หลังจากหงเซี่ยจากไป
เพ่ยเซียงก็พูดบ่นว่า “เหยียนฟ่าง เจ้ากำลังตีภูเขาสะเทือนพยัคฆ์ให้ข้าดูใช่หรือไม่?”
อยู่ที่นครลมเย็น เพ่ยเซียงชอบแอบเรียกเขาว่าจูเหลี่ยน พอมาถึงภูเขาลั่วพั่วกลับกลายเป็นว่าชอบเรียกเขาว่าเหยียนฟ่าง
จูเหลี่ยนส่ายหน้า “ไม่ต้องคิดมาก อยู่บนภูเขาลั่วพั่วปฏิบัติกับคนอื่นอย่างจริงใจ ก็แค่ต้องใช้เหตุผลเท่านั้น”
จูเหลี่ยนคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ข้าจะให้เซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งไปที่พื้นที่มงคลรากบัวเป็นเพื่อนเจ้าก่อน พอได้เห็นพื้นที่มงคลกับตาตัวเองแล้ว พวกเราค่อยมาตัดสินใจในการเลือกที่อยู่กันอีกที”
เพ่ยเซียงได้แต่ยิ้มฝาดเฝื่อน นางเดาถูกครึ่งหนึ่งแล้วจริงๆ เสียด้วย นางเดามาโดยตลอดว่า ‘อวี๋หมี่’ ผู้นั้นคือเซียนกระบี่ก่อกำเนิด คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเซียนกระบี่ใหญ่อย่างสมชื่อคนหนึ่ง…
โชคดีที่หมี่อวี้ไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นคงรู้สึกว่าต้องถูกคนด่าอีกแล้ว
หลังจากเฉาฉิงหล่างกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่วก็ทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าประตูคนใหม่แทนหมี่ลี่น้อยอย่างไม่เกี่ยงงอนต่อหน้าที่อันพึงปฏิบัติ
พอรู้ว่าเผยเฉียนไม่เพียงแต่ไม่กลับภูเขาลั่ว ถึงขั้นที่ว่าไปถึงอุตรกุรุทวีปแล้วยังจะไปธวัลทวีปอีก เฉาฉิงหล่างก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดีแล้ว
วันนี้เฉาฉิงหล่างออกจากบ้านเดินทางไปใกล้ๆ ไปเยือนภูเขาใต้อาณัติของภูเขาลั่วพั่วที่ให้เกาะจูไชยืมเช่าชั่วคราว
เขาต้องการไปคุยกับหลิวจ้งรุ่นเรื่องของเรือมังกรฟานโม่ลำนั้น ไม่ใช่จูเหลี่ยนที่ต้องลงจากเขาไปด้วยตัวเอง ยิ่งไม่ใช่ซานจวินเว่ยป้อ แต่เป็นเฉาฉิงหล่าง
นี่คือความรู้อย่างหนึ่งแล้ว
จูเหลี่ยนไปคุยธุระ เท่ากับคุยงานหลวงระหว่างภูเขาลั่วพั่วและเกาะจูไช
แม้จะบอกว่าเดิมทีเรือมังกรก็เป็นของภูเขาลั่วพั่วอยู่แล้ว ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าเกาะจูไช หรือก็คือองค์หญิงใหญ่ในอดีตที่เคยว่าราชการหลังม่านแม้แต่เหรียญทองแดงเดียว
ทว่าหากคิดจะอธิบายเหตุผลดีๆ กับสตรี ก็ต้องพูดคุยถึงเรื่องความรู้สึกอย่างเหมาะสมเสียก่อน
ดังนั้นให้เฉาฉิงหล่างไปจึงเหมาะสมที่สุด
ทุกวันนี้เฉาฉิงหล่างคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของเจ้าขุนเขาเฉินผิงอันที่อยู่บนภูเขา เป็นความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และศิษย์ ระหว่างการสืบทอดของสายบุ๋น
และหลิวจ้งรุ่นก็รู้เรื่องหนึ่งชัดเจนดีอย่างยิ่ง เฉินผิงอันปฏิบัติต่อลูกศิษย์ของตน ปฏิบัติต่อเฉาฉิงหล่างและเผยเฉียน นั่นต้องเรียกได้ว่าเห็นเป็นบุตรชายบุตรสาวแท้ๆ ของตัวเองจริงๆ!
อีกทั้งเฉาฉิงหล่างกับหลิวจ้งรุ่นก็ถือเป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้เยาว์กับผู้อาวุโสด้วย
ถ้าอย่างนั้นหากเดิมทีหลิวจ้งรุ่นกรุ่นโกรธ ความโกรธเคืองก็จะลดน้อยลง ถึงขั้นที่ว่าไม่รู้สึกโกรธเลย
นี่เท่ากับเฉินผิงอันเจ้าขุนเขาครึ่งตัวมาคุยเป็นการเป็นงานกับข้าดีๆ ไม่ใช่หรือ ต่อให้ก่อนหน้านี้มีเหตุผลเพียงแค่ครึ่งเดียว ทว่าสำหรับในใจของสตรีแล้วก็คาดว่าน่าจะเปลี่ยนเป็นเหตุผลเต็มข้อแล้ว
หมี่อวี้เดินลาดตระเวนภูเขาเป็นเพื่อนโจวหมี่ลี่เสร็จ เมื่อจูเหลี่ยนพูดกับหมี่อวี้เรื่องไปท่องเที่ยวในพื้นที่มงคล หมี่อวี้เองก็เกิดความสนใจในพื้นที่มงคลรากบัวที่เหมือนถูกเมฆหมอกบดบังอย่างมาก จึงยินดีที่จะเดินทางไปเป็นเพื่อนเพ่ยเซียงสักรอบ
เรื่องที่ต้องระวังในการใช้สถานะของเจ๋อเซียนไปท่องพื้นที่มงคล ก่อนหน้านี้จูเหลี่ยนล้วนอธิบายให้ฟังอย่างชัดเจนแล้ว แต่การเดินทางไปเยือนพื้นที่มงคลในครั้งนี้ จูเหลี่ยนยังเรียกสหายฉางมิ่งให้ไปด้วยกันอีกด้วย
เวลานี้พวกเขานั่งอยู่บนขั้นบันไดด้วยกัน มองเงาร่างของเฉาฉิงหล่างที่จากไปไกล หมี่อวี้จึงยกนิ้วโป้งให้จูเหลี่ยนที่นั่งอยู่ด้านข้าง “พี่ใหญ่จูรู้ใจสาวงามเป็นที่สุด!”
จูเหลี่ยนบ่นว่า “น้องหมี่ด่าคนทำไมกัน! มีอย่างที่ไหนปรมาจารย์ในยุทธภพเอ่ยชมลูกนกที่เพิ่งหัดบินเช่นนี้ จะทำร้ายคนอื่นหรือไร?”
หมี่อวี้หัวเราะเสียงดังลั่น “ไม่มีผู้อาวุโสผู้เยาว์อะไรทั้งนั้น มีแค่คนบนเส้นทางเดียวกัน ประลองฝีมือแลกเปลี่ยนความรู้ ขัดเกลาวิชาเดินหน้าไปด้วยกัน!”
หมี่อวี้พูดถึงขั้นนี้แล้ว จูเหลี่ยนย่อมไม่มีเหตุผลให้แง่งอนต่อ จึงหัวเราะเสียงดังก้อง “ข้าไม่ได้เดินคนเดียวบนเส้นทางอีกแล้ว!”
เหวยเหวินหลงที่วันนี้ออกจากห้องบัญชีมาสูดอากาศอย่างที่หาได้ยาก ไม่เข้าใจสักนิดเลยว่าสองคนนี้กำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่
เหวยเหวินหลงแค่กังวลว่าเฉาฉิงหล่างที่ไปหาหลิวจ้งรุ่นจะต้องกินน้ำแกงประตูปิดหรือไม่
หมี่ลี่น้อยนั่งยองอยู่ด้านหลังพ่อครัวเฒ่าและอวี๋หมี่ แม่นางน้อยขมวดคิ้วมุ่นเพราะฟังไม่เข้าใจ ถ้าอย่างนั้นก็จำเอาไว้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวไปถามพี่หญิงหน่วนซู่ก่อน แล้วค่อยถามเผยเฉียนอีกที
จูเหลี่ยนเงียบงันไปพักหนึ่ง สีหน้าเคร่งเครียด อยู่ดีๆ ก็เอ่ยขึ้นมาว่า “อรชรอ้อนแอ้น เรียบร้อยอ่อนหวาน น้ำภูเขาไหลมาที่นี่พลันหดขอด (เปรียบเปรยถึงร่างกายของผู้หญิงที่มีส่วนโค้งส่วนเว้า หุ่นดี) ที่แท้กำได้เต็มไม้เต็มมือ”
พรสวรรค์ของหมี่อวี้ไม่ถดถอยไปจากในอดีตแม้แต่น้อย หลุดปากเอ่ยออกไปว่า “นุ่มนิ่มบอบบาง ส่ายไหวโยกเอน มองขวางเป็นเนินมองข้างเป็นยอด ยากจะใช้ฝ่ามือเกาะกุม”
ต่อบทเข้าสัมผัสกันได้ดีไม่น้อย
จูเหลี่ยนหันหน้ามา หมี่อวี้เองก็หันมาหา ยกมือตีกัน ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย
หมี่ลี่น้อยที่อยู่ด้านหลังคนทั้งสองทอดถอนใจ โชคดีที่เจ้าขุนเขาคนดีไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นคงต้องรู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้อีกแล้ว
เหวยเหวินหลงไม่อยากจะเสียหูฟังต่อจริงๆ จึงลุกขึ้นเดินจากไป
หมี่ลี่น้อยกระแอมหนึ่งที “พวกเจ้าสองคนพูดอะไรกันน่ะ? ข้าก็ท่องกลอนเป็นนะ มีคำว่าถิงถิง (ภาษาจีนคือ 停停 ในบทกลอนของจูเหลี่ยนคำนี้แปลว่าเรียบร้อยเหมาะสม ในบทกลอนของหลิวเสี้ยนหยาง คำนี้แปลว่าหยุด) ในกลอนด้วย พวกเจ้าอยากฟังหรือไม่?”
นางยืมกลอนบทหนึ่งมาจากหลิวสัปหงก บอกแล้วว่าหากโอ้อวดเสร็จจะต้องคืนให้ แม้ว่าตอนแรกอยากจะเก็บไว้เอาไปอวดเผยเฉียน แต่ตอนนี้รู้สึกว่าจะแพ้ให้กับพ่อครัวเฒ่าและอวี๋หมี่ไม่ได้ จึงคิดจะเอามาสยบบารมีที่พวกเขาสองคนแสดงออกมาเสียหน่อย
จูเหลี่ยนพลันตะลึงพรึงเพริด ถึงกับลืมเจ้าตัวคาบข่าวอย่างหมี่ลี่น้อยไปเสียได้ ดังนั้นจึงรีบใช้หลักการสหายตายข้าไม่ตายด้วยการหันไปยิ้มเอ่ยกับหมี่ลี่น้อยทันที “ข้าท่องกลอนเป็นเสียที่ไหน สองประโยคนั้นล้วนมาจากฝีมือของพี่น้องอวี๋หมี่ ข้าแค่อยู่ๆ นึกขึ้นมาได้ อารมณ์พาไปก็เลยท่องออกมา หมี่ลี่น้อยอ่า จำได้แล้วหรือยัง? เป็นแรงบันดาลใจที่อวี๋หมี่ได้มาจากตอนแทะเมล็ดแตง ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าเลยนะ”
หมี่อวี้มึนงงไม่เข้าใจ
จูเหลี่ยนกลับลุกขึ้นแล้วเดินจากไปเร็วๆ อย่างไม่เหลียวหลังเสียแล้ว
หมี่ลี่น้อยยกนิ้วโป้งเอ่ยชื่นชมหมี่อวี้ “มีความเฉียบแหลมทางวรรณคดียิ่งนัก วันหน้าพวกเราสามารถมาประชันบทกลอนกันได้!”
จนถึงตอนนี้หมี่อวี่ก็คงยังไม่รู้ว่า เวลาอยู่กับพี่หญิงหน่วนซู่และเผยเฉียน แต่ไหนแต่ไรมาผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วก็ไม่เคยปิดบังเรื่องอะไรได้เลย และสมุดเล่มบางในหีบใบนั้นของเผยเฉียน ก็ใช้การคิดคำนวณแบบเป็น ‘เล่ม’ อีกอย่างหมี่ลี่น้อยมักจะมึนงงลืมเลือนเรื่องบางอย่างบ่อยๆ เรื่องบางเรื่องที่คนนอกมองว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก นางกลับจำไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นถูกคนรังแกจนมีสภาพอเนจอนาถ แต่เรื่องเล็กน้อยเท่าเมล็ดงาที่ไม่ว่าใครก็ล้วนไม่เก็บมาใส่ใจ แม่นางน้อยกลับจำได้ชัดเจนยิ่งกว่าใคร แล้วก็ชอบเอาไปแบ่งปันกับเผยเฉียนและพี่หญิงหน่วนซู่เป็นที่สุด ยกตัวอย่างเช่นวันนี้เมฆขาวที่ผ่านทางมาตัวค่อนข้างอ้วน ทำไมเจ้าพ่อสายฟ้าเวลานอนกรนถึงส่งเสียงเปรี้ยงครืนๆๆ มีเสียงครืนเพิ่มมากกว่าคราวก่อนหนึ่งที…
และยามอยู่ในบ้านบนภูเขา เผยเฉียนก็ไม่เคยรู้สึกหงุดหงิดใจที่จะฟังแม้แต่น้อย คาดว่านี่ก็คงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้หมี่ลี่น้อยเป็นเช่นนี้มาตลอดกระมัง
ภูเขาลั่วพั่วส่งข่าวกระบี่บินไปยังร้านยาสุ้ยตรอกฉีหลง
เพียงไม่นานสหายฉางมิ่งก็มาถึงภูเขาลั่วพั่วอย่างเงียบเชียบ
หลังจากที่สหายฉางมิ่ง หมี่อวี้และเพ่ยเซียงสามคนเข้าไปในพื้นที่มงคลรากบัวแล้ว
จูเหลี่ยนมายืนอยู่ริมหน้าผาเพียงลำพัง สีหน้าเหนื่อยล้าเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าการทำเรื่องต่างๆ เป็นเรื่องที่ยากลำบากเพียงใด แต่เป็นเพราะนานมากแล้วที่เจ้าขุนเขาไม่กลับคืนมาสักที ถึงอย่างไรก็ทำให้คนอดรู้สึกมีภาระทางใจไม่ได้
จูเหลี่ยนรับเฉินยวนจีมาเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อชั่วคราว ยังไม่ใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอด ทุกวันนี้เฉินยวนจีคือคอขวดขอบเขตสี่ของผู้ฝึกยุทธ หากไม่นับรวมคนบนภูเขาลั่วพั่วก็ถือว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธคนหนึ่งแล้วจริงๆ
สุยโย่วเปียนผู้ฝึกกระบี่แห่งสำนักเจินจิ้ง ยังไม่เคยรับลูกศิษย์ผู้สืบทอดแม้แต่คนเดียว แม้กระทั่งลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อก็ยังไม่มี
หลูป๋ายเซี่ยงถูกภูเขาทายาทแห่งหนึ่งของขุนเขากลางรับตัวไปเป็นผู้ถวายงาน กองกำลังทั้งหมดของเขาก็เท่ากับว่ามีภูเขาใหญ่ให้พึ่งพิง ทางฝั่งของกรมพิธีการต้าหลีก็มีฐานะขุนนางในขุนเขาสายน้ำครึ่งตัว ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเขายังมีแค่สองคนคือคู่พี่น้องหยวนไหลหยวนเป่า ว่ากันว่าอยู่บนภูเขาทายาทลูกนั้น ลูกศิษย์หยวนไหลที่เป็นผู้ฝึกยุทธกลับได้เจอกับโชควาสนาตระกูลเซียนอย่างหนึ่ง เพียงแต่ว่าหลูป๋ายเซี่ยงไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ในจดหมายลับอย่างละเอียด
ส่วนเว่ยเซี่ยนฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนก็ยิ่งติดตามหลิวสวินเหม่ยและเฉาจวิ้น เริ่มจากเป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพก่อน อาศัยการต่อสู้บนสนามรบและการเข่นฆ่าบนภูเขาที่แท้จริงกลายมาเป็นแม่ทัพบู๊ของกองทัพชายแดนที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้อง ต้องรู้ว่าสถานะ ‘น้ำใส’ ของขุนนางบุ๋นบู๊ต้าหลีได้มายากอย่างถึงที่สุด แล้วนับประสาอะไรกับที่เว่ยเซี่ยนยังได้รับป้ายสงบสุขปลอดภัยระดับล่างที่กรมอาญาต้าหลีแจกจ่ายให้อีกด้วย แน่นอนว่าเป็นหลิวสวินเหม่ยหนึ่งในขุนนางผู้ตรวจการลำน้ำใหญ่เป็นคนช่วยจัดการเรื่องนี้ให้เว่ยเซี่ยน เดิมทีคุณความชอบทางการสู้รบของเว่ยเซี่ยนก็มีมากพอ แต่สำหรับกรมอาญาต้าหลียังคงถือว่าอยู่ระหว่างว่าจะแจกหรือไม่แจกให้ก็ได้ ทว่าพอมีการถ่ายทอดคำพูดจากหลิวสวินเหม่ย ทั้งไม่ผิดต่อกฎขุนเขาสายน้ำของต้าหลี ทั้งสามารถทำให้หลิวสวินเหม่ยติดค้างน้ำใจได้ ไหนเลยกรมอาญาต้าหลีจะไม่ยอมแจกให้เล่า?
เฉาฉิงหล่างไปเยือนภูเขาหลังอ๋าวมารอบหนึ่งก็กลับมาพร้อมข่าวดี หลิวจ้งรุ่นชื่นชมการกระทำของภูเขาลั่วพั่วอย่างยิ่ง นางถึงขั้นยินดีเอาตำหนักวารีออกมา ให้ภูเขาลั่วพั่วช่วยนำไปมอบให้กองทัพชายแดนต้าหลีจัดการพร้อมกับเรือมังกร เพียงแต่ว่าเฉาฉิงหล่างได้รับแผนงานที่มีทั้งผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดมาแล้ว จึงปฏิเสธความหวังดีของหลิวจ้งรุ่นไปตามกลยุทธของอาจารย์ผู้เฒ่าจูอย่างละมุนละม่อม อีกทั้งยังโน้มน้าวเจ้าเกาะหลิวว่าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้
หลังจากที่ครั้งนี้เฉาฉิงหล่างกลับมาถึงภูเขาก็มาเป็นคนเฝ้าประตูอย่างเป็นธรรมชาติ พอพูดคุยธุระกับจูเหลี่ยนเสร็จแล้วจึงย้อนกลับมาที่ตีนเขา
อาจารย์จ้งเองก็ฝึกท่าหมัดเดินนิ่งเลียบไปตามเส้นทางภูเขาเหมือนกัน แล้ววันนี้ยังจงใจหยุดที่ตีนเขาและยอดเขาสองจุดเพื่อรอเฉินยวนจีจุดและครั้งด้วย
ช่วยชี้แนะช่องโหว่และจุดบกพร่องของวิชาหมัดให้กับเฉินยวนจี
เฉินยวนจีเคารพนับถืออาจารย์จ้งราชครูที่มาจากพื้นที่มงคลดอกบัวผู้นี้อย่างมาก เป็นรองแค่อาจารย์ผู้เฒ่าจูที่เป็นอาจารย์ของตนครึ่งตัวเท่านั้น
นางรู้สึกว่าผู้อาวุโสที่สุภาพสง่างามและอ่อนโยนเช่นนี้ต่างหากจึงจะเป็นบัณฑิตที่แท้จริงในใจตน
ราชครูจ้งย้อนกลับมายังที่พัก จุดตะเกียงอ่านตำราอริยะปราชญ์ยามค่ำคืน การออกเดินทางครั้งนี้เริ่มจากแจกันสมบัติทวีปไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ จากนั้นก็ออกจากภูเขาห้อยหัวไปยังทักษินาตยทวีป ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ธวัลทวีป อุตรกุรุทวีป แล้วย้อนกลับมาที่แจกันสมบัติทวีปอีกที เท่ากับว่าเดินทางผ่านพื้นที่ครึ่งหนึ่งของใต้หล้าไพศาลแล้ว จ้งชิวได้รับผลเก็บเกี่ยวมหาศาล นอกจากจะได้อ่านวัตถุประสงค์วิชาความรู้ของเมธีร้อยสำนักในใต้หล้าไพศาลมาผ่านๆ แล้ว เทพเซียนและวีรบุรุษนอกตำราก็ถือว่าได้พบเจอมาไม่น้อย บางคนก็ถูกใจในนิสัยใจคอ ในความรู้ความกว้างขวางของกันและกัน บางคนก็เคยประลองหลักการเหตุผล ไม่ก็วิชาหมัดกัน แน่นอนว่าก็มีบางครั้งที่ตกอยู่ในสถานการณ์ซึ่งรายล้อมไปด้วยอันตราย ใช้วิชาหมัดตัดสินแพ้ชนะ บางครั้งถึงขั้นถามหมัดโดยต้องตัดสินด้วยความเป็นและความตาย
จ้งชิวเคยเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่คร่ำครึหรือ? ในฐานะราชครูแคว้นหนันเยวี่ยน เดิมทีก็ไม่เคยเป็นพวกบัณฑิตที่คร่ำครึยึดกรอบตายตัวมาก่อน
วันนี้เฉินยวนจีหยุดการฝึกหมัดที่ตีนเขาอีกครั้ง นางลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ยังเป็นฝ่ายเดินไปหาคนหนุ่มลัทธิขงจื๊อที่อ่านตำราใต้แสงจันทร์
เฉินยวนจีที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่วคือคนที่มานะตั้งใจฝึกวิชาหมัดที่สุด
เฉินยวนจีรู้ว่าเฉาฉิงหล่างคือลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ แล้วก็เป็นผู้ฝึกตนคนหนึ่ง
ได้ยินว่าเฉาฉิงหล่างเพิ่งจะติดตามอาจารย์จ้งออกเดินทางไปไกลแสนไกล ดังนั้นผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ถึงเพิ่งจะกลับมายังภูเขาลั่วพั่ว
เฉินยวนจีรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย
บ้านของนางอยู่ห่างจากภูเขาลั่วพั่วไปไม่ไกล อยู่ในตัวจังหวัดหลงโจวนี่เอง ทว่าจนถึงทุกวันนี้เฉินยวนจีกลับยังไม่เคยออกเดินทางไกลอย่างแท้จริงมาก่อน
ทุกครั้งที่มีคนเฝ้าประตู นับตั้งแต่เจิ้งต้าเฟิงมาจนถึงหยวนไหล แล้วก็มาถึงหมี่ลี่น้อย จนสุดท้ายคือเฉาฉิงหล่าง ทุกคนจะต้องนั่งบนม้านั่งหรือไม่ก็เก้าอี้ไม้ไผ่ จากนั้นข้างกายยังจะต้องวางม้านั่งหรือเก้าอี้เตรียมไว้อีกสองสามตัว เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับยามฉุกเฉิน
แน่นอนว่าต้องมีเมล็ดแตงด้วย
เฉินยวนจีนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวหนึ่ง เงียบอยู่นานกว่าจะเอ่ยว่า “เฉาฉิงหล่าง ทุกวันนี้ข้าเพิ่งจะเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่ ก่อนหน้านี้หยวนเป่าส่งจดหมายมาบนภูเขา นางเป็นขอบเขตห้าแล้ว เจ้าเคยไปเยือนสถานที่ต่างๆ มามากมาย คนที่อายุเท่าข้ากับหยวนเป่าที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่ขอบเขตห้า มีเยอะหรือไม่?”
เฉาฉิงหล่างพูดตอบตามจริง “มีให้เห็นไม่บ่อยนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรี แต่ครั้งนี้ข้าติดตามอาจารย์จ้งออกเดินทางไกล ก็เคยได้เจอผู้มีพรสวรรค์ในการเรียนวรยุทธมาไม่น้อยจริงๆ อายุน้อยๆ ก็ประสบความสำเร็จในการเรียนวรยุทธแล้ว”
แต่ครู่เดียวเฉาฉิงหล่างก็ยิ้มเอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “แต่อาจารย์ของข้าเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่า บนเส้นทางของการเรียนวรยุทธ จะต้องมีการแบ่งสูงต่ำแบ่งก่อนหลัง แต่สิ่งที่ไม่ควรหวาดกลัวมากที่สุดก็คือสถานการณ์ที่ว่า ‘เรียนวรยุทธก่อนแล้วจะประสบผลสำเร็จต่ำ’”
เฉินยวนจีกล่าวอย่างกังขา “ทำไมถึงไม่กลัวล่ะ? หากเปลี่ยนเป็นข้าคงกลัดกลุ้มใจแย่แล้ว”
เฉาฉิงหล่างเอ่ยว่า “อันที่จริงข้าเองก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ตอนนั้นอาจารย์พูดอย่างจริงจังมากเป็นพิเศษ เพียงแค่อธิบายว่า ‘หากกลัวตัวเองเมื่อไหร่ การเรียนหมัดก็ตายเมื่อนั้น’ ข้าไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ดังนั้นจึงไม่ได้ถามอะไรมาก เพียงแค่รู้สึกว่าสัจธรรมแห่งหมัดประโยคนี้ หากเอาไปวางไว้ในตำราก็น่าจะเหมาะสมเช่นกัน ดังนั้นจึงจำได้ค่อนข้างแม่นยำ”
เฉินยวนจีพลันหัวเราะ ก่อนจะกลั้นขำ ดวงตาทั้งคู่หรี่ลงจนเป็นพระจันทร์เสี้ยว สุดท้ายก็อดไม่ไหวต้องยกมือปิดปากเสียงหัวเราะถึงจะเบาลง ดูเหมือนว่าพอฟังคำพูดของเฉาฉิงหล่างแล้วก็ทำให้นางนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ อารมณ์ของนางจึงดีขึ้นมากทันที เพียงแต่น่าเสียดายที่เรื่องนี้กลับไม่อาจเล่าให้เฉาฉิงหล่างฟังได้มากที่สุด กับเจ้าทึ่มหนอนหนังสือหยวนไหลยังพูดได้ แต่กลับพูดให้เฉาฉิงหล่างฟังไม่ได้
เฉาฉิงหล่างไม่เข้าใจ แต่พอเห็นว่าดูเหมือนอารมณ์ของเฉินยวนจีจะไม่หดหู่เท่าเดิมแล้ว เขาก็ยิ้มบางๆ ก่อนจะก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ
——