จั่วโย่วมายังสถานที่ท่องเที่ยวมีชื่อเสียงที่น้ำใสภูเขาสวยแห่งหนึ่ง มือหนึ่งถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียวเดินขึ้นเขาไป
วัดตั้งอยู่ตรงตีนเขา อารามเต๋าตั้งอยู่บนยอดเขา สำนักศึกษาอยู่กึ่งกลางภูเขา ต่อให้ไม่ใช่ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่อยู่ในใต้หล้าไพศาล ส่วนใหญ่แล้วก็ยังคงเป็นเช่นนี้
ตอนนี้จั่วโย่วอยู่ในต่างบ้านต่างเมืองแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าพื้นที่มงคลอวี่ฮว่า เพราะอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ ไม่ยินดีแล้วก็ไม่สะดวกที่จะเคลื่อนย้ายร่างจริง จึงได้แต่ปล่อยจิตหยินออกมาท่องเที่ยว อาศัยโอกาสนี้ถือโอกาสเที่ยวชมทัศนียภาพในใต้หล้าไปด้วย
สถานที่ที่จั่วโย่วมาท่องเที่ยวในครานี้ ในพื้นที่มงคลแห่งนี้ถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งการฝึกตน ถูกขนานนามให้เป็นจวนเซียนในโลกมนุษย์ เป็นสถานที่ที่ผู้เก็บตัวสันโดษต้องผ่านทางมายามไปเยี่ยมเยือนเซียน แล้วก็เป็นสถานที่อันดับต้นๆ ที่เหล่าชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาบนโลกจะเลือกมาจุดธูปยามท่องเที่ยว
เล่าลือกันว่าในยุคสมัยโบราณที่แห่งนี้มีเจินเหรินอยู่มากมาย ฝึกวิชาคาถาเซียนอยู่ในภูเขา ดังนั้นจึงมีตำหนักสนมรกตที่ฮ่องเต้บัญชาให้สร้างขึ้นบนยอดเขา ภายหลังมีเจินเหรินมาพิสูจน์มรรคาที่นี่จริงๆ ต้นสนโบราณที่เขาขี่อยู่กลายเป็นมังกรเขียวตัวหนึ่งที่บินทะยานกลายเป็นเซียน นี่เป็นเรื่องที่คนทั้งใต้หล้าล้วนรับรู้ จักรพรรดิในยุคสมัยนั้นเห็นนิมิตหมายมงคลแห่งฟ้าดินที่ไม่เคยมีปรากฎมาก่อนในอดีต และไม่เคยมีบันทึกในประวัติศาสตร์ จึงรีบถือโอกาสอิงตามบัญชาสวรรค์เปลี่ยนชื่อปีรัชศก ในปีแรกของรัชศกเสียงอวิ๋น (เมฆมงคล) ก็ได้สร้างอารามเป่าจีขึ้นเพื่อใช้บูชาเทพเซียนลัทธิเต๋าที่ ‘อวี่ฮว่ากลายเป็นเซียน’ (อวี่ฮว่าหมายถึงเซียนที่สามารถบินทะยานขึ้นฟ้าได้ จึงเรียกคนที่กลายเป็นเซียนว่าฮวี่ฮว่า) ท่านนั้น ร้อยกว่าปีให้หลัง ราชวงศ์ผลัดเปลี่ยน ควันธูปของอารามจึงบางเบา ครั้งสุดท้ายที่ ‘เซียนเหริน’ ท่านนั้นกลับคืนมายังโลกมนุษย์มีหลักฐานให้สืบเสาะได้ ก็คือครั้งที่เขาโคจรวิชาอภินิหารอันเลิศล้ำ งมเอาอารามเป่าจีที่ไม่รู้ว่าจมไปอยู่ใต้น้ำได้อย่างไรขึ้นมาแล้วย้ายขึ้นไปไว้บนยอดเขาอีกครั้ง
ฮ่องเต้แต่ละยุคสมัยของราชวงศ์ใหม่รีบอวยยศเสริมบรรดาศักดิ์ให้กับบรรพจารย์อารามเป่าจีอย่างต่อเนื่อง เจินเหริน เจินจวิน เทียนจวิน เดินขึ้นฟ้าไปทีละก้าว ทั้งยังพระราชทานกรอบป้าย มอบตำราเต๋าไปให้แก่ทางอารามหลวงครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นเหตุให้ควันธูปของสถานที่แห่งนี้โชติช่วงสืบเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้
คนยุคหลังพากันพูดไปหลากหลาย แต่ต่างก็มั่นใจว่าเจินเหรินผู้นี้ หลังจากบินทะยานไปแล้วไม่เพียงแต่ได้รับการจัดอันดับของเซียน ยังได้รับพระราชทานบทคำทำเนียบเขียวที่ระดับขั้นสูงมากจากฮ่องเต้สวรรค์ ตำแหน่งขุนนางคล้ายคลึงกับเจ้ากรมทั้งหกในโลกมนุษย์ เป็นเหตุให้ไม่ว่าไปที่ใด ไม่ว่าจะเป็นเทพแห่งป่าเขาลำเนาไพรหรือเซียนที่เก็บตัวสันโดษซึ่งอยู่บนมหาสมุทรต่างก็ให้การต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี
แน่นอนว่าจั่วโย่วย่อมต้องรู้ว่าเรื่องเล่าลือที่แปะทองลงบนหน้าตัวเองเหล่านี้ของพื้นที่มงคลเป็นเพียงแค่การเล่าลือกันปากต่อปากเท่านั้น ผู้ฝึกตนเฒ่าที่ถูกมองว่าเป็น ‘เซียนผู้บรรลุมรรคา’ แท้จริงแล้วทำหน้าที่เป็นผู้ถวายงานในศาลบรรพจารย์ของสำนักแห่งหนึ่งในใบถงทวีปเท่านั้น ผลสำเร็จในที่ท้ายที่สุดคือคอขวดก่อกำเนิด ยังไม่อาจฝ่าทะลุขอบเขตต่ออายุขัยให้ยืนยาว กายและจิตจึงผ่ายผอมแห้งเหี่ยวลงไปทุกวัน จากนั้นก็ได้เจอกับการบุกรุกเข้ามาอย่างกำเริบเสิบสานของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ฝึกตนเฒ่าเองเห็นว่าอายุขัยของตนใกล้สิ้นสุด มีชีวิตรอดอยู่ไปได้อีกแค่ไม่กี่ปีก็ไร้ความหมาย หรือจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ผู้ฝึกตนเฒ่าก็เลือกที่จะไปรบตายอยู่ในสนามรบของใบถงทวีปที่เผ่าปีศาจกรูกันขึ้นมาบนบก ส่วนพื้นที่มงคลอวี่ฮว่าแห่งนี้ก็ไม่อาจรอดพ้นหายนะ ตกไปอยู่ในน้ำมือของกระโจมทัพแห่งหนึ่ง
เดิมทีพื้นที่มงคลควรมอบให้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักหนึ่งพกติดตัวไปยังแจกันสมบัติทวีป แล้วส่งต่อให้กับนครมังกรเฒ่า เพื่อจะได้ช่วยให้ผู้ฝึกตนในสำนักแลกเปลี่ยนพื้นที่ฝึกตนแห่งหนึ่งมาจากราชวงศ์ต้าหลี
พื้นที่มงคลอวี่ฮว่าอาณาบริเวณกว้างขวางแต่ผู้คนบางตา เพราะปราณวิญญาณบางเบา บวกกับที่ ‘เทพยดา’ สำนักที่ได้ครอบครองพื้นที่มงคลไม่ยินดีจะทุ่มเงิน เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนในประวัติศาสตร์ที่พอจะถือว่าเป็นโล้เป็นพายมีเพียงหร็อมแหร็ม สำหรับสำนักตระกูลเซียนแห่งหนึ่งของใบถงทวีปแล้ว ที่นี่เป็นเพียงแค่พื้นที่มงคลระดับล่างซึ่งเหมือนซี่โครงไก่อย่างมากจริงๆ โปรยเงินก้อนใหญ่สาดเข้าไปในพื้นที่มงคล หากถ่วงเวลาการฝึกตนของผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาบ้านตัวเอง ถึงอย่างไรก็ได้ไม่คุ้มเสีย แล้วนับประสาอะไรกับที่เจ้าสำนักท่านหนึ่ง ต่อให้จะเป็นขอบเขตหยกดิบแล้ว ขอแค่ไม่สามารถเลื่อนเป็นเซียนเหรินได้ อายุขัยก็ย่อมมีจำกัด ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมองขุนเขาสายน้ำในระยะใกล้ ไม่กล้าพูดว่าพันปีให้หลังพื้นที่มงคลจะเป็นอย่างไร ส่วนผู้เฒ่า ผู้ถวายงานและผู้สืบทอดคนอื่นๆ ในศาลบรรพจารย์ ขอบเขตต่ำยิ่งกว่า มรรคกถาก็ตื้นเขินยิ่งกว่า ดังนั้นมีแต่จะยิ่งมองในมุมที่แคบกว่า ไม่แน่เสมอไปว่าจะมองไม่เห็นผลประโยชน์ในระยะยาวจากการที่พื้นที่มงคลเลื่อนขั้นจริงๆ เพียงแต่ว่าพันปีให้หลัง มันจะมีประโยชน์ต่อมหามรรคาของข้าหรือ?
ทว่าสำหรับสกุลซ่งต้าหลีแล้ว มันกลับสามารถใช้แก้ปัญหาฉุกเฉินที่เป็นดั่งไฟลามขนคิ้วได้ส่วนหนึ่งจริงๆ นำมาบรรจุชาวบ้านของแคว้นใต้อาณัติทางทิศใต้สุดให้ย้ายเข้าไปอยู่ในนั้น ถือเป็นทางลัดที่กระชับสั้นที่สุด ระดับขั้นของพื้นที่มงคลอวี่ฮว่าต่ำเกินไปกลับกลายเป็นเรื่องดี เพราะภัยแฝงจะเล็กน้อยมาก เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างบนภูเขาและล่างภูเขา ระหว่างผู้ฝึกตนและคนธรรมดาล้วนสามารถมองข้ามไม่ต้องไปคิดได้เลย แค่นำชาวบ้านที่ประสบภัยเข้าไปพักอาศัย แทบไม่ต้องใช้ต้นทุนใดๆ
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดสุดท้ายแล้วพื้นที่มงคลถึงตกมาอยู่ในมือของกระโจมทัพเผ่าปีศาจ จั่วโย่วไม่ค่อยสนใจเท่าใดนัก คนโลภมากก็ดี เรื่องราวไม่เป็นดั่งใจหวังก็ช่าง ถึงอย่างไรเขาจั่วโย่วก็ถูกกักขังอยู่ที่นี่แล้ว
สำหรับบุรุษลักษณะเหมือนลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่สวมชุดเขียวถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียวผู้นี้ เหล่าผู้มีจิตศรัทธาที่เดินผ่านไปผ่านมาไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก เพราะถึงอย่างไรก็พบเห็นได้บ่อย
จั่วโย่วหยุดเดินอยู่ตรงกึ่งกลางภูเขาที่มีร้านค้าแผงลอยรวมตัวกันอยู่มากมาย หนึ่งในนั้นมีร้านที่เขียนป้ายคำว่า ‘จุดสุดท้ายที่ดื่มเหล้าได้ รีบดื่มให้เต็มอิ่ม’
เป็นการเตือนพวกคนบนโลกที่มาจุดธูปไหว้พระว่าต้องมีความจริงใจ คนที่ติดเหล้าก็รีบดื่มเหล้าดับกระหายตั้งแต่ตรงนี้ซะ ไม่อย่างนั้นหากเดินขึ้นเขาไปแล้วค่อยดื่ม ทั่วร่างมีแต่กลิ่นเหล้าโชยคลุ้ง หากเทพเซียนที่ลืมตามองดูอยู่เห็นเข้า ย่อมง่ายที่จะทำให้พวกเขาไม่สบอารมณ์ การขอพรก็จะไม่ศักดิ์สิทธิ์เห็นผลอีก
เส้นทางแห่งเทพที่มีให้สำหรับคนขึ้นเขาไปจุดธูป นอกจากพวกผู้มีจิตศรัทธาที่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจแล้ว ยังมีพ่อค้าหาบเร่อีกมากมายที่หาเงินจากการใช้แรงงานอันเหน็ดเหนื่อย บ้างก็ช่วยขนสัมภาระให้กับผู้แสวงบุญ บ้างก็ช่วยแบกหินขึ้นเขาให้กับพวกคนที่มาทำบุญ เพื่อที่จะให้อารามบนยอดเขามีก้อนหินสะสมไว้มากพอสำหรับการสร้างจวนแห่งใหม่ อย่างแรกได้เงินน้อย อย่างหลังได้เงินมาก เพียงแต่ว่าเงินที่ได้มาด้วยความยากลำบากนี้ทำให้คนเหน็ดเหนื่อยอย่างแท้จริง ดังนั้นผู้มีจิตศรัทธาที่ทางบ้านพอจะมีฐานะสักหน่อยก็มักจะให้คนแบกหามมาหยุดพักเท้าที่นี่ เลี้ยงเหล้าพวกเขาหนึ่งชาม ช่วยเพิ่มพละกำลังกายและแรงใจให้กับพวกเขา
จั่วโย่วควักเงินออกมาซื้อเหล้าขาวหนึ่งชาม ลูกค้าในร้านมีค่อนข้างเยอะ ต่างก็จับจองกันไปแล้วหลายโต๊ะ จั่วโย่วไม่ยินดีจะนั่งร่วมโต๊ะกับคนอื่น จึงเดินห่างออกมาไกลเล็กน้อย
เจ้าของร้านเห็นว่าลูกค้าจะเดินเอาเหล้าไปดื่มไกลๆ จึงรีบตะเบ็งเสียง บอกเขาว่าให้จ่ายเงินมัดจำก้อนหนึ่งก่อน ไม่อย่างนั้นห้ามเอาไปดื่มไกลเกินไปนัก
หากเจอกับนักดื่มที่ไร้จิตสำนึก พอดื่มเสร็จแล้วส่วนใหญ่ก็มักจะโยนทิ้งไปนอกหน้าผา พวกเจ้าประหยัดแรงกายแรงใจแล้วยังได้มาดองอาจ แต่ร้านของพวกข้าเป็นการค้าต้นทุนเล็กๆ ใครจะเป็นคนชดใช้เงินค่าเสียหายให้เล่า?
จั่วโย่วจึงได้แต่เดินถือชามเหล้าย้อนกลับมา จ่ายเงินสองสามอีแปะไปให้กับทางร้านก่อน แล้วถึงได้เดินไปตรงราวรั้วริมหน้าผา ทอดสายตามองขุนเขาสายน้ำทิศไกล ขุนเขาสายน้ำคดเคี้ยวขึ้นๆ ลงๆ ดุจสวนที่ถูกจัดในกระถาง
ก่อนหน้านี้โซ่วเฉินมา ‘ถามกระบี่’ แก่สำนักใบถง เป็นฝ่ายเสนออนาคตที่ดีงามยาวไกลให้แก่สำนักใบถง ไม่ว่าเผ่าปีศาจมีเจตนาอย่างไร แต่ก็เห็นได้ชัดว่าต้องการทำให้สำนักใบถงเปลี่ยนจากเจอหายนะใหญ่ไปเป็นโชคดี เพราะถึงอย่างไรบัณฑิตที่ใช้นามแฝงว่าโจวมี่ผู้นั้นก็ปรากฏตัวแล้ว ในฐานะปีศาจใหญ่บนบัลลังก์อันดับสองของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง คำสัตย์และคำสัญญาของเขาล้วนสามารถเชื่อถือได้
ต้องรู้ว่าทางทิศใต้สุดของใบถงทวีป การประชุมในศาลบรรพจารย์ของสำนักกุยหยกที่ไม่มีเจ้าสำนักเข้าร่วมครั้งนั้น ได้ปฏิเสธข้อเสนอของสตรีหน้ากลมสวมชุดผ้าฝ้ายไป ไม่ได้มอบพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาที่อยู่ในมือของสกุลเจียงออกไปให้ เป็นเหตุให้กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจโจมตีไม่หยุดยั้ง ทั้งยังไม่มีการออมแรงอีกต่อไป
บรรพจารย์ผู้คุมกฎนิสัยเจ้าอารมณ์ของสำนักกุยหยกผู้นั้นทางหนึ่งก็ด่าเจียงซ่างเจินว่าเป็นดาวหายนะ ทางหนึ่งก็สังหารผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจไปด้วย
หากวันใดข้าผู้อาวุโสตายไป แล้วสำนักกุยหยกและพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาต่างก็โชคดียังมีชีวิตอยู่รอด ก็ให้เจียงซ่างเจินมาโขกหัวขอบคุณต่อหน้าหลุมศพข้า ต้องพูดเสียงดังๆ ด้วย ไม่อย่างนั้นไม่ได้ยิน
คาดว่านี่ก็คงเป็นดั่งคำว่าลมและน้ำหมุนเวียนเปลี่ยนทิศกระมัง ชอบดูเรื่องตลก ก็ง่ายที่จะกลายไปเป็นตัวตลก
สำนักกุยหยกมองดูเรื่องตลกของสำนักใบถงมานานหลายปี ดูเหมือนว่าเวลานี้ก็ถึงคราวที่ผู้ฝึกตนของสำนักใบถงได้ดูเรื่องตลกของสำนักกุยหยกบ้างแล้ว และโอกาสนี้ก็ใกล้เพียงเอื้อมมือคว้า แค่พยักหน้าก็ได้มาครองแล้ว
ขอแค่ศาลบรรพจารย์สำนักใบถงคว้าจับโอกาสครั้งนี้ไว้ ไม่แน่ว่าวันหน้าอาจจะสามารถฮุบกลืนสำนักกุยหยกไปได้โดยตรง ทำให้ศัตรูคู่อาฆาตกลายเป็นสำนักเบื้องล่างใต้อาณัติก็ยังไม่ใช่ความเพ้อฝันอะไร
แต่ผู้ฝึกตนของสำนักกุยหยก แม้จิตใจคนใกล้จะแหลกสลายแต่ก็ยังไม่แหลกเต็มที เพราะจำนวนคนในศาลบรรพจารย์ที่ความคิดเห็นต่างกัน ต่างก็มีอย่างละครึ่ง
อันที่จริงจั่วโย่วค่อนข้างจะประหลาดใจมากแล้ว เดิมทีนึกว่าคนทั้งบนและล่างสำนักใบถง ไม่ว่าจะเด็กหรือแก่ล้วนจะต้องหันหัวหอกเข้าหาเขา ขับไล่ตนออกจากอาณาเขตไปในทันที คาดไม่ถึงว่าผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ของสำนักใบถงที่ลำดับอาวุโสต่ำกว่า อายุก็ยิ่งน้อยกว่าเหล่านั้นกลับสามารถรวมตัวกันแบกรับปัญหาเร่งด่วนและวางแผนรับมือต่อปัญหาในระยะยาวได้ ไม่เพียงแต่ปฏิเสธการเชื้อเชิญของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ยังตามมาหาจั่วโย่วแล้วกล้าพูดประโยคว่า ‘ขออาจารย์จั่วโปรดอยู่ต่อ เบื้องหลังของอาจารย์จั่วก็ให้เป็นพวกข้ารับผิดชอบเอง’
ผู้ฝึกตนเฒ่าที่มีอายุมากว่าร้อยปีพันปียังต้องการจะมีชีวิตอยู่ให้นานกว่านั้น ทว่าคนหนุ่มสาวที่เพิ่งขึ้นมาเดินบนเส้นทางการฝึกตนได้ไม่กี่ปีกลับยินดีจะตายในศึกครานี้
นาทีนั้นจั่วโย่วพลันรู้สึกว่าวิถีทางโลกกำลังเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแล้วจริงๆ
ในอดีตน้อยครั้งนักที่วิถีทางโลกจะทำให้จั่วโย่วไม่ลำบากใจเช่นนี้
ยกตัวอย่างเช่นเมื่อก่อนเคยเจอกับพวกตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่ทำอะไรโดยใช้อารมณ์เป็นหลัก พกกระบี่แล้วยิ่งพกพาพรรคพวกลงจากภูเขา จั่วโย่วจะค่อนข้างลำบากใจ ลำบากใจว่าจะตีให้ตาย หรือเอาแค่ร่อแร่ปางตายดี
ขอแค่ตัวของจั่วโย่วยังอยู่ที่สำนักใบถง ปราณกระบี่ยังอยู่ในใบถงทวีป สำหรับใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้วก็คือก้างปลาที่ติดอยู่ในลำคอ ไม่คายทิ้งก็ระคายเคืองอยู่อย่างนั้น
หลังจากที่เซียวสวิ้นใช้กระบี่ฟาดฟันให้ร่างทองของสวินยวนขอบเขตบินทะยานปริแตกไปแล้วก็ไปเยือนทักษินาตยทวีปที่สถานการณ์การรบค่อนข้างมั่นคงปลอดภัย บอกว่าต้องการจะต่อยให้ดวงตะวันจันทราร่วงลงมาจากบ่าของเฉินฉุนอัน ขณะเดียวกันก็ถือโอกาสไปพบหน้าลู่จือด้วย
ดังนั้นมู่จีแห่งกระโจมเจี่ยเซินจึงเสนอแนะว่า ให้เซียนกระบี่โซ่วเฉินรับหน้าที่ดำเนินการตามแผนการ สุดท้ายจึงใช้พื้นที่มงคลระดับล่างที่จำนวนประชากรน้อยกว่าสิบล้านคนมากักตัวจั่วโย่วได้สำเร็จ
มองดูเหมือนโซ่วเฉินถามกระบี่แก่จั่วโย่ว แต่วิธีการที่แท้จริงกลับเป็นการเปิดตราผนึกฟ้าดินให้กับพื้นที่มงคลอวี่ฮว่ากะทันหัน แล้วทุ่มกระแทกเข้าใส่จั่วโย่วอย่างดุดัน ขณะเดียวกันในพื้นที่มงคลก็มีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งที่พร้อมยอมตายกระดิกนิ้วใส่จั่วโย่ว ความหมายนั้นชัดเจนยิ่ง หากไม่เข้าร่วมวง ถ้าอย่างนั้นก็เบิกตามองดูพื้นที่มงคลแห่งหนึ่งกระแทกแตกต่อหน้าต่อตาเจ้าจั่วโย่วไปเถอะ
ขณะเดียวกันนั้นโจวมี่ก็ใช้วิธีการยิ่งใหญ่ผลัดเปลี่ยนฟ้าดิน เป็นเหตุให้ร่างของจั่วโย่วเข้าไปอยู่ในพื้นที่มงคล
จั่วโย่วไม่ได้ปล่อยให้พื้นที่มงคลปริแตกอยู่ในอาณาเขตของสำนักใบถง นอกจากใช้กระบี่สังหารเผ่าปีศาจแล้วยังปล่อยปราณกระบี่ออกเดินทางไกลไปตามปราการธรรมชาติ ใช้ปราณกระบี่ทั้งร่างมาทำเป็นค่ายกลใหญ่ฟ้าดิน ปกป้องพื้นที่มงคลเอาไว้
ไม่มีลังเลใจแม้แต่น้อย
จากนั้นโจวมี่ก็ฟื้นคืนขุนเขาสายน้ำเดิมกลับมา โซ่วเฉินปิดตราผนึกของพื้นที่มงคลทันที สกัดกั้นฟ้าดินเล็กใหญ่ เป็นเหตุให้จั่วโย่วถูกกักอยู่ที่นี่ชั่วคราว ขณะเดียวกันก็เอาพื้นที่มงคลมาลงหลักปักฐานไว้ที่ใบถงทวีปก่อน เพื่อให้ผสานมรรคากับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง จากนั้นจึงออกคำสั่งให้ปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินสองตนร่ายวิชาอภินิหารปลุกเสกปราการในพื้นที่มงคลให้แน่นหนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง เวทคาถาของเซียนเหรินและการร่วมมือกันของมหามรรคา ใช้สิ่งนี้มาขัดกร่อนทำลายปณิธานกระบี่และตบะของจั่วโย่วไม่หยุดพัก ทั้งไม่ต้องการผลลัพธ์ที่พื้นที่มงคลปริแตก แล้วก็ไม่ปล่อยให้จั่วโย่วที่อยู่ในพื้นที่มงคลอวี่ฮว่าสุขสบายเกินไปนัก
หลังจากจั่วโย่วสร้างความมั่นคงให้กับเส้นขอบเขตของปราการฟ้าดินแล้วก็เริ่มทำการประเมินพื้นที่มงคลเล็กนี้อย่างละเอียด
ปราณกระบี่ยิ่งใหญ่ไพศาลทั่วร่าง ยังคงอยู่ห่างไกลจากโลกมนุษย์
จั่วโย่วคิดอยากจะออกไปจากพื้นที่มงคล หวนกลับคืนสู่ใบถงทวีปของใต้หล้าไพศาลก็ง่ายดายอย่างถึงที่สุด เพียงแค่ใช้หนึ่งกระบี่ฟันผ่าม่านฟ้าก็พอแล้ว แค่ไม่ต้องสนใจว่าคนในพื้นที่มงคลอวี่ฮว่าจะบาดเจ็บล้มตายเท่าไรก็พอ อย่าว่าแต่จั่วโย่ว ต่อให้เป็นเจียงซ่างเจินที่เรียกใบหลิวใบนั้นออกมาก็ทำได้เช่นเดียวกัน
ดังนั้นการที่กักขังจั่วโย่วไว้ที่นี่จึงไม่มีความหมายใดๆ หากเป็นเจียงซ่างเจินย่อมต้องออกกระบี่อย่างเด็ดขาด หลังออกกระบี่แล้วอย่าว่าแต่พื้นที่มงคลจะต้องมีคนบาดเจ็บเป็นล้านๆ แม้กระทั่งพื้นที่มงคลทั้งแห่งปริแตก มนุษย์ธรรมดาหลายสิบล้านคนล้วนตายเกลี้ยง ในหัวใจของเจียงซ่างเจินก็ไม่มีริ้วคลื่นกระเพื่อมสักกะผีก
ในอดีตเจียงซ่างเจินเกือบจะต้องสิ้นท่าในบ้านของตัวเอง ยามที่เขาบุกไปเอาผิดกับเหล่าผู้กล้าเซียนดินที่เป็นผู้นำก่อกวนในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาครั้งนั้น บนภูเขาล่างภูเขามีคนตายแค่ล้านคนเสียที่ไหน
ทว่าจั่วโย่วคิดจะพักอยู่ที่นี่ชั่วคราว กระทั่งคิดหาวิธีคลี่คลายปัญหาที่ไม่ต้องบอบช้ำกันทั้งสองทางออก
นี่ทำให้ร่างจริงของจั่วโย่วแน่นิ่งไม่ขยับ ราวกับว่าเข้าฌานอยู่ในจุดที่เขาโผล่เข้ามาก่อนหน้านี้ วิธีการของโจวมี่ไม่ธรรมดา ก่อนที่จะให้โซ่วเฉินขว้างพื้นที่มงคลออกไป ในพื้นที่มงคลก็ได้ร่าย ‘คำบัญชาแห่งมหามรรคา’ ข้อหนึ่งไว้นานแล้ว นั่นคล้ายกับการ ‘ผดุงคุณธรรมแทนสวรรค์’ อย่างสมชื่อ เอามาใช้สยบปราณกระบี่ในโลกมนุษย์โดยเฉพาะ ดังนั้นจั่วโย่วจึงได้แต่ปล่อยจิตหยินออกเดินทางไกล ไม่อย่างนั้นหากกระตุกผมเส้นเดียวแล้วสะเทือนไปทั้งร่าง วิถีสวรรค์ของที่แห่งนี้ไม่อาจทำร้ายเซียนกระบี่จั่วโย่วแม้เพียงปลายก้อย แต่กลับจะทำให้ทุกหนทุกแห่งในโลกมนุษย์ตกอยู่ในสภาวะยากลำบาก
ยกตัวอย่างเช่นก่อนหน้านี้จั่วโย่วสังหารเผ่าปีศาจก็ต้องอยู่บนม่านฟ้าของพื้นที่มงคล หนึ่งกระบี่ฟันให้เกิดร่องลึกใหญ่ยักษ์ยาวหมื่นลี้ นี่ยังเป็นเพราะจั่วโย่วพยายามควบคุมปราณกระบี่ของตัวเองและการโคจรของมหามรรคาเต็มที่แล้ว ไม่อย่างนั้นหลังจากใช้หนึ่งกระบี่ฆ่าปีศาจ หมื่นลี้ในโลกมนุษย์ก็จะต้องมีผู้บริสุทธิ์นับไม่ถ้วนที่ติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย
ร่องลึกหมื่นลี้ที่เหมือนม่านฟ้าฉีกขาดจนเกิดเป็นร่องเส้นหนึ่งนั้น เมื่อปรากฎอยู่ในสายตาของผู้ฝึกตนจำนวนน้อยนิดที่เดินขึ้นเขาฝึกตนอยู่ในพื้นที่มงคลแล้ว กลับเหมือนรุ้งยาวปราณกระบี่เส้นหนึ่งที่ลอยแขวนอยู่ระหว่างฟ้าดินยาวนาน เปล่งประกายสีสันแวววาว ไหลรินไม่หยุดนิ่งไปพร้อมๆ กับปราณกระบี่
ปราณกระบี่ทั่วร่างของจั่วโย่วจำเป็นต้องอยู่ให้ห่างจากโลกมนุษย์ ใช้ค้ำเปิดชายแดนระหว่างฟ้าดิน ป้องกันไม่ให้วิชาอภินิหารของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจทำลายปราการในพื้นที่มงคลเข้ามาอย่างกำเริบเสิบสาน
หาไม่แล้วหากภาพเหตุการณ์ประหลาดของฟ้าดินบังเกิดขึ้นแม้เพียงน้อย อาณาประชาราษฎร์ในพื้นที่มงคลอวี่ฮว่าก็จะต้องเจอกับหายนะที่เป็นดั่งภัยพิบัติธรรมชาติมากมาย อาจเป็นพายุฝนที่ตกนานติดต่อกันเป็นสิบวัน เป็นเหตุให้เกิดน้ำท่วมเทียมฟ้า อาจเป็นภัยแล้งรุนแรงนานหลายปี พื้นดินแตกระแหงไกลพันลี้ หรืออาจเป็นหิมะใหญ่ที่ตกลงมาทั่วทุกหนแห่ง แช่แข็งหมื่นสรรพสิ่งให้ตายดับ
แรกเริ่มจั่วโย่วคิดว่าในพื้นที่มงคลจะยังมีทางหนีทีไล่ที่เผ่าปีศาจทิ้งเอาไว้ รอลงมือในช่วงเวลาที่เหมาะสม ยกตัวอย่างเช่นมีปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ตนหนึ่งแฝงตัวอยู่ที่นี่ แต่หลังจากจั่วโย่วลองสำรวจตรวจตราดูแล้วกลับไม่พบอะไร
นี่ก็เป็นเรื่องปกติ ทั้งสองฝ่ายเปิดศึกใหญ่ต่อกัน หากทำลายพื้นที่มงคลแห่งหนึ่งให้ปริแตก เป็นเหตุให้ขุนเขาสายน้ำล่มสลาย ก็เท่ากับว่าทำให้จั่วโย่วหลุดพ้นจากพันธนาการของกรงขังอย่างสิ้นเชิง ถึงเวลานั้นก็ถึงคราวที่เขาได้ออกกระบี่อย่างเต็มแรงแล้ว นั่นย่อมไม่เรียบง่ายเหมือนยามที่เจียงซ่างเจินร่ายใบหลิวหนึ่งใบทิ่มไปทางซ้ายทีทางขวาทีอย่างแน่นอน
——