมือน…ก็เหมือนเวลาที่เผยเฉียนกดหัวของผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายตรอกฉีหลงอย่างไรล่ะ!”

หลิวเสี้ยนหยางยกสองแขนกอดอก

โจวหมี่ลี่เอ่ย “ทำไม คิดถึงเจ้าขุนเขาคนดีแล้วหรือ?”

คิดสิ คิดสิ พวกเราจะได้คิดไปด้วยกันพอดี

คาดไม่ถึงว่าหลิวเสี้ยนหยางจะส่ายหน้ายิ้มๆ “คิดถึงเขากะผายลมอะไร แค่คิดก็หงุดหงิดแล้ว”

แม่นางน้อยที่เพิ่งจะหยิบเมล็ดแตงหนึ่งกำมือเตรียมมารับรองหลิวสัปหงกวางเมล็ดแตงกลับไปในชายแขนเสื้อเงียบๆ

พูดจาแบบนี้ได้ยังไง คิดถึงกะผายลม? ถ้าอย่างนั้นก็กินผายลมไปแล้วกัน

หมี่ลี่น้อยโคลงศีรษะเบาๆ

หลิวเสี้ยนหยางกลั้นขำ เอ่ยว่า “เมื่อก่อนเจ้าขุนเขาคนดีของเจ้าชอบเป็นแมลงตามก้นข้าต้อยๆ พวกเราไปที่ลำธารด้วยกัน หาจุดที่ผิวน้ำแคบ ข้ากระโดดก่อน เขากระโดดตาม ฟิ้วทีเดียว กระโดดไปถึงฝั่งตรงข้าม ตูมหนึ่งที หล่นลงไปในน้ำ ข้าก็จะคอยหัวเราะเขาอยู่ฝั่งตรงข้าม”

แม่นางน้อยเบิกตากว้าง ส่ายหน้าแรงๆ “หลิวสัปหงก เจ้าขี้โม้จริงๆ เจ้าขุนเขาคนดีร้ายกาจ ร้ายกาจจะตายไป”

เว้นเสียแต่ว่าท่องกลอนไม่เป็น

อีกอย่างนะ หากเจ้าขุนเขาคนดีเป็นแมลงตามก้นหลิวสัปหงกจริง ถ้าอย่างนั้นตนกับเผยเฉียนจะนับกันอย่างไร ลำดับศักดิ์จะไม่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินแย่หรอกหรือ

หลิวเสี้ยนหยางห่อไหล่ ยิ้มเอ่ย “หมี่ลี่น้อยอ่าหมี่ลี่น้อย”

แม่นางน้อยหัวเราะคิกคัก “หลิวสัปหงกอ่าหลิวสัปหงก”

หลิวเสี้ยนหยางมองไปยังทิศไกล มองแสงจันทร์ที่ส่องกระจ่างแล้วเอ่ยหยอกเย้าว่า “ต้องรีบหาภรรยาซะแล้ว จากนั้นก็ให้กำเนิดบุตรสาวน่ารักๆ เหมือนหมี่ลี่น้อยสักคน!”

โจวหมี่ลี่โยกศีรษะน้อยๆ เป็นวงกลมอย่างครุ่นคิด “โดยทั่วไปแล้วยากมากๆ ยากมากๆ เลยนะ แทะเมล็ดแตงกลับไม่ยาก ไม่ยาก”

หลิวเสี้ยนหยางพึมพำ “ศาลาสั้นแล้วศาลายาว ศาลายาวยิ่งศาลาสั้น ศาลาศาลาซ้ำศาลาศาลา หนทางกลับคืนเดินไม่สุดสิ้น”

โจวหมี่ลี่ดวงตาเป็นประกายลุกวาว “หลิวสัปหงก เจ้าท่องกลอนได้ด้วยหรือ ขอให้ข้ายืมใช้สักสองสามวันได้ไหม? วันหน้าข้าจะได้เอาไปอวดกับเผยเฉียน อวดเสร็จแล้วข้าต้องคืนให้เจ้าแน่นอน”

หลิวเสี้ยนหยางยิ้มบางๆ “ได้แน่นอนอยู่แล้ว”

จากนั้นหนึ่งคนโตหนึ่งเด็กก็มองพระจันทร์กลมโตไปด้วยกัน ต่างคนต่างคิดถึงคนที่อยู่ห่างไกล

ภาคกลางของทวีปเกราะทอง

เผยเฉียนอยู่บนสนามรบที่จุดจบน่าสังเวชอย่างถึงที่สุด นางเก็บเด็กน้อยที่ใบหน้าเปรอะไปด้วยดินโคลนมาได้คนหนึ่ง

นี่คือกองทัพชายแดนชั้นยอดกองสุดท้ายของราชวงศ์ใหญ่แห่งหนึ่งที่เหลืออยู่แล้ว คนหกแสนคนกลับตายไปสิ้นเพียงแค่การต่อสู้ครั้งเดียวนี้

ตอนนั้นทั้งสองพบเจอกันเป็นครั้งแรก เด็กน้อยนอนคว่ำอยู่บนพื้น ตอนแรกมองเห็นรองเท้าหุ้มข้อที่ขาดวิ่นก่อน รองเท้าที่อาบย้อมไปด้วยเลือดสดมาหยุดอยู่ห่างจากตัวเด็กน้อยไปไม่ไกล

เผยเฉียนยื่นมือออกไป หมายจะดึงเด็กน้อยออกมาจากกองคนตาย เด็กคนนั้นนั่งนิ่งไม่ขยับอยู่บนพื้น เพียงแค่จ้องหญิงสาวที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยเลือด ผิวหน้าปริแตก กระดูกโหนกแก้มโผล่ให้เห็นเขม็ง

สายตาของเขาทึ่มทื่อไร้ชีวิตชีวา